หัวใจของฉีเฟยอวิ๋นกระวนกระวาย นี่จะเป็นการบีบบังคับเฟิงอู๋ชิงอย่างโหดเหี้ยมหรือไม่นะ?
จวนกั๋วกงไม่ได้มีเงินตำลึงมากมาย แต่จักรพรรดิก็ชดเชยให้จนครบแล้ว ทั้งบ้านทั้งการให้ยศถาบรรดาศักดิ์ทำให้ตำแหน่งนี้ดูสูงส่งขึ้นไปอีก การแต่งงานครั้งนี้ของเฟิงอู๋ชิง หากไม่ออกเงินตำลึงสักเล็กน้อย เกรงว่าจะขายหน้าเกินไป
ในที่สุดเฟิงอู๋ชิงจึงกล่าวว่า “บอกฝ่าบาทไปว่าเงินตำลึงสำหรับค่าสินสอดของอู๋กั่วคือสิบล้านตำลึง”
“……เรื่องนี้ไม่รีบร้อน” หนานกงเย่หยิบราชโองการกลับไปและบอกว่าเขาเหนื่อยแล้ว จากนั้นจึงเดินออกไป
เมื่อไม่มีคนแล้ว อู๋กั่วจึงรีบกล่าวคำขอบคุณ แต่เฟิงอู๋ชิงไม่ต้องการพูดอะไรมากกว่านี้แล้ว
เมื่อถึงเวลากลางคืนก็ได้ให้อู๋ซังไปขอให้ฉีเฟยอวิ๋นไปขนเงินสิบห้าล้านตำลึงมา เมื่อฉีเฟยอวิ๋นจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วจึงได้กลับไปพักผ่อนที่เรือนสวนดอกกล้วยไม้
เมื่อเข้าประตูไปก็ถูกหนานกงเย่อุ้มขึ้นและเดินไปที่สระกำมะถัน
ทั้งสองคนแช่ตัวในสระกำมะถันด้วยกันและหนานกงเย่กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเงินตำลึงจะครบแล้ว แต่ท้องพระคลังยังคงว่างเปล่า คงทำได้เพียงรอให้ถึงปีหน้า”
“จวินโม่ซ่างไม่ได้มีเงินตำลึงหรอกหรือ?”
“ข้าไม่ต้องการให้เขามีส่วนร่วม……”
“ท่านอ๋องเพคะ หรือไม่เช่นนั้นเราก็ร่วมมือกับเขาดีไหมเพคะ?”
“ไม่ได้ หากเกิดอะไรขึ้นจะกลายเป็นว่าข้าคิดคดทรยศหักหลังอาณาจักร ตอนนี้ยังไม่ต้องไปสนใจเขา รอให้เรื่องนี้จบลงจากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะยึดคูเมืองของเขาสักเท่าไรดี กองทัพจะตรงเข้าไปจู่โจมที่เมืองจักรพรรดิ ข้าไม่กลัวว่าจวินโม่ซ่างจะไม่ออกเงินตำลึง ถึงตอนนั้นให้เขาจ่ายค่าภาษีสักสิบปีจะยิ่งมีเหตุผล!”
“เพคะ!”
