ตอนที่ 564 ดูนั่นกองกำลังดาบเทวะ !

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 564 ดูนั่นกองกำลังดาบเทวะ !

กวนเสี่ยวซีได้วางแผนรับมือเอาไว้แล้ว

ให้ตายเถอะ ! คนจำนวนมหาศาลราวกับฝูงมดพากันมุ่งตรงเข้ามา ชื่อเสียงของทหารตะวันตกมิได้เล่าขานกันไปเรื่อยเปื่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองพันเชียนหยู ช่างเก่งกาจอย่างแท้จริง

เขาคิดว่าทหารผู้จงรักภักดีเหล่านี้คงต้องตกตายเป็นแน่ แต่ถึงแม้ต้องตายก็ขอให้ปกป้องด่านชีผานเอาไว้ ต้องยืดเวลาให้แม่ทัพใหญ่เฟ่ยอันเข้ามาต่อสู้กับกองทัพของเซวี๋ยติ้งชานอีกสัก 2 วัน

จากนั้นทหารภูเขาจะได้ถอยกลับไปยังภูเขาอย่างปลอดภัย เช่นนี้ศัตรูก็มิอาจทำอันใดได้แล้ว

แต่บัดนี้เสียงปืนที่ดังกังวานขึ้นมาจากที่ห่างไกลทำให้เขาตกตะลึงขึ้นมา หรือกองกำลังดาบเทวะเดินทางมาถึงแล้ว ?

ในยามที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น ก็มีทหารฝ่ายศัตรูที่เพิ่งปีนข้ามกำแพงขึ้นมาได้ยกดาบขึ้น

ดาบนั้นกำลังจะฟันลงมา แต่ก็ถูกจ้าวเหล่าลิ่วแทงทะลุจากด้านหลังเสียก่อน กวนเสี่ยวซีตกใจเสียจนสะดุ้งตัวโยน หันหลังไปมองอย่างตื่นตระหนกสันหลังพลันเย็นวาบขึ้นมาทันที

“บัดนี้กำลังทำสงคราม ! เจ้ามายืนเหม่ออันใดอยู่ ! อยากตายหรือเยี่ยงไร ? ” จ้าวเหล่าลิ่วตะคอกเสียงดัง กวนเสี่ยวซีกลืนน้ำลายลงคอ และรู้สึกละอายใจต่อความคิดของตนเมื่อครู่

คนที่ถูกเสียงปืนทำให้เกิดความตกตะลึงยังมีสีฮวาอีกหนึ่งคน ชั่วอึดใจที่ปืนลั่นไก กองกำลังทหารด้านหลังของนางก็เริ่มชุลมุน

ล้วนหันหลังไปมอง จากนั้นก็ต้องตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง

ทหารของฮ่องเต้ ?

กองกำลังดาบเทวะกองพลที่สามนำโดยศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ย พร้อมด้วยคนชุดดำกลุ่มหนึ่งพากันบินขึ้นสู่ท้องนภา !

พวกเขายกปืนขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นมาอีกครา ทหารกองหลังกว่าพันนายพากันล้มลง ทหารดาบเทวะได้สร้างความหวาดกลัวให้แก่ทหารกองหลังของศัตรูมากยิ่งนัก เวลานี้พวกเขาทำตัวมิถูก จึงทำให้กองทัพศัตรูตกอยู่ในความชุลมุลวุ่นวายขึ้นมา

เมื่อทหารดาบเทวะเหยียบลงสู่พื้นก็ได้ดึงดาบออกมาไล่ฟัน ภายใต้การใช้กำลังภายในราวกับว่าพวกเขากำลังหั่นผักหั่นปลาอย่างไรอย่างนั้น ทหารฝ่ายศัตรูมิมีแม้แต่เรี่ยวแรงจะต่อสู้ จึงมีจำนวนไม่น้อยที่รักษาชีวิตเอาไว้มิได้

