บทที่ 374.1 เดินทางไกลไปตะวันออกเฉียงใต้

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เรือหลายชั้นที่มุ่งหน้าไปยังแคว้นชิงหลวนลำนี้ ผู้สร้างคืออาจารย์ด้านกลไกของสำนักโม่ที่ใช้เจ้าสิ่งนี้หาเลี้ยงชีพ เมื่ออยู่ท่ามกลางเรือข้ามฟากมากมายของนครมังกรเฒ่าจึงดูไม่โดดเด่น ทุกครั้งจะบรรทุกผู้โดยสารร้อยกว่าคน แต่ที่มากกว่านั้นกลับยังคงเป็นสินค้าแปลกๆ หายากที่ขนส่งจากทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปไปยังทางทิศใต้ของใบถงทวีป เพียงแต่ว่าสินค้าที่มาอยู่บนเรือของพ่อค้าลำนี้คือผลลัพธ์หลังจากที่ห้าแซ่ใหญ่ของนครมังกรเฒ่าเลือกสรรกันหลายรอบแล้ว คุณภาพของสินค้าจึงธรรมดา มีบางครั้งที่ได้ของดีมาโดยบังเอิญ ได้เงินเกล็ดหิมะเพิ่มมาอีกหลายร้อยเหรียญก็ถือว่าคุ้มค่าให้เฉลิมฉลองกันแล้ว

แคว้นชิงหลวนที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เป็นที่รู้จักในเรื่องของอารามเต๋าและวัดวาที่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า เทพเซียนลัทธิเต๋าและภิกษุที่มีคุณธรรมสูงส่งจากฝ่ายต่างๆ มักจะมาจัดงานประกอบพิธีกรรมทางศาสนาครั้งใหญ่ภายใต้การออกเงินทุนของราชสำนักเป็นประจำ บวกกับที่กระดาษเซวียนจื่อชิงถานของแคว้นชิงหลวนก็มีชื่อเสียงอย่างมาก ถูกนำไปวางขายในหลายทวีป เป็นเหตุให้ฮ่องเต้แต่ละรุ่นของแคว้นชิงหลวนได้เลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่ร่ำรวยที่สุดทางพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งลัทธิพุทธในแจกันสมบัติทวีปยังไม่ได้รับความนิยม แต่จำนวนวัดในแคว้นชิงหลวนกลับมีมากเป็นอันดับหนึ่งของทวีป เสียงสวดบาลีดังไม่ขาดสาย ผนังแต่ละด้านเขียนบทกลอนอันไพเราะของนักปราชญ์ นักประพันธ์ เซียนกวีไว้จนเต็มแน่น จึงดึงดูดเหล่าปัญญาชนผู้มีความรู้จำนวนนับไม่ถ้วนให้เดินทางไปท่องเที่ยวที่แคว้นชิงหลวน

ในห้องชั้นบนที่สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบของเรือ เฉินผิงอันกำลังนั่งอ่านผลงานของนักประพันธ์ผู้หนึ่งที่เขียนบรรยายถึงทัศนียภาพในแคว้นชิงหลวน ซื้อมาจากร้านหนังสือแห่งหนึ่งในนครมังกรเฒ่า ซึ่งบอกให้จูเหลี่ยนช่วยรวบรวมมาให้โดยเฉพาะ

เฉินผิงอันอ่านหนังสือ เผยเฉียนคัดตัวอักษร

เรื่องราวยากลำบากบนโลกใบนี้ ยากที่การเริ่มต้น หากเคยชินแล้วก็จะไม่คิดแบ่งแยกว่ายากหรือง่ายอีกต่อไป เผยเฉียนก็เป็นเช่นนี้ นางคัดตัวอักษรทุกวันจนกลายเป็นความเคยชิน ต่อให้เฉินผิงอันไม่มานั่งเฝ้า นางก็ยืนหยัดจะเขียนทุกวัน เพียงแต่เฉินผิงอันเองก็รู้ดีว่าหากตนไม่อยู่ข้างกายนาง เรื่องการคัดตัวอักษร เผยเฉียนต้องโยนทิ้งไปแน่นอน อย่างมากสุดก็คงแค่รู้สึกละอายใจอยู่สองสามวัน จากนั้นก็ออกไปเที่ยวเล่นอย่างบ้าคลั่งโดยไม่นึกถึงมันอีก

เฉินผิงอันแบ่งเหล้าดองหลอมเล็กที่หลอมมาจากโอสถทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดกานั้นเป็นห้าส่วน มอบให้สี่คนในภาพวาดคนละส่วน นี่คือเรื่องโชคดีในจำนวนไม่กี่เรื่องที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสามารถใช้ของนอกกายมาเพิ่มพูนตบะได้ ตอนนี้สุยโย่วเปียนมีตบะขอบเขตเจ็ดร่างทอง อีกทั้งยังมีกระบี่อาคมชือซินอยู่ในมือ อันที่จริงพลังการพิฆาตของนางจึงไม่น้อยแล้ว โดยเฉพาะการเข่นฆ่ากันตัวต่อตัว หากเป็นผู้ฝึกลมปราณต่ำกว่าขอบเขตเซียนดินลงไป แล้วปล่อยให้นางขยับเข้าประชิดตัวในระยะสิบจั้ง ก็อาจไม่ใช่ศัตรูที่ฝีมือทัดเทียมกับนางเสมอไป คอขวดของจูเหลี่ยนคลายตัว วี่แววปรากฏชัดเจน ตามหลังสุยโย่วเปียนไปติดๆ อยู่ใกล้การเป็นคนที่สองซึ่งได้เหยียบเข้าไปในสามขอบเขตหลอมจิตของผู้ฝึกยุทธ์ในระยะประชิดแล้ว

ส่วนเว่ยเซี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงตอนนี้ยังไม่น่าจะฝ่าทะลุขอบเขตไปได้ เพียงแต่ว่าหลังจากที่เจิ้งต้าเฟิงช่วยป้อนหมัดและผ่านศึกเป็นตายนอกนครมังกรเฒ่า ยอดเขาของขอบเขตหกก็ขยับสูงขึ้นไปได้อีกนิด

เดิมทีคนทั้งสี่ในภาพวาดก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกและขอบเขตเจ็ดที่ธรรมดาอยู่แล้ว

การเดินทางขึ้นเหนือของแจกันสมบัติทวีปในครั้งนี้ ขอแค่ไม่เจอกับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่สติวิปลาส ต่อให้เผชิญหน้ากับเซียนดินก่อกำเนิดที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ไม่กล้าพูดว่าจะถอยออกมาได้อย่างเต็มตัวไร้ความเสียหาย แต่ย่อมไม่ขาดพลังในการต่อสู้แน่นอน ขอแค่เว่ยเซี่ยนสี่คนยอมกระโจนเข้าหาความตายอย่างไม่หวาดกลัว ไม่แน่ว่าทางฝ่ายของเฉินผิงอันอาจจะพอคว้าชัยชนะมาได้อย่างถูไถ

หลังจากเดินทางผ่านนครมังกรเฒ่าครั้งนี้ สิ่งที่เฉินผิงอันเสียดายที่สุดก็คือยันต์สยบกระบี่กระดาษสีเขียวที่จงขุยใช้เหล็กหมาดหิมะเขียนให้แผ่นนั้น เขามอบมันให้กับเจิ้งต้าเฟิง บังเอิญมากที่กระบี่ซึ่งถูกกักอยู่ภายในก็คือ ‘เจี้ยนเซียน’ อาวุธกึ่งเซียนซึ่งเฉินผิงอันสะพายไว้ด้านหลังในตอนนี้ เพราะฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ และกระบี่เล่มนี้ก็ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ผ่านการหล่อหลอมมาแล้ว ดังนั้นพอขึ้นไปบนแท่นมังกร เจิ้งต้าเฟิงก็ใช้ยันต์สยบกระบี่กักขังกระบี่เล่มนี้ ต่อให้ไม่สามารถกักขังได้นานนัก แต่ก็ทำให้ฝูฉียอมแพ้อย่างตรงไปตรงมา

หากมียันต์สยบกระบี่แผ่นหนึ่งติดตัว ต่อให้เจอกับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ปราณสังหารพลุ่งพล่าน เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ต้องหวาดกลัวจนเกินไป กลับกันยังสามารถใช้จังหวะที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัวโจมตีให้อีกฝ่ายทำอะไรไม่ถูกเลยก็ยังได้

แต่สิ่งที่ได้มาและสิ่งที่เสียไปเหล่านี้ ยังไม่ถึงขั้นทำให้เฉินผิงอันปล่อยวางไม่ได้

สิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันผิดหวังอย่างแท้จริงก็คือยันต์แผ่นนี้คือหนึ่งในยันต์สองแผ่นสุดท้ายที่จงขุยใช้ร่างของวิญญูชน ร่างของมนุษย์บนโลกเขียนมันขึ้นมา

เมื่อเทียบกับเรือข้ามทวีปที่เฉินผิงอันเคยโดยสารและเคยพบเจอมาก่อน เรือข้ามฝากใต้ฝ่าเท้าลำนี้ก็ถือว่ามีขนาดเล็กจิ๋ว ได้แต่ยืนชมทิวทัศน์อยู่ตรงหน้าต่าง ไม่มีระเบียงยื่นออกไป

หลังจากที่เผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จ เฉินผิงอันก็ตั้งใจตรวจสอบอยู่รอบหนึ่ง พบว่าไม่มีตัวอักษรใดที่เขียนอย่างขอไปทีจนจำเป็นต้องเขียนใหม่ก็เริ่มพานางฝึกเดินนิ่งหกก้าวไปด้วยกัน ทุกวันต้องฝึกอย่างน้อยสองชั่วยาม

เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าการฝึกยืนนิ่งน่าเบื่อหน่ายหรือเป็นเรื่องที่เปลืองแรงกายเปลืองแรงใจแค่ไหน จนกระทั่งเผยเฉียนเริ่มฝึกเขาถึงได้ตระหนักว่าอันที่จริงกระบวนท่าหมัดของตำราหมัดเขย่าขุนเขานี้ง่ายมากจริงๆ แต่หากคิดจะฝึกให้ครบหนึ่งล้านครั้งกลับไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ต่อให้เฉินผิงอันคอยสังเกตลมหายใจและพละกำลังของเผยเฉียนอยู่ตลอดเวลา ทว่าทุกครั้งเผยเฉียนจะต้องเหนื่อยจนเหงื่อแตกเต็มหลัง เส้นผมตรงหน้าผากเปียกจนกระจุกรวมกันเป็นก้อน สีหน้าซีดขาว แม้จะไม่กล้าคร่ำครวญหรือบ่นว่าเหนื่อย แต่เฉินผิงอันที่อยู่ด้านข้างเห็นว่าใบหน้าเล็กๆ ดำเกรียมนั้นไม่มีรอยยิ้ม หรือบางครั้งขณะที่เดินไปทีละก้าว เรือนกายผอมบางจะสั่นเทาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ แม้เฉินผิงอันจะทำสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา แต่ในใจก็ยังอดสงสารนางไม่ได้

วันแรกเผยเฉียนอาศัยความฮึกเหิมเหมือนลูกวัวเพิ่งคลอดจึงไม่กลัวสิ่งใด ฝืนประคองตัวจนยืนนิ่งได้สองชั่วยาม ผลคือสุดท้ายเฉินผิงอันต้องแบกนางกลับไปยังห้องที่อยู่ข้างกัน วันที่สองเพิ่งฝึกได้หนึ่งชั่วยามก็ล้มกองอยู่บนพื้น ร่างกระตุกเป็นตะคริว จิงชี่เสินของทั้งร่างหายเกลี้ยง เฉินผิงอันจึงไม่ได้บังคับให้นางต้องฝึกสองชั่วยาม หลายวันหลังจากนั้นคือต้องรับรองว่าจะสามารถฝึกท่าหมัดให้ได้หนึ่งชั่วยามไม่หยุด และทุกครั้งก็จะแค่เพิ่มเวลาขึ้นมาอีกเล็กน้อยเท่านั้น

เผยเฉียนถึงกัดฟันยืนหยัดได้ต่อ

ตอนแรกที่จูเหลี่ยนพูดจาเย้ยหยันอยู่ด้านข้าง ถ่านดำน้อยยังมีแรงถลึงตากลับอย่างขุ่นเคือง ภายหลังนางก็ไม่มีอารมณ์จะไปทวงความยุติธรรมจากจูเหลี่ยนมาให้ตัวเองอีกแล้ว

สิบวันให้หลัง ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดมาได้ บนใบหน้าของเผยเฉียนจึงกลับมามีรอยยิ้มอย่างในวันวาน เวลาเดินก็เริ่มกลับมาเดินอาดๆ หรือไม่ก็กระโดดโลดเต้นอันเป็นสัญลักษณ์ของนาง เวลาที่จูเหลี่ยนพูดจาน่าโมโหว่า ‘คุณชาย บ่าวเฒ่าคิดว่าเผยเฉียนมีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ที่ดีเยี่ยม เวลาที่ขัดเกลาเรือนกาย เส้นเอ็นและกระดูกควรจะรับกับความยากลำบากให้มากหน่อย เลือดลมถึงจะได้พลุ่งพล่าน ไม่สู้ฝึกเดินนิ่งทุกวัน วันละสองชั่วยามจะดีกว่า’ เผยเฉียนก็สามารถกลับไปถลึงตาใส่เขาได้อีกครั้ง

วันนี้ฝึกเดินนิ่งเสร็จ หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กก็เปิดหน้าต่างฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู เผยเฉียนตัวเตี้ยจึงมองเห็นแต่ผนังห้อง หลังจากเฉินผิงอันยอมอนุญาต นางจึงยืนเหยียบอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง สามารถมองทะเลเมฆนอกหน้าต่างไปพร้อมกับเฉินผิงอันได้พอดี

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ต้องเชื่อว่าเมื่อความทุกข์ยากหมดไป ความหวานชื่นจะมาเยือน”

ตอนนี้การฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูของเผยเฉียนเป็นแค่การทำท่าทางให้เหมือนเท่านั้น ประสิทธิผลที่ได้รับน้อยนิดอย่างยิ่ง สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันเองก็แปลกใจอย่างมาก หลังจากถามพวกสุยโย่วเปียนก็ยังไม่ได้คำตอบที่กระจ่าง

เมื่อผ่านช่วงเวลาการฝึกเดินนิ่งที่ยากลำบากของวันนี้ไปได้อีกครั้ง เผยเฉียนกำลังแอบดีใจ นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงหันหน้ามาพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวาดหวัง “วันหน้าเวลาที่ข้าไปท่องยุทธภพก็มีกระบี่เล่มหนึ่งด้วยได้ไหม? ทางที่ดีที่สุดคือพกดาบเล่มหนึ่งไว้ตรงเอวเหมือนเสี่ยวป๋ายด้วย ตอนนั้นข้าต้องมีเรี่ยวแรงไม่น้อยแล้วแน่ๆ ไม่กลัวว่าจะมาก ไม่กลัวว่าจะหนัก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ขอแค่เจ้าไม่แอบอู้ ข้าสามารถรับปากได้ตอนนี้เลย วันใดในอนาคตที่เจ้าเดินทางท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง จะต้องมอบกระบี่หนึ่งเล่มและดาบหนึ่งเล่มให้เจ้าอย่างแน่นอน”

เผยเฉียนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “อันที่จริงข้าคิดมาดีแล้ว วันหน้าหากมีดาบและกระบี่เป็นของตัวเองก็จะห้อยไว้ตรงเอวข้างเดียวกัน แม้แต่ชื่อข้าก็ตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว อาจารย์ท่านอยากฟังหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้ม “ไหนลองว่ามาสิ”

เรื่องตั้งชื่อนี้ เฉินผิงอันเชี่ยวชาญมากมาโดยตลอด

ยกตัวอย่างเช่นชูอีสืออู่ ยกตัวอย่างเช่นกำจัดปีศาจปราบมาร

เผยเฉียนพูดเบาๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกว่า ‘เตาเจี้ยนชั่ว’ เพราะห้อยตัดกันอยู่ตรงเอวอย่างไรล่ะ (เตาคือดาบ เจี้ยนคือกระบี่ ชั่วแปลว่าสลับกัน/ซ้อนกัน) อาจารย์ ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ดีมาก”

ดวงตาทั้งคู่ของเผยเฉียนยิ้มจนตาหยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว ยื่นนิ้วสองนิ้วมาประกบติดกัน “ขอแค่ดีได้เท่านี้ของกระบี่เล่มที่อาจารย์สะพายอยู่ ข้าก็ดีใจมากแล้ว”

เฉินผิงอันฟุบตัวคว่ำอยู่บนหน้าต่าง หันหน้ามายิ้มให้นาง “เดี๋ยวพอเรือจอดเทียบท่า พวกเรายังคงทำตามกฎเดิม เดินเท้าท่องไปในแคว้นชิงหลวน ถึงเวลานั้นถ้าเห็นป่าไผ่ข้างทาง ข้าจะเลือกเอาไม้ไผ่แก่ๆ ที่มีอายุมากน้อยมาทำเป็นดาบไม้ไผ่และกระบี่ไม้ไผ่ให้เจ้าสองเล่ม หากไม่รังเกียจก็ห้อยเอาไว้ก่อน”

เผยเฉียนพูดเสียงดัง “เอาแบบที่น้ำหนักเบาหน่อย ขนาดเล็กหน่อย แขวนไว้บนตัวจะได้ไม่หนัก”

เฉินผิงอันยิ้มตอบรับ มองไปทางทะเลเมฆ ถามชวนคุย “แล้วไม้เท้าเดินป่าอันนั้นล่ะจะทำอย่างไร?”

เผยเฉียนตอบอย่างไม่ลังเล “มันคือขุนพลผู้แกล้วกล้าอันดับหนึ่งที่อยู่ใต้บังคับบัญชาข้า เดินทางเคียงข้างข้ามาไกลขนาดนั้น ข้าตัดใจทิ้งมันไม่ลงหรอก ข้าเตรียมจะอนุญาตให้มันปลดเกราะเหล็กกลับบ้านเกิด เลี้ยงหลานอยู่บ้าน วันหน้าค่อยไปขอคำแนะนำจากเว่ยเซี่ยนว่าควรจะประทานยศขุนนางอะไรให้กับมัน…”

เผยเฉียนร่ายความรู้ที่ชวนเข็ดฟันออกมายาวเหยียด

แต่เฉินผิงอันกลับพยักหน้าเห็นด้วย เอ่ยเบาๆ ว่า “แบบนี้น่ะถูกแล้ว”

……

นครมังกรเฒ่า ทางฝั่งของร้านยาฮุยเฉิน อันที่จริงเจิ้งต้าเฟิงไม่มีสัมภาระอะไรให้จัดเก็บ นอกจากเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดก็มีแค่กระบอกยาสูบเก่าอันนั้นที่พกติดตัว

ราวกับว่าชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกมอมแมมคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เฝ้าประตูไม้พังๆ ของถ้ำสวรรค์หลีจูในปีนั้น หรือตอนที่มาเยือนที่นี่ ก็คล้ายว่าเขาจะเป็นอย่างนี้ไปชั่วชีวิต ไม่มีของอะไรที่จำเป็นต้องหยิบขึ้นมา และไม่มีสิ่งใดที่วางไม่ลง

พรุ่งนี้จะต้องโดยสารเรือข้ามฝากของตระกูลฝูเดินทางกลับเขตการปกครองหลงเฉวียนราชวงศ์ต้าหลีแล้ว วันสุดท้ายที่อยู่ที่นี่ เจิ้งต้าเฟิงจึงหยิบม้านั่งมานั่งอยู่ใต้ต้นไหวโบราณ

ผู้เฒ่าแซ่สวินจากไปแล้ว บอกว่าจะไปพบสหายคนหนึ่งที่พรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน

เมื่อวานหลี่เอ้อร์ย้อนกลับมาที่นครมังกรเฒ่า ฝูฉีก็พาบุตรชายคนโตฝูตงไห่เร่งรุดมาหา ความหมายของฝูฉีนั้นชัดเจนมาก ฝูตงไห่ตัดสินใจโดยพลการจึงชักนำให้เกิดหายนะในครั้งนี้ ขอแค่เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยคำเดียวก็สามารถบอกให้หลี่เอ้อร์ออกหมัดต่อยทำลายสะพานแห่งความเป็นอมตะของฝูตงไห่ได้เลย นับจากนี้ตระกูลฝูก็จะเลี้ยงฝูตงไห่เป็นคนไร้ค่าคนหนึ่ง

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มถามฝูฉี เหตุใดถึงไม่พาฝูตงไห่ที่ถูกทำลายสะพานแห่งความเป็นอมตะแล้วมาที่ร้านยา แบบนั้นจะไม่ดูจริงใจกว่าหรือ

ฝูฉีไม่อาจหาคำมาตอบโต้ได้

ฝูตงไห่ก็นับว่ากระดูกแข็งนั้น ไม่เพียงแต่ไม่ขอร้อง กลับยังพูดจาท้าทายอยู่สองสามคำ ท่าทางราวกับว่าหากหลี่เอ้อร์ไม่ออกหมัดเขาจะครั่นเนื้อครั่นตัวรู้สึกไม่สบายอย่างไรอย่างนั้น

—–