สามีภรรยาปรึกษาหารือกันดีแล้ว จากนั้นจึงพักผ่อนลง
หลังจากนั้นไม่กี่วัน อู๋กั่วก็ได้แต่งงานเข้าไปในจวนของกั๋วกงอย่างเรียบง่าย
ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ จวนกั๋วกงไม่ต้องการจัดการอะไรให้มากเกินไป และอู๋กั่วก็เป็นคนเรียบง่ายไม่ต้องการทำให้จวนกั๋วกงต้องลำบาก ฉะนั้นงานแต่งงานจึงจัดอย่างเรียบง่าย ส่วนเรื่องเงินตำลึงของทั้งสองฝ่ายนั้น ทั้งสองคนตัดสินใจที่จะบริจาคออกไป
ร่างกายของเฟิงอู๋ชิงดีขึ้นมาก เขาถูกเชิญไปงานแต่งงานของอู๋กั่วและจวนกั๋วกงก็ให้การต้อนรับอย่างดี เฟิงอู๋ชิงเดินไปที่ไหนก็ได้รับการปรนนิบัติที่ดีจากทุกๆ คนในจวนกั๋วกง
หลังจากงานเลี้ยงจบลง กั๋วกงพยายามไม่ให้เฟิงอู๋ชิงกลับและต้องการให้เฟิงอู๋ชิงพักอยู่ที่จวนกั๋วกง เฟิงอู๋ชิงไม่ชอบจวนกั๋วกงจากนั้นจึงกลับจวนท่านอ๋องเย่พร้อมกับฉีเฟยอวิ๋นและคนอื่นๆ
เฟิงอู๋ชิงรู้สึกสูญเสียผู้พิทักษ์ดีๆ ให้กับจวนกั๋วกงไป และยังให้สินสอดจำนวนมากไปด้วย เมื่อมาถึงจวนกั๋วกงเฟิงอู๋ชิงถึงได้รู้ว่า ภรรยาของเว่นหลินชวนเป็นคนของจวนกั๋วกง และภรรยาของท่านอ๋องตวนก็เป็นคนของจวนกั๋วกง อีกทั้งอู๋กั่วยังแต่งงานมาอยู่ในจวนกั๋วกงอีกด้วย
กล่าวคือ เงินตำลึงของท่านอ๋องตวนนั้นน่าจะเป็นของจวนกั๋วกง เขายืมมาก็ต้องให้ดอกเบี้ยเพื่อส่งให้กับจวนกั๋วกง คิดไปคิดมาแล้วเท่ากับว่าเขาส่งคนดีๆ ให้ไป แถมยังต้องให้เงินสิบล้านตำลึงอีก!
เฟิงอู๋ชิงไม่สามารถหยุดคิดเรื่องนี้ได้ในช่วงสองสามวันนี้
ฉีเฟยอวิ๋นได้เริ่มเตรียมตัวแล้ว หนานกงเย่ต้องไปที่เขตชายแดน ครั้งนี้เธอต้องการติดตามไปด้วย ส่วนจวินโม่ซ่างนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนของจวนกั๋วกังในการเฝ้ากักตัวอย่างลับๆ ส่วนจวนท่านอ๋องเย่นั้นให้เป็นหน้าที่ของเฟิงอู๋ชิงดูแล อวิ๋นจิ่นตื่นแต่เช้าเพื่อให้คำสัญญาว่าจะจัดการอย่างดี
ส่วนเมืองหลวงนั้นได้มอบให้ราชครูจวิน ท่านแม่ทัพฉี และรวมไปถึงหวังฮวายอันเป็นผู้ดูแลความปลอดภัย
ท่านอ๋องตวนได้รับหน้าที่ในการดูแลสามมณฑลและหกกรม และให้เขาดูแลผนึกตราประทับผู้สำเร็จราชการแทนในช่วงไม่กี่วันนี้
ท่านอ๋องตวนมองไปที่ผนึกตราประทับขนาดใหญ่ทางนั้นด้วยสีหน้าโศกเศร้า เขาไม่ชอบทำเรื่องเช่นนี้ การจะเป็นขุนนางนั้นต้องดูขึงขัง นับประสาอะไรกับการดูแลสามมณฑลและหกกรม
ท่านอ๋องตวนอดปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอยู่หลายครั้งที่มองท่านอ๋องเย่แล้วในใจอดสุขใจไม่ได้ เขาเป็นถึงท่านอ๋องตวน แต่ไม่ชอบการเป็นขุนนาง กลับชอบการทำการค้ามากกว่า จะไปเหมือนท่านอ๋อเย่ได้อย่างไรที่วันๆ เอาแต่ยุ่งกับเรื่องงานราชการและการดูแลประชาชน
ขณะนี้สีหน้าของท่านอ๋องตวนยิ่งแย่ลง หนานกงเย่ไม่ยอมนั่งเป็นขุนนางดีๆ แต่กลับออกไปทั่ว ทำให้เขาต้องอยู่ที่นี่เพื่อดูแลสามมณฑลและหกกรม
อวิ๋นหลัวฉวนให้ความสำคัญมากกับเรื่องนี้ เมื่อเห็นผนึกตราประทับผู้สำเร็จราชการแทน นางยกไปและลูบคลำ หากคนไม่รู้คงจะคิดว่านางต้ิงการเป็นขุนนาง
แต่ใครจะไปรู้ว่านางเพียงแค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น
ท่านอ๋องตวนหัวเราะขบขัน “ฉวนเอ๋อร์ชอบผนึกตราประทับผู้สำเร็จราชการแทนหรือ?”
