ตอนที่ 609 ปฏิเสธการพูดคุย / ตอนที่ 610 ตักเตือนหนึ่งสอง

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 609 ปฏิเสธการพูดคุย

 

 

พูดกันตามจริงแล้ว เหยียนเค่อก็ไม่ได้แคร์อะไรกับเรื่องไร้สาระเล็กๆน้อยๆแบบนี้อยู่แล้ว สิ่งที่จะทำให้เขาไม่สบายใจได้ต้องเป็นเรื่องที่เขาแคร์เท่านั้น ดังนั้นเรื่องนี้แทบจะไม่ได้รับความสนใจจากเขาเรื่องด้วยซ้ำ

 

 

คืนนี้เหยียนเฟิงก็กลับมาที่นี่เหมือนกัน แม่เหยียนก็โทรไปเรียกสวีอิ๋งอิ๋งมากะจะให้มาทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน แต่ไม่รู้ว่าเหยียนเค่อใช้วิธีอะไรในการล็อคประตูไว้จากทางด้านในห้อง ด้วยแรงของแม่เหยียนทำให้ไม่สามารถดันประตูเข้าไปได้

 

 

“อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วลูกจะรอดไปได้นะ ถ้าลูกไม่ยอมออกมาแม่จะถือว่าลูกไม่ขัดข้อง แล้ววันนี้ก็จะกำหนดเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยไปเลยนะ”

 

 

เหยียนเค่อไม่ตอบ ข้างในห้องเงียบจนแม่เหยียนเริ่มรู้สึกกลัว ไม่ได้คิดสั้นฆ่าตัวตายไปแล้วหรอกใช่ไหม เธอเริ่มตะโกนเรียกไปอีกสองสามคำแต่ก็ยังคงไม่มีเสียงตอบกลับมาอยู่ดี แม่เหยียนทั้งเป็นกังวลทั้งโมโห ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเลยได้แต่ยืนตะโกนพูดอยู่ที่หน้าประตูห้อง

 

 

“แม่เลิกมากวนผมสักทีได้ไหม ผมยังมีชีวิตที่ดีอยู่ไม่มีทางคิดสั้นเพราะคนไม่คู่ควรแบบนั้นหรอก”

 

 

พอได้ยินเสียงเหยียนเค่อพูดกลับมาแม่เหยียนก็ค่อยโล่งใจขึ้น แต่ก็ยังเอ่ยขึ้นอย่างกลัวเสียหน้า “ใครเป็นห่วงลูกกัน ถ้าคนอย่างลูกกล้าฆ่าตัวตาย อย่างนั้นคนที่เหลือบนเหลือก็แทบไม่ต้องมีชีวิตแล้ว”

 

 

เหยียนเค่อยิ้มใจ “ผมขอแนะนำนะ ในเมื่อแม่รู้อยู่แล้วว่าคนอย่างผมไม่มีทางคิดสั้น แล้วทำไมไม่ปล่อยให้ผมอยู่อย่างสบายใจหน่อยล่ะ หรือว่าในสายตาของพวกท่านถ้าผมใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขแล้วพวกท่านจะมีความสุขใช่ไหม”

 

 

แม่เหยียนไม่ตอบ เดินจากไปอย่างโมโห

 

 

เหยียนเค่อรู้ว่าตนพูดค่อนข้างแรง ถึงขนาดอาจทำให้แม่เสียใจ แต่ว่านี่มันคือเรื่องจริง ตั้งแต่เด็กไม่ว่าเขาไม่อยากได้อะไรจะต้องบังคับให้เขาไปทำตลอด เขาคิดว่าเมื่อตนเองโตขึ้นแล้วจะได้ใช้ชีวิตในแบบที่อยากจะเป็น แต่ก็กลับต้องผิดหวังเมื่อพบว่าตนเองหนีการควบคุมของพ่อแม่ไม่พ้น

 

 

เหยียนเค่อมองไปทางด้านนอก ความจริงถ้าเขาอยากจะออกไปใครก็ห้ามเอาไว้ไม่ได้ แต่เขาแค่อยากจะให้ทั้งส่ายฝ่ายพอใจกับผลลัพธ์

 

 

เมื่อสวีอิ๋งอิ๋งมาถึงบ้านเหยียนก็เห็นแค่แม่เหยียนนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก

 

 

“คุณป้า”

 

 

“อิ๋งอิ๋งมาแล้วเหรอ” แม่เหยียนเห็นหล่อนก็ยิ้มขึ้นทันที เอ่ยทักทายอย่างกระตือรือร้น

 

 

เมื่อครู่สวีอิ๋งอิ๋งรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของแม่เหยียนไม่ค่อยดี ถึงแม้ตอนนี้ใบหน้าของท่านจะดูยิ้มแย้มแต่ก็ยังปรากฏร่องรอยของความอ่อนล้าให้เห็นอยู่ดี เธอไม่กล้าเอ่ยถามไปตรงๆจึงได้แต่เริ่มด้วยประเด็นที่ดูปลอดภัยไว้ก่อน

 

 

“คุณป้าอยู่บ้านคนเดียวเหรอคะ”

 

 

“เหยียนเฟิงไปบริษัท คุณลุงอยู่บนห้อง เหยียนเค่อ…” พอพูดถึงเหยียนเค่อแม่เหยียนก็ชะงักไป จากนั้นก็ถอนหายใจ “ทำให้หนูได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว ต่อไปถ้าแต่งเข้ามาลุงกับป้าจะดูแลหนูอย่างดีไม่เอาเปรียบหนูเด็ดขาด”

 

 

“คุณป้าพูดอะไรอย่างนั้นคะ” สวีอิ๋งอิ่งเดาได้ว่าตอนนี้ทางเหยียนเค่อมีสถานการณ์เป็นอย่างไร ในใจแอบดีใจแต่ไม่กล้าแสดงออกมา

 

 

แม่เหยียนได้ยินหล่อนพูดออกมาออกมาแบบนี้ด้วยความเป็นผู้หญิงเหมือนกันจึงสงสารสวีอิ๋งอิ๋งมากกว่าเดิม จึงตัดสินใจแล้วว่าจะต้องช่วยทำเพื่อหล่อน

 

 

สวีอิ๋งอิ๋งต้องได้ครอบครองเหยียนเฟิง ต้องไม่ทำให้เหยียนเค่อมาขัดขวางเธอได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องประจบเอาใจแม่เหยียนไว้ด้วย แบบนี้ต่อไปสถานะเธอในตระกูลเหยียนจะได้มั่นคง

 

 

เหยียนเค่ออยู่ที่ระเบียงตั้งแต่เที่ยงจนเย็น บรรยากาศด้านนอกไม่ได้สวยงามแต่ด้านนอกมีคนที่เขาชอบอยู่ มองไปก็ดูเหมือนเขากำลังรอความหวังบางอย่างอยู่

 

 

เมื่อก่อนเขาไม่ชอบเล่นเปียโน เพื่อที่จะให้ครูสอนเปียโนไปบอกพ่อแม่เขาว่าเขาไม่มีพรสวรรค์เขาถึงกับต้องแกล้งทำเป็นเล่นไม่ได้สักทีทั้งๆทีความจริงเล่นได้ตั้งนานแล้ว ผลสุดท้ายไม่ใช้ได้รับการให้อภัยจากพ่อแม่แต่เป็นการโดนขังอยู่ในห้องเปียโนคนเดียวทั้งวันเพื่อเป็นการลงโทษ

 

 

เขาคิดย้อนไปในอดีตอยู่เป็นนานจากนั้นก็กลับสู่โลกแห่งความจริง พอจะลุกขึ้นก็พบว่าไหล่เจ็บจนแทบจะยกไม่ขึ้น จึงได้แต่โทรหาฉินซื่อหลาน

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 610 ตักเตือนหนึ่งสอง

 

 

พอเหยียนเค่อพูดจบด้านหน้าหัวไหล่ก็บวมไปหมดแล้ว ฉินซื่อหลานดึงดันให้เหยียนเค่อถ่ายวิดีโอไปให้เขาดูว่าบาดแผลมันมากน้อยขนาดไหนแล้วเขาถึงจะบอกว่าควรทำอย่างไร

 

 

“ถ้านายโดนความงามของฉันโจมตีจนทนไม่ไหวต้องไปกระโดดตึกจะทำอย่างไร” เหยียนเค่อพยายามที่จะถอดเสื้อออก แต่แขนข้างขวามันขยับไม่ได้ ขนาดแค่ถอดเสื้อยังเจ็บขนาดนี้

 

 

“อย่ามั่วพล่าม รีบให้ฉันดู” ยิ่งเหยียนเค่อพูดเล่นสถานการณ์ยิ่งไม่ดี ฉินซื่อหลานเริ่มเป็นกังวล

 

 

เหยียนเค่อเปิดวิดีโอคอลให้ฉินซื่อหลานเห็น หัวไหล่บวมแทบจะเท่ากำปั้นคน ตรงด้านล่างรอยแดงยังมีรอยสีม่วงช้ำเลือดด้วย

 

 

“พ่อนายเห็นนายเป็นศัตรูหรือไงกันนะ” ฉินซื่อหลานอย่างจะสบถด่าออกมา คนแก่บ้านนี้ลงมืออย่างไม่ออมแรงเลยจริงๆ

 

 

“ไม่ร้ายแรงใช่ไหม” เหยียนเค่อรู้สึกว่าแค่ผิวถลอกเท่านั้น

 

 

ฉินซื่อหลานกลอกตามองเพื่อน เคสแบบนี้เรียกเบาก็ได้หนักก็ได้ ใครจะไปรู้ว่ามันโดนไปถึงกระดูกหรือเปล่า

 

 

“ฉันมองไม่ออก ตอนนายขยับรู้สึกไม่ดีบ้างไหม”

 

 

“ก็มีเวลาที่ขยับไหล่ไปด้านหน้าหลังจะรู้สึกปวด” เหยียนเค่อก็ไม่ได้พูดแกล้งเล่นอีก เอ่ยบอกตามที่เขารู้สึก

 

 

ฉินซื่อหลานคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรง “นายเอายามาทาก่อนแล้วกัน ระวังๆด้วย น่าจะบาดเจ็บถึงกล้ามเนื้อด้านใน”

 

 

“โอเค” เหยียนเค่อรับคำอย่างเชื่อฟัง

 

 

แบบนี้ฉินซื่อหลานรู้สึกสบายที่สุด แต่ของดีขาวๆ เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา มันทำให้คนอิจฉาจนอยากเอามือไปลูบคลำอยู่นะ

 

 

“ยาที่ฉันให้ไปคราวที่แล้วยังอยู่ไหม”

 

 

“ไม่มี”

 

 

“สเปรย์ล่ะ”

 

 

“ไม่มี”

 

 

ฉินซื่อหลานพบว่าปัญหามันไม่ได้ง่ายอย่างที่ตนคิดเสียแล้ว “น้ำมันดอกไม้แดงล่ะ”

 

 

“ไม่มี” เหยียนเค่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของนั้นมันคืออะไร

 

 

ฉินซื่อหลานหมดคำพูด เขาคงไม่สามารถเอายาไปยืนให้เหยียนเค่อจากทางหน้าต่างได้เหมือนที่เคยทำตอนเด็กๆหรอกมั้ง

 

 

“ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันเอาไปให้ นายเปิดหน้าต่างตรงระเบียงไว้แล้วกัน”

 

 

เหยียนเค่อพยักหน้า ถ้าฉินซื่อหลานไม่เอ่ยถามเขาก็กะว่าจะปล่อยให้มันค่อยๆหายเอง

 

 

ตอนฉินซื่อหลานออกไปเขาก็โทรหาซย่าเสี่ยวมั่ว ตอนแรกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเหยียนเค่อไม่ออกมาปกป้องซย่าเสี่ยวมั่ว

 

 

แต่ผ่านไปสักพักเขาก็คิดได้แล้ว เหยียนเค่อเข้มแข็งออกอย่างนั้น ซย่าเสี่ยวมั่วก็ควรจะโชว์พลังของตัวเองออกมาบ้าง

 

 

“ฮัลโหล” ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังเซ็ง ตอนนี้เจ้าโกลเด้นเอาแต่อาละวาดไปทั่ว เมื่อคืนก็อาละวาดอยู่ทั้งคืน วันนี้พอตกเย็นก็ดูจะเริ่มอีกแล้ว

 

 

“เป็นอะไร น้ำเสียงดูไม่ค่อยดี”

 

 

“ฉันบอกแล้วนายก็ไม่รู้หรอก”

 

 

“ฮิฮิ” ฉินซื่อหลานเริ่มสนุก “จะยังมีอะไรที่ฉันไม่รู้อีก”

 

 

“เมื่อคืนฉันถามนายแล้ว นายไม่รู้จริงๆนี่”

 

 

ฉินซื่อหลานนึกถึงข้อความที่ซย่าเสี่ยวมั่วตอบกลับมาประโยคที่สอง คำถามประหลาดแบบนั้นต่อให้เป็นสัตวแพทย์ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเลยแล้วหมอรักษาคนอย่างเขายิ่งไม่ต้องพูดถึง

 

 

“คงเป็นโรคพิษสุนัขบ้ามั้ง”

 

 

“นายสิเป็น อย่างมาแช่งหมาของฉันได้ไหม” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่สบอารมณ์ ตัวเองไม่รู้ก็แล้วไปสิมาพูดแบบนี้กับหมาของเธอได้อย่างไรกัน

 

 

ฉินซื่อหลานถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “ถ้าเธอมีเวลาเป็นห่วงหมาไม่สู้เอาเวลาไปเป็นห่วงเหยียนเค่อจะดีกว่า”

 

 

“เขามีอะไรต้องให้ฉันห่วง” ซย่าเสี่ยวมั่วปากแข็ง ทั้งๆที่ในใจเป็นห่วงจนแทบบ้าอยู่แล้วแต่ก็ต้องแกล้งทำนิ่งๆ

 

 

“มันได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ เรื่องนี้ฉันอธิบายมากไม่ได้ แต่เรื่องนี้เหยียยนเค่อเป็นผู้บริสุทธิ์ที่โดนทำร้าย ถ้าเธอจะมีแก่ใจอยู่บ้างก็โทรไปหามันหน่อย แต่ที่สำคัญคือห้ามบอกว่าฉันให้โทรแล้วเธอเลยโทรนะ”

 

 

“ก็มันเป็นอย่างนั้นนี่” ถ้าซย่าเสี่ยวมั่วจะโทรไปเธอต้องมีเหตุผล ไม่อย่างนั้นจะโทรไปหาเขาทำไม เดี๋ยวนะ… เหตุผล ดูเหมือนเธอจะมีนะ “โอเค ฉันรู้แล้ว”

 

 

ฉินซื่อหลานไม่รู้ว่าหล่อนเข้าใจจริงๆหรือว่าแกล้งทำเป็นเข้าใจ “เธอรู้ก็ดีแล้ว”