ส่วนที่ 4 ตอนที่ 46 งานเลี้ยงรุ่น (1)

ความลับแห่งจินเหลียน

ซีเหมินจินเหลียนเดิมทีที่กำลังจะเดินออกไปข้างนอก เมื่อได้ยินเช่นนั้นเลยหยุดฝีเท้าถามไปว่า “ฉันไปงานเลี้ยงรุ่น แล้วคุณจะไปทำอะไร” 

 

“ผมเป็นแฟนที่อยู่บ้านเดียวกันกับคุณนะครับ” จ่านป๋ายพูดอย่างไม่ลังเล “คุณคงจะไม่คิดที่จะข้ามแม่น้ำเสร็จแล้วพังทลายสะพานลงนะ ที่คิดอยากจะใช้เมื่อไหร่ก็เรียกออกมา ผมได้ยินจินอ้ายหัวบอกว่าสามารถพาแฟนไปได้ เธอก็ยังพาไปเลย” 

 

ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าไม่พูดจาอะไร มนตร์เสน่ห์ของลังโคมชุดหนึ่ง จินอ้ายหัวก็สามารถขายเธอได้อย่างหมดเปลือกจริงๆ 

 

“อีกอย่างคุณสวยแบบนี้แล้วจะให้ผมปล่อยคุณออกไปคนเดียวได้ยังไง ผมไม่ไว้วางใจ ใครจะไปรู้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นผู้ชายของคุณจะไว้ใจได้หรือเปล่า?” จ่านป๋ายพูดอีกรอบ 

 

ซีเหมินจินเหลียนไม่อยากจะต่อปากต่อคำอะไรกับเขาอีก เช่นนั้นจึงเพียงแค่หมุนตัวเดินออกไปข้างนอก แต่ในใจบ่นด่าเขาพึมพำ นี่เขาเห็นว่าเธอเป็นใครกัน? มีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นผู้ชายแล้วไม่วางใจ? ถ้าหากเธอมีเสน่ห์มากมายขนาดนั้น ทำไมถึงโดนแฟนเก่าทิ้งได้ล่ะ 

 

แกะสลักหยกมาทั้งวัน เธอก็คิดจะไปอาบน้ำพักผ่อนสักหน่อย เปิดเพลงเบาๆ ขับกล่อมด้วยเสียงบรรเลงไพเราะของขลุ่ย เข้าถึงอารมณ์เศร้าโศกเล็กน้อย กระจายไปทั่วทุกมุมของห้อง 

 

ยืนอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าอยู่นาน ซีเหมินจินเหลียนก็ลังเลใจว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าแบบไหนดี การเป็นผู้หญิง สำหรับเรื่องเสื้อผ้านั้น แน่นอนว่าต้องมีสไตล์ที่โดดเด่น หลังจากที่เธอเริ่มมีเงินขึ้นมา เธอก็ไม่ยอมให้ใครมาว่าเธอได้ ในตู้เสื้อผ้าของเธอจึงมีเสื้อผ้าแบรนด์เนมให้เลือกสรรต่างๆ นานา 

 

แต่ปัญหาก็คือ ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงก็ต้องสวมใส่ชุดราตรีอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นชุดราตรีที่ดูสไตล์จะดั้งเดิมเกินไป ซีเหมินจินเหลียนก็ได้แต่ส่ายหน้าครุ่นคิดไปมา ชุดพวกนี้เหมาะสำหรับออกงานเลี้ยงระดับหรูหราเท่านั้น งานเลี้ยงรุ่นเช่นนี้หากใส่ไปคงไม่เหมาะสม 

 

เธอรื้อเสื้อผ้าในตู้อยู่นานก็ยังหาไม่เจอชุดที่เหมาะสมที่จะใส่ไปในงาน ไม่นานสายตาของเธอก็ตกไปอยู่ที่ชุดที่ปักด้วยผ้าไหมแท้ 

 