ทหารดาบเทวะอีก 2,000 นายที่เหลือ ใช้เวลาเพียงน้อยนิดบรรจุกระสุนปืน จากนั้นก็ลอยขึ้นสู่อากาศอีกครา มุ่งตรงไปข้างหน้า เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวและได้คร่าชีวิตศัตรูไปอีกกว่าหนึ่งพันนาย

ทหารฝ่ายศัตรูพากันตื่นตกใจ และมีบางนายตะโกนขึ้นมาว่า “กองกำลังดาบเทวะมาถึงแล้ว รีบหนีเร็วเข้า ! ”

มีบางนายตะโกนขึ้นว่า “อย่าหนี… จงพยายามต่อสู้คุ้มกันเอาไว้ ! ”

บางนายค่อย ๆ แอบหลบหนีออกจากสนามรบ แล้ววิ่งอย่างไม่คิดชีวิตตรงเข้าไปในป่า

หัวใจของสีฮวาคล้ายกับกำลังหลั่งโลหิต !

กองกำลังดาบเทวะกองพลที่หนึ่งถูกโยกย้ายไปยังเมืองเปียนเฉิงแล้ว ส่วนกองพลที่สองต่อให้กล่าวว่าเป็นทหารก็ยังมิสิ้นสุดการฝึกฝน แล้วทหารกองพลที่ีสามนี้มาได้เยี่ยงไร ?

เหตุใดก่อนหน้านี้จึงมิเคยได้ยินชื่อเสียงของพวกเขามาก่อน ?

นางกัดฟันแล้วจับดาบยาวในมือ กล่าวว่า “กองพันเชียนหยูฟังคำสั่ง จงใช้หน้าไม้ยิงพวกมัน ! ทหารส่วนกลางฟังคำสั่ง จงปิดกั้นพวกมันเอาไว้ ! ”

กองพันเชียนหยูนับพันนายถอยออกจากสนามรบด่านชีผาน พวกเขาแบกธนูหน้าไม้วิ่งไปทางด้านหลังของทหารส่วนกลาง แต่ยังมิทันได้ใส่ลูกธนู ซูเจวี๋ยและซูม่อก็ได้ปรากฏตัวขึ้น

ท่ามกลางความมืดมิดแห่งราตรีกาล ดาบไม้นั้นราวกับสามารถส่องประกายสีเลือดได้

ดาบหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภา ใช้เลือดแทนน้ำหมึกวาดเป็นภาพแห่งสายโลหิต

ศิษย์สำนักเต๋ากว่าร้อยคนลอยตัวเข้ามา เมื่อกองพันเชียนหยูยิงหน้าไม้ชุดแรก ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดก็ได้บังลูกศรเหล่านั้นเอาไว้ราวกับเป็นกำแพงเหล็กกล้า !

เขาใช้เพียงดาบไม้กวัดแกว่งโบกสะบัด ลูกศรของหน้าไม้ที่พุ่งเข้ามาก็ได้ร่นถอยกลับไป ทำให้ลูกศรเหล่านั้นร่วงหล่นลงและปลิดชีพทหารได้หลายสิบนาย

ดาบไม้อาบด้วยโลหิตสีแดงสดบ่งบอกถึงพลังแห่งการสังหาร จิตวิญญาณของการต่อสู้อย่างท่วมท้น หลังจากนั้นมิกี่อึดใจ กองพันเชียนหยูก็ได้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ

……

เมื่อไร้กองพันเชียนหยูคอยปกป้องดุจกำแพง ในที่สุดกวนเสี่ยวซีจึงนำทหารใหม่จำนวน 20,000 นายยืดกายขึ้น พวกเขาปลิดชีพศัตรูทุกนายที่ปีนป่ายขึ้นไปบนกำแพง ซึ่งบัดนี้ถูกย้อมไปด้วยเลือดเข้ม ไหลลงสู่พื้นดิน

น้ำมันไหลลงจากกำแพงและถูกจุดไฟขึ้น มันลุกลามไปยังท่อนไม้ที่อยู่บนพื้นและพื้นที่บริเวณนั้น

