ตอนที่ 562 ก่อนฟ้าสาง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 562 ก่อนฟ้าสาง

ป้อมปราการของด่านชีผานมีทหารรักษาการณ์เข้าประจำการแล้ว โคมไฟและสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ ก็ถูกขนย้ายขึ้นมาแล้วเช่นกัน

ทหารใหม่จำนวน 20,000 นายเตรียมการป้องกันตามคำสั่งของกวนเสี่ยวซีอย่างเป็นระเบียบ ส่วนหน่วยสอดแนมถูกกวนเสี่ยวซีให้กระจายออกไปตามทิศทางของกองทัพสีฮวา

“มีรายงาน…ทหารฝ่ายศัตรูจะเดินทางมาถึงด่านชีผานอีกราว 2 ชั่วยาม ! ”

“จับตาดูต่อไป ! ”

กวนเสี่ยวซีเดินไปเดินมาบนหอกวนโหลวถึงห้าครา เขาตรวจสอบอาวุธในการป้องกันโดยละเอียด จากนั้นก็เดินมานั่งข้างกายจ้าวเหล่าลิ่ว

“เหล่าลิ่ว…”

จ้าวเหล่าลิ่วเองก็นั่งลงแล้วหันไปมองกวนเสี่ยวซี “ข้าแซ่จ้าวนามว่าเหล่าลิ่ว”

“อ่า… เหล่าลิ่ว เจ้าเป็นคนที่ใดกัน ? ”

จ้าวเหล่าลิ่วจ้องกวนเสี่ยวซี “เจี้ยนหนานซีเต้า เขตสู่โจว แล้วเจ้าเล่า ? ”

กวนเสี่ยวซีพิงศีรษะกับกำแพงและเงยหน้าขึ้นมองดวงดาราบนท้องนภา “ข้าหรือ…เส้นทางหวยหนาน เขตหยางโจว”

“ที่หยางโจวมั่งคั่งมิใช่หรือ ? เหตุใดเจ้าถึงมาเป็นทหาร ? ”

“ก็ข้าอยากเป็นทหาร อ่า… มิใช่ ข้าอยากเป็นทหารที่มิเหมือนผู้ใด ! ”

จ้าวเหล่าลิ่วชะงักลงทันใด “ ทหารทั้งสี่เหล่าก็คล้ายคลึงกันทั้งหมด จะมีทหารที่แตกต่างได้เยี่ยงไร ? ”

กวนเสี่ยวซีหัวเราะเหอะ “รู้หรือไม่ว่าข้าอ้อมมาด้านหลังด่านชีผานได้เยี่ยงไร ? ”

“ไม่รู้สิ หรือเจ้ามาทางเจี้ยนเหมินเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

จากที่จ้าวเหล่าลิ่ววิเคราะห์ ด่านชีผานรักษาการณ์ได้ดีและค่อนข้างสูง ทั้งยังมีหน้าผาเป็นกำแพงป้องกัน ผู้คนเหล่านี้มิใช่ชาวยุทธที่มีความสามารถลอยไปลอยมาได้ พวกเขามิมีทางบินข้ามภูเขามาได้อย่างแน่นอน

แต่คำเอ่ยของกวนเสี่ยวซีทำให้จ้าวเหล่าลิ่วประหลาดใจ “พวกข้าข้ามภูเขานั่นมาจริง ๆ เจ้ามิเชื่อเยี่ยงนั้นหรือ ? หากว่าเป็นก่อนหน้านี้ข้าเองก็คงมิเชื่อ”

จ้าวเหล่าลิ่วจ้องตาเขม็ง กวนเสี่ยวซีจึงถอนต้นหญ้าต้นหนึ่งที่เพิ่งงอกขึ้นมาจากซอกหินแล้วนำมาคาบไว้ในปาก เขาเลิกคิ้วขึ้นจากนั้นก็ชี้ไปยังภูเขาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความมืด “การที่กองกำลังดาบเทวะข้ามภูเขาเช่นนี้มา เรียกได้ว่ามิแตกต่างจากพื้นราบทั่วไปเลย เจ้าเข้าใจคำว่าพื้นราบหรือไม่ ? เป็นเช่นเดียวกับพื้นดินที่พวกเราใช้วิ่งเล่นอย่างไรอย่างนั้น การที่พวกข้าข้ามผ่านภูเขานั้นมาได้ เนื่องจากได้เรียนรู้ทักษะของกองกำลังดาบเทวะมาบ้าง”

บัดนี้ หยูมู่โถวก็ได้เดินเข้ามาและบังเอิญได้ยินเข้า จึงเอ่ยถามออกมาอย่างประหลาดใจว่า “กองกำลังดาบเทวะสามารถลอยข้ามกำแพงได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

กวนเสี่ยวซีหัวเราะ “อย่าว่าแต่ลอยข้ามกำแพงเลย ข้าว่าพวกเขาบินได้ด้วยซ้ำ”