ฉินเฮ่าพาเธอไปเดินที่ซิ่วฟางมาแล้วครั้งหนึ่ง เสื้อผ้าก็ซื้อมาแล้ว อีกทั้งยังสั่งทำชุดโบราณในสมัยราชวงศ์ถังมาด้วย ชุดประเภทนั้นที่มีลักษณะคล้ายกับชุดสมัยราชวงค์ฮั่น เพียงแต่แค่มีความเคร่งขรึมเป็นทางการน้อยกว่า แต่ก็ยังเพิ่มความหรูหราของเสื้อสมัยราชวงศ์ถังเอาไว้ ทำให้เธอเสียดายจนไม่กล้าจะหยิบมาใส่ แต่ชุดแบบนี้เหมาะสมแค่ใส่อยู่ในบ้านให้ชอบใจก็พอ ถ้าจะใส่ออกไปข้างนอกเกรงว่าคงต้องเตรียมความกล้าที่จะถูกคนรุมล้อมจ้องมอง 

 

ซีเหมินจินเหลียนยอมรับว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ถ่อมตัวอะไร แต่ก็ไม่ถึงกับมีความกล้าที่พร้อมจะสู้กับสายตาคนที่หันมารุมล้อม เพราะฉะนั้นชุดราคาเป็นแสนเช่นนี้คงได้แต่แขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า 

 

ไม่นานสายตาของเธอก็หันไปเห็นชุดเดรสกระโปรงยาวสีขาวที่ปักลายผีเสื้อไว้ มีแค่ปลายกระโปรงเท่านั้นที่ปักเป็นผีเสื้อ ดูมีเอกลักษณ์โดดเด่นสง่างามเฉพาะตัวใ 

 

ดึงเสื้อออกมาจากไม้แขวนเสื้อแล้วสวมใส่เข้าที่ตัว ส่องกระจกมองตัวเองไปมา เรียบง่ายดี  ไม่ได้สะดุดตาใครมาก ส่วนผมเพียงแค่ใช้ปิ่นหยกสีเขียวรวบเข้าด้วยกันก็ถือว่าโอเคแล้ว 

 

ต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มเย็นลง เธอเลยหยิบผ้าคลุมไหล่สีขาวมาคลุมพาดไหล่ประดับไว้บนตัว 

 

เมื่อเดินลงมาข้างล่างก็เห็นว่าจ่านป๋ายกำลังรอเธออยู่ มองเธออย่างไม่ละสายตาแล้วพูดว่า “สวยจริงนะ แต่ว่าดูธรรมดาเรียบง่ายเกินไป ไม่ใช่ว่าคุณมีเข็มกลัดหยกสีแดงทองเหรอ เอามาติดที่หน้าอกสิ” 

 

“เจียระไนหยกสีน้ำเงินอกมาหมดแล้วเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่กลับถามคำถามใหม่เพิ่ม 

 

“ครับ” จ่านป๋ายหยักหน้าตอบ “ถึงเปลือกผิวของหินจะหนาไปหน่อย แต่ลักษณะเนื้อข้างในของหินไม่เลวเลย ผิวข้างนอกดูสีอ่อน แต่พอยิ่งลึกไปข้างในเข้าสีก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มสดใสสะอาดตาขึ้นมา สีนี้น่าจะเป็น…” พูดได้เท่านี้เขาก็ปิดปากลง 

 

“น่าจะเป็นอะไร?” ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยความอยากรู้ เธอยกชายกระโปรงขึ้นมาแล้วเดินลงไปยังห้องใต้ดิน 

 

อย่างที่จ่านป๋ายพูด หยกสีน้ำเงินเมื่อถูกเจียระไนออกมาหมด ภายใต้แสงไฟที่ส่องลงมา ทำให้หยกสีน้ำเงินนี้ยิ่งสว่างไสวเข้าไปอีก ราวกับฟ้าหลังฝน หรือไม่ก็น้ำทะเลที่กว้างใหญ่ 

 

แถมอยากจะทำเป็นเครื่องประดับขนาดใหญ่แค่ไหนก็ทำได้อย่างเพียงพอตามใจต้องการ 

 

“เสี่ยวป๋าย คุณว่าหยกสีน้ำเงินนี้จะทำอะไรได้บ้าง” ซีเหมินจินเหลียนถาม 

 