ทะเลไฟส่องสว่างขึ้นท่ามกลางความมืดมิด แสงไฟส่องกระทบมายังใบหน้าของพวกกวนเสี่ยวซี

อยู่ ๆ เขาก็ยิ้มและหัวเราะเสียงดังขึ้นมา เมื่อเงยหน้ามองจึงพบว่าเมฆสีดำจางหายไปตั้งแต่เมื่อใดก็มิอาจทราบได้ ดวงดาราส่องสว่างขึ้นมาอีกครา แม้อาจจะดูมืดไปบ้าง แต่ทว่าช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืดสนิทก่อนฟ้าสางก็ได้ผ่านไปแล้ว

“เห็นหรือไม่ ? พวกเขาคือกองกำลังดาบเทวะ ! ”

จ้าวเหล่าลิ่วและคนอื่น ๆ มองไปยังที่ไกลโพ้น ปรากฏเงาของคนกลุ่มหนึ่งกระโดดขึ้นลงท่ามกลางความมืดสลัว

เสียงปืนยังคงดังขึ้นอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับเสียงร้องโหยหวยโอดครวญ

แสงจากคบไฟยาวเหยียดคดเคี้ยวไปมาบนทางสายเก่าจินหนิว ประกอบกับเสียงร้องน่าเวทนาเหล่านั้น ค่อย ๆ ดับและจางหายไปในที่สุด

ส่วนบัดนี้ ด่านชีผานก็ได้เงียบสงบลง

ไร้ซึ่งทหารฝ่ายกบฏแม้แต่นายเดียว แม้แต่ทหารกองหน้าก็ถูกสีฮวาเรียกไปยังกลางสนามรบแล้ว

ทหารดาบเทวะใกล้จะบุกฆ่ามาถึงกองกลางเต็มที

“นี่มัน… ! ”

มิว่าจะเป็นจ้าวเหล่าลิ่วหรือหยูมู่โถวและคนอื่น ๆ ล้วนมองไปยังสนามรบเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง

แม้แต่ทหารภูเขาก็เช่นกัน

บัดนี้เผิงยวี๋เยี่ยนยืนอยู่บนหอกวนโหลว นางมองอยู่เงียบ ๆ รู้สึกว่าการที่กวนเสี่ยวซีจะไปฝึกฝนยังกองพิเศษของดาบเทวะนั้นเป็นเรื่องสมควรแล้ว

พวกเขาคือทหารของฝ่าบาท !

เป็นกองทัพที่อยู่ยงคงกระพันและได้รับพรจากสวรรค์อย่างแท้จริง !

“ข้าบอกแล้วว่ากองกำลังดาบเทวะเก่งกาจยิ่ง พวกเจ้ายังมิเชื่อข้าอีก บัดนี้เป็นเยี่ยงไรเล่า ? จงดูเอาเองเถอะ ข้าคาดว่าพวกเขามีจำนวนมิถึง 5,000 นายด้วยซ้ำ แต่ก็สามารถฆ่าศัตรูจำนวน 30,000 นายได้อย่างง่ายดาย มิต่างจากการเชือดหมูเลยแม้แต่น้อย”

กวนเสี่ยวซีมองไปยังสนามรบด้วยสายตาชื่นชม ในใจเเฝงไปด้วยความตื่นเต้นและผิดหวังอยู่เล็กน้อย

“หากเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็อยากเข้าร่วมกองทัพดาบเทวะด้วย ! ” จ้าวเหล่าลิ่วพึมพำออกมา ทันใดนั้นเขาก็หันหลังไปมองกวนเสี่ยวซีอย่างกระหาย “เจ้าก็อยากเข้าร่วมกองทัพนี้มิใช่หรือ ? หากสงครามสิ้นสุดลง พวกเราสองคนเดินทางไปด้วยกันดีหรือไม่ ? ”

“เจ้าคิดน้อยเกินไปแล้ว การคัดเลือกของทหารดาบเทวะยากเสียยิ่งกว่าการสอบจอหงวนอีก อีกอย่าง…”

“อันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

กวนเสี่ยวซีสูดหายใจเข้าลึก ยักไหล่และตอบไปว่า “มนุษย์แต่ละคนมีหน้าที่แตกต่างกัน ข้าอยากเข้าร่วมกองทัพทหารดาบเทวะก็จริงอยู่ แต่ที่กองทัพทหารชายแดนใต้นั้น ข้าพำนักอยู่ที่นั่นมา 5 ปีแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่และฮูหยินมีบุญคุณต่อข้ามากยิ่งนัก ข้ามิอาจชดใช้ให้พวกเขาได้หมด หากพวกเขามิยินยอม แล้วข้าแอบหนีไปสมัครเข้ากองทัพดาบเทวะนั่น…ก็หน้ามิอายเกินไปแล้ว”

จ้าวเหล่าลิ่วชะงักลงชั่วครู่ สายตาของเขามองไปยังเบื้องหน้าแล้วกล่าวว่า “เจ้าทำเยี่ยงกับเข้าสอบจอหงวนเสียอย่างนั้น!”

สถานการณ์ในสนามรบด้านหน้ายังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด ทหารกบฏเข้าโจมตีอยู่หลายคราหลังจากได้รับคำสั่งจากสีฮวา อีกทั้งยังสามารถปลิดชีพทหารดาบเทวะได้หลายสิบนาย

แต่ทว่าทหารดาบเทวะกองพลที่สามสวมใส่ชุดเกราะ มือหนึ่งถือดาบ อีกมือหนึ่งถือปืน ช่างเก่งกาจกว่าที่จินตนาการเอาไว้

เวลาผ่านไปอีก 1 ชั่วยาม

เมื่อท้องนภาเริ่มสาง ทหารดาบเทวะที่มิรู้จักความเหนื่อยล้าก็ได้บุกฆ่าเข้ามาถึงทหารกองกลางอย่างกล้าหาญ

จ้าวเหล่าลิ่วและคนอื่น ๆ มิเคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน นี่เปรียบเสมือนการสังหารอยู่ฝ่ายเดียวเลยมิใช่หรือ !

ทหารกบฏสามารถป้องกันเอาไว้ได้ราวครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็อ่อนแรงลง

กองทัพทหาร 60,000 นายล่มสลาย ดั่งสายน้ำล้นตลิ่ง ขวัญกำลังใจลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้หายไปในพริบตา บัดนี้ความตื่นตระหนกแผ่กระจายไปทั่วทั้งกองทัพราวกับเป็นโรคติดต่อ ผลแพ้ชนะของสงครามได้ประจักษ์ให้เห็นชัดแจ้ง ต่อให้เซวี๋ยติ้งชานเดินทางมาด้วยตนเองก็มิอาจแก้ไขสิ่งใดได้

อีกด้านหนึ่ง บริเวณไหล่เขา ฟู่เสี่ยวกวนและพวกเพิ่งจะเดินทางมาถึง

เขาหยิบกล้องส่องทางไกลมาดูสถานการณ์ในสนามรบ จากนั้นก็หยิบกล่องดำที่สวี่ซินเหยียนแบกเอาไว้มา

เขายืนถือปืนกระบอกใหญ่แล้วบรรจุกระสุนลงไปหนึ่งนัด จากนั้นก็คุกเข่าหนึ่งข้างลงกับพื้นแล้วเปิดกล้องส่องสำหรับกลางคืนออก เล็งไปยังสีฮวาที่นั่งอยู่บนหลังอาชา

สตรีนางนี้สมควรตาย !

เนื่องจากนางหลอกให้ข้าเดินทางมาอย่างทุลักทุเลและลำบากลำบนเพียงนี้ !

“ปัง… ! ”

เสียงปืนดังกังวานท่ามกลางพงไพร เลือดสีแดงสดกระฉูดท่ามกลางกองทัพศัตรู เพิ่มสีสันให้แก่ภาพตรงหน้านี้อย่างมีชีวิตชีวา

ฟู่เสี่ยวกวนเบ้ปากแล้วค่อย ๆ เก็บปืนลงอย่างบรรจง

“ทักษะการใช้ปืนของข้ายังคงเก่งกาจเสียจริง ! ”