“จะบอกว่าชอบก็คงไม่ชอบ เพียงแค่ไม่เคยเห็นจึงรู้สึกแปลกใหม่ ท่านอ๋องเตรียมตัวแล้วหรือกับการต้องเข้าเฝ้าในวันพรุ่งนี้”
ท่านอ๋องตวนไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย เมื่อได้ยินที่อวิ๋นหลัวฉวนพูดก็นั่งลงอย่างโศกเศร้า
อวิ๋นหลัวฉวนนั่งลงและถามว่า “ทำไมหรือเพคะ?”
“ท่านอ๋องเข้าเฝ้าว่าราชการก็ต้องเข้าเฝ้าอย่างมีท่าทาง ในเมื่อทำหน้าที่ดูแลผนึกตราประทับของผู้สำเร็จราชการแทนแล้ว ก็ไม่สามารถทำให้ขายหน้าเอาได้?” อวิ๋นหลัวฉวนรู้สึกว่านี่เป็นการดีที่ท่านอ๋องตวนจะแสดงออก แต่ท่านอ๋องตวนกลับไม่คิดเช่นนั้น
การเข้าไปอยู่ในตำแหน่งขุนนางเร็วเกินไป สำหรับท่านอ๋องตวนแล้วมันทรมานกว่าการฆ่าเขาเสียอีก
ท่านอ๋องตวนจ้องมองผนึกตราประทับอย่างโศกเศร้า “สิ่งที่ข้าไม่ชอบมากที่สุดก็คือการเข้าเฝ้าว่าราชการ และไม่ชอบการเกิดมาในตระกูลที่สูงส่ง ตระกูลกูลที่สูงส่งมักไม่มีจิตใจ”
“……”
อวิ๋นหลัวฉวนนึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องตวนจะพูดออกมาเช่นนี้ และมองท่านอ๋องตวนอย่างเข้าอกเข้าใจ
ตระกูลที่สูงส่งไม่มีจิตใจจริงๆ บนหนังสือตำราต่างก็เขียนเช่นนั้น
แต่ต่อให้ไม่มีจิตใจ แต่ก็ไม่ได้ไม่มีจิตใจถึงเช่นนี้ที่ท่านอ๋องตวนพูด เขาพูดราวกับตระกูลสูงส่งเป็นเหมือนสนามฆ่าคน ที่ทำหน้าที่ในการตัดสินชีวิตของคนอื่น
อวิ๋นหลัวฉวนพูดเกลี้ยกล่อมอยู่นานจึงสามารถจบเรื่องนี้ลงได้
ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และคืนนี้ก็จะออกเดินทางจะเมืองหลวง และคนอีกกลุ่มหนึ่ง อวิ๋นเซวียนอี้ก็ได้พาอู๋กั่วที่เพิ่งแต่งงานเสร็จไม่นานออกเดินทางไปที่เขตชายแดน
เพิ่งจะแต่งงานก็ออกเดินทางไปรบนั้นพบเห็นได้น้อยมากในเมืองต้าเหลียง แต่ในจวนกั๋วกงนั้นนี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรก พวกเขาต่างคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้
ราวกับว่าถ้าพาภรรยาที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่ไปออกรบกลับมา เช่นนั้นก็เป็นการเพิ่มประสบการณ์และผ่านการทดสอบ หลังจากนี้ก็สามารถใช้ชีวิตในจวนกั๋วกงได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นแล้วรู้สึกว่าตัวเองถูกรังแก
ตั้งแต่ที่อู๋กั่วแต่งงานออกไปก็รู้สึกว่าการแต่งงานเป็นเรื่องที่สวยงาม นิสัยที่หัวร้อนเดิมนั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นภรรยาที่แสนอ่อนโยนและเอาใจใส่
อวิ๋นเซวียนอี้พึงพอใจอย่างมาก ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็คอยเฝ้ามองดูภรรยาของเขา ราวกับกลัวว่าจะทำนางหายไป
ฉีเฟยอวิ๋นได้พบปะกับอู๋กั่วก่อนออกเดินทางก็ให้ความรู้สึกและเป็นลักษณะเช่นนี้
ผ่านไปหลายวัน
ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกมาจากรถม้า การเดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว
หนานกงเย่พิงไปในรถม้าอย่างเกียจคร้านและสายตาจ้องมองไปที่ใบหน้าที่ใสสะอาดของฉีเฟยอวิ๋น และอดไม่ได้จึงลูบไปที่ขาของเขา ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังกลับไป
“ทำไมหรือเพคะ? เมื่อคืนเหนื่อยเกินไปหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงและพิงไปในอ้อมกอดของหนานกงเย่
“ข้าเพียงแค่อดไม่ได้”
“เช่นนั้นก็ติดตามมาด้วยก็จบแล้วไม่ใช่หรือเพคะ?”
“เหลียงหงฮวายกำลังตั้งครรภ์ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ข้าจะจากไป โดยเฉพาะพระสนมเอกเซียว ตระกูลจวินมีพระคุณต่อข้า ข้าไม่สามารถให้ตระกูลจวินเกิดเรื่องขึ้นได้
ข้าไม่อยู่เมืองหลวงทำให้มีช่องว่าง หากคนของจงชินลงมือในตอนนี้และทำร้ายทายาทของข้า ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษ ประชาชนในอาณาจักรต้าเหลียงก็คงจะเดือดร้อนวุ่นวายไปด้วยทั้งหมด
หากข้าไปครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมา ทั้งสองเมืองทำการรบกัน ไม่เคยมีครั้งไหนที่จบลงง่ายดายเพียงไม่กี่วัน
หากข้าไม่กลับมาสามสี่เดือน เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นแน่
ข้าได้จัดส่งกำลังคนกลับมาในระหว่างการเข้าวังของเจ้า ไห่กงกงจะจัดการทุกอย่างเพื่อรอเจ้า โดยพักอาศัยอยู่ที่มู่เหมียนที่นั่นเป็นการชั่วคราว แต่เจ้าห้ามมีพิรุธเด็ดขาด หากไม่เกิดอะไรขึ้นก็ถือเป็นการดี หากเกิดเรื่องขึ้น……จะต้องรักษาทายาทของราชวงศ์เอาไว้ให้ได้!”
“ดูไม่ออกเลยว่าท่านอ๋องจะเป็นคนเช่นนี้ หม่อมฉันก็ถูกหลอกไปด้วยแล้ว!”
“ข้าโชคดีที่ได้พบอวิ๋นอวิ๋น เป็นความโชคดีตลอดชีวิจของข้า! การเดินทางครั้งนี้ต้องลำบากอวิ๋นอวิ๋นแล้ว” หนานกงเย่ทำใจไม่ได้ แต่เขาก็ไม่มีวิธีการอื่น
ฉีเฟยอวิ๋นจูบหนานกงเย่ “เช่นนั้นท่านก็ต้องรีบกลับมานะเพคะ!”
“อืม”
ทั้งสองแยกย้ายกัน ฉีเฟยอวิ๋นแต่งกายให้เหมาะสมกับการเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืน โดยใช้เวลาเพียงแค่สองวันก็กลับมาถึงเมืองหลวง หลังจากนั้นก็ปลอมตัวเข้าไปในวังหลวง ไห่กงกงยืนรอฉีเฟยอวิ๋นอยู่ที่หน้าประตูในตอนกลางคืน เมื่อพบฉีเฟยอวิ๋นก็เตรียมที่จะส่งไปที่ตำหนักหรงเต๋อ แต่สุดท้ายก็ถูกเสี่ยวสวีจื่อพบเข้าระหว่างทาง
“ไห่กงกง ฝ่าบาทสั่งให้ข้ามารับ”
ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นดูว่างเปล่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น?