“คุณอยากจะทำอะไรก็ได้หมดเลย” จ่านป๋ายพูด “กำไล แหวน ปิ่นปักผม ป้ายหยกพก จี้หยก  สร้อยคอ…” 

 

“ฉันว่าถ้าหยกสีนี้ถ้าทำเป็นเครื่องประดับออกมาคงจะไม่สวยเท่ากับหยกสีเลือด” ซีเหมินจินเหลียนบ่ายหน้าปฏิเสธ “อีกอย่างก็ยังไม่รู้ว่าจะขายได้หรือเปล่า” 

 

“คุณพูดอะไรกันครับ” จ่านป๋ายส่ายหัวพูด “คุณชอบสีแดง ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะชอบสีแดงเหมือนกันหมดนี่นา บางคนก็ชอบสีน้ำเงินกับสีเขียว สำหรับคนที่ชอบสีน้ำเงินแล้ว หยกสีน้ำเงินนี่คือของล้ำค่าชิ้นดี คุณดูสิหยกแก้วใสบริสุทธิ์แถมยังโปรงใสวาววับ เนื้อสัมผัสไหลลื่นน้ำงาม ไร้ที่ติจริงๆ” 

 

“คุณชอบหยกสีน้ำเงินเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยความสงสัย 

 

“ผมเฉยๆ ครับ” จ่านป๋ายส่ายหน้า “แต่ผมรู้ว่าจะต้องมีคนที่ชอบหยกสีนี้อย่างแน่นอน” 

 

“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนถาม “ใครเหรอ” จะพูดออกมาทีเดียวก็ไม่ได้ มาทำลีลาอยู่นั่น จ่านป๋ายพูดไม่ผิด อย่างไรก็ย่อมมีคนชื่นชอบหยกสีน้ำเงินอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นลองคิดเปลี่ยนเป็นเธอที่ชอบสีแดง ไม่เคยพิจารณาสีน้ำเงินให้เข้ามาในใจเลย ถึงจะเป็นหยกสีเขียวสดที่ซื้อกลับมาพร้อมกันด้วยมูลค่าเท่ากัน เธอก็ยังไม่สนใจสีน้ำเงิน    

 

“หลินเสวียนหลาน” จ่านป๋ายพูด “คุณไม่เคยสังเกตเหรอว่าเขาชอบสีน้ำเงินมาก?” 

 

“เขาเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ถึงเขาจะชอบสีน้ำเงินจริง แต่ตอนนี้เขาคงมีเงินไม่พอที่จะมาซื้อหยกสีน้ำเงินนี่แน่  

 

เมื่อมองนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาหกโมงครึ่งพอดี ซีเหมินจินเหลียนยกชายกระโปรงขึ้นและสั่งให้จ่านป๋ายล็อคประตูห้องใต้ดินไว้ให้ดี “ฉันจะขึ้นไปหยิบเข็มกลัดด้านบนก่อน คุณจะไม่ไปกับฉันแล้วใช่ไหม?” 

 

“โอเค เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนเสื้อ” จ่านป๋ายแกล้งทำเป็นไม่สนใจประโยคหลังที่เธอพูด 

 

ซีเหมินจินเหลียนยิ้มกลบเกลื่อน คนแบบนี้น่ะหรือที่เป็นประธานของจิ่นติง ทำไมถึงได้ว่างงานขนาดนี้นะ? 

 

เพราะว่าเป็นงานเลี้ยงรุ่น ซีเหมินจินเหลียนก็ไม่อยากถูกดูถูก เธอจึงกำชับให้จ่านป๋ายขับรถเบนซ์ออกมา ส่วนสำหรับรถบีเอ็มดับบิวของตัวเองก็ปล่อยขังไว้ในโรงจอดรถที่บ้านเห็นจะดีที่สุด 

 

จ่านป๋ายขับรถไปที่สุ่ยจงเซียน เมื่อขับไปได้ครึ่งทางซีเหมินจินเหลียนก็รับสายของจินอ้ายหัวที่ถามเธอว่า “มาแล้วหรือยัง?” 

