ความมืดเป็นสีของจัรกวาล อวกาศเต็มไปด้วยความเงียบและไม่มีสิ่งใด
มีเพียงแสงจากกระจุกดาวที่อยู่ห่างไกลเท่านั้นที่พอจะมองเห็นอย่างริบหรี่
ด้านนอกป้อมปราการแห่งดวงดาวมีกระแสความมืดไหลออกมาเหมือนกระแสน้ำ
นักศึกษามหาวิทยาลัยสุดยอดกำแพงและทหารของกองทัพสุดยอดกำแพงทุกคนเอียงหัวจ้องมองท้องฟ้าและกลั้นหายใจโดยไม่เต็มใจ
เฟิงหลินและผู้พันยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วยสีหน้าหนักใจ บรรยากาศตึงเครียดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในอวกาศอันมืดมิด เงาหนาทึบที่ปกคลุมไปด้วยเมฆดำอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตเคลื่อนตัวผ่านท้องฟ้า ทุกที่ที่พวกมันผ่านไปดวงดาวที่อยู่รอบ ๆ จะสูญเสียสีสันไป พลังงานทั้งหมดดูเหมือนจะถูกกลืนกินไปจนหมด ทำให้บรรยากาศหนาวเย็นและรกร้าง
กระแสความมืดมิดเป็นเหมือนน้ำนิ่ง คลื่นที่ตามมาขยายไปไกลสุดฝั่ง สิ่งนี้ทำให้หลายคนรู้สึกสิ้นหวังเมื่อได้เห็น
หลังจากที่มันเปิดเผยรูปแบบที่แท้จริงของพวกมัน ทุกคนจะเห็นว่ากระแสแห่งความมืดคืออสูรวิญญาณ จำนวนของพวกมีนอยู่ในหลักล้าน ในความเป็นจริงมีสายพันธุ์วิญญาณมากมายที่มนุษย์ยังไม่เคยค้นพบปรากฏตัวที่นี่ พวกเขาทำได้แค่ตั้งชื่อเบื้องต้นได้ตามลักษณะที่ปรากฏเท่านั้น มีบางตัวดูเหมือนพืชกินคน บางตัวดูเหมือนแมลงหมีน้ำขนาดยักษ์… มีแม้กระทั่งบางตัวที่ดูคล้ายกับมังกร
มีอสูรวิญญาณจำนวนมากอยู่ทุกหนทุกแห่ง
คลื่นเผ่าพันธุ์วิญญาณมาเป็นระลอก ราวกับว่าพวกมันต้องการที่จะกลืนกินมหาวิทยาลัยสุดยอดกำแพงอย่างสมบูรณ์
“ เผ่าพันธุ์วิญญาณมาบุกเราจริงๆ!”
“อีกเพียงหนึ่งชั่วโมง พวกมันก็จะมาถึงสุดยอดกำแพง! เราต้องไม่ปล่อยให้พวกมันมาทำลายกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราเด็ดขาด!”
“มีเพียงเราเท่านั้นที่จะสามารถอยู่รอดได้!”
…
ภายในป้อมปราการ เสียงแห่งความวุ่นวายดังขึ้นไม่หยุด
แม้จะเผชิญกับการโจมตีอย่างฉับพลันของเผ่าวิญญาณ แต่ผู้คนในมหาวิทยาลัยสุดยอดกำแพงไม่กลัว กลับกันความตั้งใจในการต่อสู้ของพวกเขากลับพลุ่งพล่าน
ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา ผู้คนในมหาวิทยาลัยสุดยอดกำแพงได้ปกป้องขอบเขตของกาแล็กซีทางช้างเผือก เป็นแนวหน้าต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ต่างดาวมาตลอด
สาเหตุที่อารยธรรมของมนุษย์เจริญรุ่งเรืองได้นั้นเป็นเพราะความพยายามของกองทัพสุดยอดกำแพงที่ทุ่มเทมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งต้องแบกรับภาระจากการรุกรานของมนุษย์ต่างดาว
การต่อสู้นองเลือดนับพันปีและหนี้แห่งความเกลียดชังจากบรรพชนของพวกเขาสะสมมาจนถึงปัจจุบัน ไม่มีวิธีใดที่จะแก้ไขความขัดแย้งนี้ได้ นี่คือสาเหตุที่ได้ยินเสียงวุ่นวายภายในมหาวิทยาลัยสุดยอดกำแพง
“ฆ่าพวกมัน! ฉันต้องแก้แค้นให้พี่ชายของฉัน!”
“คุณปู่ของฉัน พ่อของฉัน พี่ของฉัน ทุกคนเสียสละชีวิตเพื่อสู้กับวิญญาณเหล่านี้ ตอนนี้ถึงตาฉันแล้ว!
“การต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์ต่างๆ ใครจะชนะก็ได้ แต่มนุษยชาติจะแพ้ไม่ได้!”
…
ความตั้งใจในการรบพุ่งสูงขึ้น ทหารเริ่มแจกจ่ายอุปกรณ์
ป้อมปราการแห่งดวงดาวทั้งหมดเข้าสู่สภาวะเฝ้าระวังสูงสุด ปืนใหญ่ที่หนาและทรงพลังกว่าล้านกระบอกยื่นออกมาจากกำแพงเล็งไปที่กระแสสีดำในระยะไกลเพื่อเตรียมยิง
ไม่มีสักคนที่รู้สึกกลัว พวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความปรารถนาที่จะต่อสู้ รู้สึกเหมือนหม้อต้มน้ำเดือด อารมณ์ของทุกคนพุ่งสูง
เหนือสิ่งอื่นใด การมาถึงของกองทัพเผ่าวิญญาณไม่ใช่อะไรนอกจากโอกาสที่พวกเขาจะได้แก้แค้น
เฟิงหลินอยู่ท่ามกลางพวกเขา เขายังได้รับผลกระทบจากบรรยากาศและรู้สึกถึงเลือดลมร้อน
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้สูญเสียความมีเหตุผล โดยพิจารณาสถานการณ์อย่างใจเย็น
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นมนุษย์จากดวงดาวทุกคนมีหน้าที่ต้องออกไปฆ่า!
เมื่อถึงเวลานั้น เฟิงหลินไม่รู้สึกว่าเขาสามารถนั่งเฉยๆดูการต่อสู้ได้
และเขาเองก็ไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน
สนามรบเป็นที่ที่วีรบุรุษถือกำเนิดขึ้น มันเป็นสถานที่สำหรับฮีโร่
ชื่อเสียงมีแต่จะได้รับผ่านการต่อสู้เท่านั้น!
ด้วยการต่อสู้กับเผ่าพันธุ์วิญญาณในสนามรบ เราสามารถยึดถ้วยรางวัลแห่งสงคราม นี่ยังไม่รวมถึงอำนาจ โอกาสในการบ่มเพาะหรือผลผลิตทางอารยธรรมของเผ่าพันธุ์วิญญาณ … ทั้งหมดนี้สามารถใช้เป็นทรัพยากรเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง
หากสามารถอยู่รอดได้จนถึงที่สุด พวกเขาจะบรรลุความสำเร็จที่ไม่อาจจินตนาการได้
การต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ต่างดาวทุกครั้งจะนำไปสู่การเปลี่ยนสมดุลของพลังภายในมนุษยชาติ คล้ายกับไพ่แห่งโชคชะตาที่ถูกสับเปลี่ยน ไม่มีใครเต็มใจที่จะพลาดโอกาสนี้
เฟิงหลินจะยอมอยู่ข้างหลังได้ยังไง?
เมื่อคลื่นกองทัพวิญญาณใกล้เข้ามา ดวงดาวที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เริ่มสลัวเหมือนไฟที่ถูกดับลง พื้นที่รอบนอกที่มืดมิดอยู่แล้วกลับยิ่งดำมืดเข้าไปเอง มันเหมือนกับหลุมดำขนาดยักษ์ที่กลืนกินทุกสิ่ง มันน่ากลัวมาก
หากใครจ้องมองเป็นเวลานาน หัวใจของพวกเขาจะเต้นรัวด้วยความกลัวโดยไม่ตั้งใจ
“นี่คือ…?” เฟิงหลินถามด้วยน้ำเสียงงุนงง
ผู้พันพูดว่า “ตอนนี้คุณคงจะเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าระหว่างเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันไม่มีความเมตตา เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในขณะที่อีกเผ่าพันธุ์ยังมีชีวิตอยู่ เผ่าพันธุ์วิญญาณเป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบพลังงานและพวกมันต้องดูดซับพลังงานในจักรวาลเพื่อที่จะอยู่รอด พวกมันเป็นเหมือนคนเก็บกวาดและทุกที่ที่พวกมัน ‘กวาด’ ไปพลังงานทั้งหมดจะถูกกลืนกินจนหมด ทำให้สถานที่ที่พวกมันกวาดผ่านไปถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์ หากไม่มีพลังงาน ก็ไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตจะสามารถอยู่รอดได้ พวกมันคล้ายกับโรคระบาดของจักรวาล ทุกที่ที่พวกมันผ่านไปไม่มีสิ่งใดสามารถอยู่รอดได้แม้แต่ดวงดาวหลักก็ยังถูกทำลาย จากข้อมูลที่เราได้รับเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์วิญญาณ เราค้นพบว่าพวกมันได้ทำลายระบบดาวไปแล้วกว่าสิบระบบรวมถึงอารยธรรมกว่าสามหมื่นแห่ง หลายอารยธรรมยังก้าวหน้ากว่ามนุษยชาติเสียออก! มนุษย์เดินออกจากระบบสุริยะและรวมดาราจักรทางช้างเผือกให้เป็นหนึ่งเดียวเมื่อพันปีก่อน แต่ก่อนที่เราจะได้สำรวจเพิ่มเติมเราก็เจอกับการโจมตีตอบโต้จากเผ่าพันธุ์วิญญาณ หลังจากสองพันปีผ่านไป ในที่สุดเราก็สามารถรักษาเสถียรภาพของสถานการณ์นั้นได้ แต่เรายังไม่มีทางออกไปสำรวจดินแดนใหม่ได้! “
หลังจากพูดจนถึงตรงนี้ เขาก็กำหมัดแน่น ศักดิ์ศรีของการเป็นทหารทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
เจตนาในคำพูดของเขา ทำให้คนๆหนึ่งรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง
สำหรับเขาแล้วเฟิงหลินเป็นเพียงผู้เยาว์ คำพูดเหล่านี้คงไม่สามารถกวนใจเขาได้มากนัก
“มีอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้ากว่าของเรา แต่ทำไมพวกมันถึงถูกทำลาย เราป้องกันเผ่าพันธุ์วิญญาณมานานกว่าสองพันปีได้ยังไง?”
“แม้ว่าเผ่าพันธุ์ต่างดาวที่มีอารยธรรมสูงกว่าเราจะมีเทคโนโลยีล้ำหน้า แต่ระดับวิวัฒนาการชีวิตของพวกเขาก็ยังไม่สูงพอและพวกเขาไม่มีทางต่อสู้กับเผ่าพันธุ์วิญญาณได้ ในการต่อสู้ระหว่างดวงดาวที่ต้องจ่ายด้วยชีวิต มันยังไม่พอและทุกคนล้วนแต่อ่อนแออย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ระดับของพวกเขานั้นต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์วิญญาณและภายใต้การโจมตีทางจิตใจจากพวกมัน สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าทั้งหมดจะถูกครอบงำอย่างง่ายดาย จนเผ่าพันธุ์ทั้งหมดต้องสูญพันธุ์!
“สำหรับมนุษยชาติ เราโชคดีเพราะยีนในตำนานมีอยู่ในตัวเรา สิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่บรรพชนของเราทิ้งไว้ให้เราในยุคแรกเริ่ม ทำให้ระดับชีวิตของเราได้รับการพัฒนา เมื่อเราผ่านการเปลี่ยนแปลงไปจนถึงขอบเขตการบ่มเพาะที่สูงขึ้น แม้ว่าจุดเริ่มต้นของเราจะอ่อนแอ ตราบใดที่เราบ่มเพาะทีละก้าว เราจะสามารถก้าวข้ามระดับชีวิตของเผ่าพันธุ์วิญญาณได้ไม่ช้าก็เร็ว! ความสามารถในการต่อสู้ของเราแต่ละคนไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกมันเลย และระดับเทคโนโลยีของเราก็เช่นกัน นี่คือสาเหตุที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แม้จะผ่านมาสองพันปีแล้วก็ตาม! ” ผู้พันพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
เป็นเช่นนั้นเอง!
เฟิงหลินพยักหน้า และครุ่นคิด
“อย่าละสายตาเด็ดขาด เผ่าพันธุ์วิญญาณกำลังจะโจมตี ต่อไปคือเวลาที่เราจะได้ทดสอบความสามารถของตะกั่วแดงกลั่นเข้มของคุณ ผมหวังว่าตะกั่วแดงกลั่นเข้มของคุณจะสามารถสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับพวกมันได้ หากการทดลองนี้ประสบความสำเร็จ มนุษยชาติจะได้รับอาวุธที่ทรงพลังอีกอันเอาไว้ต่อกรกับพวกมัน!” ผู้พันเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เฟิงหลินยิ้มและพยักหน้า จากนั้นเขาก็มองไปที่ขอบฟ้า
คลื่นวิญญาณสีดำพุ่งออกมาเหมือนมหาสมุทร
เมื่อพวกมันเข้าใกล้เสียงระเบิดก็ดังก้องไปทั่วอากาศ
บูม บูม บูม!
การยิงปืนใหญ่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ปืนใหญ่กว่าหนึ่งล้านกระบอกเริ่มยิง ระเบิดตะกั่วแดงกลั่นเข้มใส่กลุ่มวิญญาณ
แสงสีแดงประหลาดเริ่มถูกปล่อยออกมา ทันทีที่สัมผัสกับวิญญาณ มันจะเริ่มลุกเป็นไฟเหมือนฟางและเปลวไฟจากตะกั่วก็ลุกลามอย่างรุนแรงเหมือนโรคระบาด
มนุษย์ในป้อมปราการต่างพากันส่งเสียงร้องยินดี เปลวไฟสีแดงปกคลุมอวกาศกว่าครึ่งหนึ่ง ส่วนเผ่าวิญญาณอีกครึ่งก็พากันหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง!
ตะกั่วแดงกลั่นเข้มแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพหลังจากการระเบิดเพียงครั้งเดียว!
มันนับเป็นฉากแห่งการทำลายล้างที่ยิ่งใหญ่ในจักรวาล!
ทุกอย่างถูกเผาอย่างหมดจด กลายเป็นขี้เถ้า!