หยูมู่โถวเบ้ปาก เห็นได้ชัดว่ามิเชื่อ “การที่พวกเขาต่อสู้ได้อย่างเก่งกาจนั้น เป็นเพราะปืนที่ท่านเสี่ยวกวนคิดค้นขึ้นมาต่างหาก หากพวกเรามีอาวุธนั้นในมือก็เก่งกาจมิแพ้พวกเขาหรอก ! ”

กวนเสี่ยวซีเงยหน้าขึ้นมองหยูมู่โถว “เจ้าช่างมิรู้อันใดเอาเสียเลย รอให้พวกเจ้าได้มีโอกาสพบกองกำลังดาบเทวะเสียก่อน แล้วจะรู้ว่ากองกำลังดาบเทวะเก่งกาจถึงเพียงใด… ใต้หล้าฟ้าเขียวนี้ มิมีผู้ใดที่กองกำลังดาบเทวะจัดการมิได้ ! ”

หยูมู่โถวชะงักลงทันที นึกถึงคำที่ทหารดาบเทวะเคยกล่าวในค่ายทหาร เขาจึงเกิดความเชื่อขึ้นมาบ้าง แต่ในดวงตายังบ่งบอกถึงความสับสน เนื่องจากเรื่องนี้เกินกว่าความรู้ของตนไปมากโข การต่อสู้วัดกันที่จำนวนคน แต่จำนวนของทหารดาบเทวะนั้นมีมิมาก กองกำลังทหารดาบเทวะเป็นกองกำลังแบบใดกันแน่ ?

หยูมู่โถวอยากจะรู้เสียจริงว่า พวกเขามีสามเศียรหกกรหรือไม่

สมองของจ้าวเหล่าลิ่วมิได้ซับซ้อนสักเท่าใด เขาหันหน้ามาเอ่ยถาม “เจ้ากล่าวว่าอยากเป็นทหารที่มิเหมือนผู้อื่น หมายถึงทหารดาบเทวะเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ใช่… ! ” กวนเสี่ยวซีถอนหายใจ แล้วถุยต้นหญ้าที่คาบเอาไว้ออกมา “นับจากที่ข้ารู้ว่าทหารดาบเทวะเก่งกาจถึงเพียงใด ? แม้ยามหลับฝันข้าก็ยังหวังว่าจะได้เป็นหนึ่งในทหารดาบเทวะ ต่อให้ต้องเป็นทหารชั้นผู้น้อยสุดก็ตาม”

“ท่านกวน ความฝันของท่านช่างประหลาดเสียเหลือเกิน ข้าเป็นทหารมา 5 ปีแล้ว อย่างน้อยก็อยากเป็นหัวหน้ากอง เฮ้อ…แต่บัดนี้ยังเป็นได้แค่ทหารชั้นผู้น้อย อีกทั้งยังยืนหยัดเพื่อกบฏอีก มิรู้ว่าอีกกี่ปีกี่ชาติจะได้มีหน้ามีตากับเขาเสียที ? ”

จ้าวเหล่าลิ่วถอนหายใจและส่ายศีรษะด้วยเช่นกัน

จากนั้น ทั้งสามคนก็สนทนาถึงเรื่องทหารดาบเทวะต่อสักพัก โดยมากแล้วจะเป็นกวนเสี่ยวซีที่เอ่ยออกมา อีกสองคนได้แต่ฟัง ราวกับว่ากำลังฟังเรื่องเทพเจ้าอย่างไรอย่างนั้น กวนเสี่ยวซีอธิบายถึงทหารดาบเทวะราวกับเป็นวีรบุรุษที่ลงมาจากสวรรค์

ในขณะที่กวนเสี่ยวซีกำลังยกยอทหารดาบเทวะอย่างเมามันอยู่นั้น ก็มีหน่วยสอดแนมเข้ามารายงานว่า “รายงานขอรับ…ทหารฝ่ายศัตรูคาดว่าอีก 1 ชั่วยามจะเดินทางมาถึงด่านชีผานแล้ว”

“เอาล่ะ มิต้องจับตามองแล้ว เตรียมการต่อสู้เถอะ”

ผู้สอดแนมมิได้เดินจากไป แต่กลับมองไปที่กวนเสี่ยวซี ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านหัวหน้า ข้าน้อยกำลัง…”

“ข้านงข้าน้อยอันใด ทหารดาบเทวะมิมีกฎเยี่ยงนี้ ! ” กวนเสี่ยวซีขัดขึ้นมาแล้วมองเจ้าหกนิ้วด้วยท่าทางไม่พอใจ

เจ้าหกนิ้วหัวเราะแหะ ๆ ออกมา “ข้าเคยชินเสียแล้วขอรับ…เอ่อคือ ท่านหัวหน้า ข้าได้อ้อมมาทางป่าด้านข้างและได้พบกับบางเรื่องเข้า”

“เรื่องอันใด ? ”

“ระยะทางด้านหลังของทหารฝ่ายศัตรูมิไกลเท่าใดนัก ราวครึ่งชั่วยาม คล้ายกับมีคนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่”

กวนเสี่ยวซีชะงักลงทันพลัน “มิใช่ทหารของศัตรูเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เจ้าหกนิ้วส่ายศีรษะ “ข้าดูแล้วคิดว่ามิเหมือนเท่าใด พวกคนเหล่านั้นสามารถลอยตัวกลางอากาศได้ ! ”

“…” กวนเสี่ยวซีขมวดคิ้วมุ่นทันใด ลอยตัวกลางอากาศเยี่ยงนั้นหรือ ? เป็นพวกชาวยุทธหรือเยี่ยงไร ?

“มีประมาณกี่คน ? ”

“ข้ามิกล้าเข้าใกล้ คาดว่าราวพันกว่าคนเห็นจะได้”

ผู้ใดที่มีความสามารถเรียกตัวยอดฝีมือจากยุทธภพนับพันคนมาได้กัน ?

พวกเขามาจากฝ่ายใดกันแน่ ?

มิได้การ ! เรื่องนี้ต้องรีบรายงานให้กับท่านแม่ทัพเผิงทราบ ทหารภูเขาจำนวน 3,000 นายเหล่านั้นจะได้เตรียมรับมือกับผู้มีฝีมือของชาวยุทธ มิเช่นนั้น หากพวกเขาบินขึ้นมายังหอกวนโหลวคงมิดีเท่าใดนัก

กวนเสี่ยวซีตัดสินใจทันที เขาหันไปกำชับกับจ้าวเหล่าลิ่วและเจ้าหกนิ้วว่า “ให้พวกพ้องของเราตั้งสติให้ดี ทหารฝ่ายศัตรูใกล้มาถึงแล้ว”

เขาเดินลงไปจากหอกวนโหลว จึงได้พบเข้ากับเผิงยวี๋เยี่ยนที่กำลังเดินตรวจการณ์

เขาเล่าเหตุการณ์นี้ให้นางฟัง เผิงยวี๋เยี่ยนขมวดคิ้วเนื่องจากทหารชายแดนใต้มิมีพวกชาวยุทธมากมายถึงเพียงนี้ หรือมีหนึ่งในสี่ของสำนักใหญ่เข้าร่วมการต่อสู้ครานี้ด้วย ?

มิรู้ว่ามาดีหรือมาร้าย เผิงยวี๋เยี่ยนจึงได้โยกย้ายทหารภูเขาทั้งสามพันนายไปยังหอกวนโหลว โดยทำการเตรียมกระสุนรับมือเอาไว้อย่างเคร่งครัด

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนและอีกสามคนเร่งฝีเท้าราวกับกำลังเหยียบย่ำบนดวงดารา ในใจของเขาช่างอึดอัดมากยิ่งนัก

เหนื่อยยิ่ง !

การข้ามภูเขาลูกนี้ใช้เวลาถึง 6 วันเต็ม

พวกเขาเดินทางได้รวดเร็วเป็นอย่างมาก เร็วกว่าที่เว่ยอู๋ปิ้งคาดเดาเอาไว้ถึงหนึ่งวันครึ่งก็ได้มาถึงไป๋หม่าอี้แล้ว และบัดนี้ พวกเขาอยู่ห่างจากกองทัพของซูม่อเพียงแค่ 2 ชั่วยามหากเดินเท้า

กองทัพของซูม่อเดินหน้าไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน พวกเขาตามติดอยู่ข้างหลังกบฏ ซูม่อไม่ได้ทำให้ทหารกบฏแตกตื่น เขาเลือกติดตามอยู่ข้างหลังเงียบ ๆ แล้วให้ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยเดินทางไปยังด่านชีผานเพื่อดูว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง

ซูเจวี๋ยถือโอกาสที่ท้องฟ้ายังมืดมิด วนเวียนอยู่ในด่านชีผานหนึ่งรอบ จึงได้รู้ว่าด่านชีผานตกอยู่ในมือของเผิงยวี๋เยี่ยน จากนั้นจึงเดินทางกลับไปยังทหารดาบเทวะกองพลที่สาม เพื่อรายงานสถานการณ์ให้ซูม่อได้รับทราบ

“ท่านแม่ทัพใหญ่เผิงเก่งกาจเสียจริง ภรรยาของเขาก็เก่งกาจมิแพ้กัน ! พวกเขาผ่านด่านป้องกันไปได้เยี่ยงไร ? ”

ทหารดาบเทวะหยุดพักลงกลางป่าลึก เพื่อดื่มน้ำและกินอาหารเติมพลัง

“ต้องใช้กลยุทธ์ของศิษย์น้องเล็กเป็นเเน่”

ซูม่อพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็กัดแผ่นธัญพืชพลางจัดการไปด้วยว่า

“อีกประเดี๋ยวพวกกบฏจะพยายามบุกเข้าไปในด่านชีผาน นี่เป็นคราแรกที่พวกเราเดินทางออกจากภูเขาเพื่อสู้รบ อย่าทำให้ชื่อเสียงของกองกำลังดาบเทวะต้องเสื่อมเสียเชียว ทุกคนจงฟังให้ดี อีกประเดี๋ยว…”