 

แต่เมื่อลงจากรถจ่านป๋ายก็ได้รับโทรศัพท์ จากนั้นสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีพร้อมกระซิบบอกซีเหมินจินเหลียนว่าเขาไปกับเธอไม่ได้แล้ว เพราะเขามีธุระที่ต้องไปจัดการนิดหน่อย ตอนสี่ทุ่มค่อยเข้ามารับเธอ ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้โทรหาเขาได้ทันที 

 

ซีเหมินจินเหลียนเฉลียวฉลาด แน่นอนว่าเธอไม่ได้ถามเขาออกไปว่าเกิดเรื่องอะไร เพียงแต่กำชับให้เขาระวังตัว จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินลงจากรถอย่างสง่างาม เมื่อมาถึงที่ลิฟต์ ในใจก็อดห่วงจ่านป๋ายไม่ได้ นี่คงจะไม่ได้เกิดเรื่องอะไรหรอกนะ ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เธอคุ้นชินกับการที่มีจ่านป๋ายเข้ามามีตัวตนอยู่ในชีวิตของเธอแล้ว… 

 

ภายในห้องโถงใหญ่ฝูหลงชั้นสิบสอง ซีเหมินจินเหลียนเดินไปถึงหน้าประตูก็เห็นจินอ้ายหัวกวักมือเรียกเธอพอดี เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนก็กอดรัดซะแน่น “เธอมาแล้ว ฉันคิดถึงเธอแทบแย่!” 

 

“เว่อร์แล้ว เธอคิดถึงฉันอะไรกัน ฉันไม่ใช่ผู้ชายสักหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนขัดจังหวะ 

 

“มาเถอะ จินเหลียน ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จัก นี่แฟนของฉัน ชื่อซุนหมิงหมิง!” จินอ้ายหัวลากผู้ชายที่สูงราวร้อยแปดสิบที่ยืนอยู่ข้างๆ เข้ามา ผู้ชายเด็กหนุ่มไฟแรงที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำมาแนะนำให้เธอรู้จัก 

 

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อซีเหมินจินเหลียน” ซีเหมินจินเหลียนเผยยิ้มไปให้แฟนของจินอ้ายหัว หน้าตาของเขาธรรมดา ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ก็ไม่ได้หล่อระเบิดระเบ้อขนาดนั้น 

 

“ได้ยินอ้ายหัวพูดถึงคุณมาตั้งหลายครั้ง แต่ไม่มีโอกาสเจอกันสักทีนะครับ” ซุนหมิงหมิงยิ้มอย่างสุภาพพร้อมคล้องแขนจับมือกับจินอ้ายหัว 

 

“จินเหลียน แล้วแฟนของเธอล่ะ?” จินอ้ายหัวถาม 

 

ซีเหมินจินเหลียนมึนงง ไม่เข้าใจในคำถามของเธอ “ฉันไปมีแฟนตอนไหนกัน” 

 

“ก็จ่านป๋ายคนนั้นไง?” จินอ้ายหัวยิ้มพร้อมส่ายหัว “เธอยังจะปิดบังฉันอยู่อีกเหรอ? เขาก็บอกกับฉันหมดแล้ว” 

 

“เขามาพูดจาไร้สาระอะไรกับเธออีก” ซีเหมินจินเหลียนคิ้วขมวดถามออกไป 

 

“เขาบอกว่าเขาเป็นแฟนที่อยู่บ้านเดียวกันกับเธอ เธอช่วยชีวิตเขาไว้ เขาไม่รู้จะตอบแทนยังไงเลยใช้ร่างกายตอบแทน ฮ่าๆ…” พูดถึงตอนนี้จินอ้ายหัวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา คิดไม่ถึงว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นเธอที่ต้องพบเจอ แต่ถึงจ่านป๋ายจะหล่อเทียบกับหลินเสวียนหลานไม่ได้ แต่เขาก็มีสไตล์เป็นของตัวเอง เรียกว่ายังจัดอยู่ในกลุ่มคนหล่อ ถ้าจะคู่กับซีเหมินจินเหลียนแล้ว ดูจากประวัติพื้นเพของบ้านก็ดูไม่เลว เพราะฉะนั้นเธอก็ยินดีกับซีเหมินจินเหลียนด้วย 

 

“เพื่อนของเธอชอบพูดจาไร้สาระ!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว 

 

“อ้ายหัว คุณซีเหมิน พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะครับ อย่าขวางทางกันอยู่หน้าประตูเลย” ซุนหมิงหมิงเอ่ย 

 

“ดีค่ะ” ทั้งสามคนเดินเข้าไปที่ห้องพร้อมกัน เพื่อนร่วมรุ่นบางคนที่เธอไม่ค่อยสนิทสนมก็ค่อยๆ ทยอยเดินเข้ามาในงาน 

 

นิสัยของซีเหมินจินเหลียนไม่ใช่เป็นคนเปิดเผยตัวเองสักเท่าไหร่ ยิ่งบวกกับเมืองเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่บ้านเกิดของเธอ เธอจึงไม่คุ้นเคยกับคนพวกนี้สักเท่าไหร่ ไม่เหมือนอย่างจินอ้ายหัว เธอมองจินอ้ายหัวกับเถียนเถียนทักทายทุกคนในงาน เธอกลับรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวบนโลก… 

 

เมื่อหามุมเงียบๆ นั่งลงแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็เริ่มแกะเล็บของตัวเองด้วยความเบื่อหน่าย คนส่วนใหญ่เธอค่อนข้างคุ้นหน้า แต่สำหรับการจดจำชื่อนั้นเธอก็จำไม่ได้ ช่างเถอะ รออีกสักพักค่อยกลับก็ได้! ตอนเรียนก็เหมือนกัน เธอเข้ากับสังคมของพวกเขาไม่ได้ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน  

 

เซียวเหอคอยลอบสังเกตซีเหมินจินเหลียน สิ่งที่ดึงดูดใจเขาก็คือปิ่นปักผมสีเขียวสดใสภายใต้แสงไฟของเธอที่ช่างสว่างไสวโดดเด่นขึ้นมา ตามความรู้สึกของเขา นี่คงไม่ใช่ปิ่นชนิดหยกแก้วอย่างเดียวแน่ น่าจะเป็นปิ่นหยกแก้วสีเขียวสด… 

 

แต่ปิ่นหยกลักษณะแบบนี้ ถ้าในตลาดคงราคาทะลุล้าน ทำให้เขาไม่กล้าที่จะถาม  

 

หลังจากนั้นสายตาของเขาตกไปอยู่ที่ลำคอของเธอที่เต็มไปด้วยสร้อยคอหยก นั่นก็ยังเป็นหยกแก้วสีเขียวสดเช่นกัน! เซียวเหอลอบตกใจอยู่คนเดียว นอกจากนี้เข็มกลัดที่หน้าอกของเธอน่าจะเป็นหยกสีแดงใช่ไหม? แต่ทำไมหยกสีแดงถึงได้มีแสงระยิบระยับของสีทองอยู่ด้วยล่ะ หรือว่าจะเป็นหยกสีแดงทองคำที่กำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้? 

 

แต่สิ่งที่ทำให้เขานิ่งอยู่นานก็คือ กำไลหยกฮกลกซิ่วที่เธอสวมใส่ ถ้าไม่เกรงว่ามีสายตาของคนที่อยู่ในงานตั้งมากมาย เขาคงตื่นเต้นจนตัวสั่นเทาไปหมด พระเจ้า ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหยกโบราณชนิดแก้วอย่างหยกฮกลกซิ่วกับตาตัวเอง? 

 

อีกทั้งสีสันยังสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่ติอีกด้วย? แดงเขียวม่วงรวมทั้งไร้สีหลอมหลวมผสานเข้ากัน มันช่างงดงามเกินคำบรรยาย น้ำงามสว่างไสว ภายใต้แสงไฟส่องประกายวิบวับเรืองรอง เครื่องประดับที่อยู่บนเรือนร่างของเธอถ้านำไปวางขายในตลาด ราคาคงประมาณหลักร้อยล้านเห็นจะได้? แต่เธอกลับสวมใส่มันประดับไว้บนตัวอย่างไม่เกรงกลัวอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ?