ส่วนที่ 4 ตอนที่ 34 สารลับที่ไม่ได้มีวิวัฒนาการเลย

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ถ้าหากเป็นไปได้ก็ไม่มีใครต้องการใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนกับปืนใหญ่ให้เป็นที่ตื่นตระหนก การร่ำรวยอย่างเงียบๆ จึงจะเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาของชาวจีน ตงฟางซั่ว ผู้ที่ฉลาดปราดเปรื่องที่โชคร้าย ฮ่องเต้ชอบฟังเรื่องตลกของเขา ดังนั้นเขาจึงสามารถเป็นได้เพียงนักแสดงตลกอยู่ในวังไปตลอดชีวิต

 

 

หลิวเสียได้วิพากวิจารณ์ถึงตงฟางซั่วด้วยรูปแบบทางด้านวรรณกรรมเกือบสิบชนิดที่อยู่ในตำราอักษรศาสตร์ “เหวินซินเตียวหลง[1]”  เช่น “เปี้ยนเซา” “เฉวียนฟู่” “จู้เหมิง” “จ๋าเหวิน” “ลุ่นซัว” “จ้าวเช่อ” และ “ซูจี้” เป็นต้น อัจฉริยะบุคคลเช่นนี้ แต่ชั่วชีวิตของเขากลับกล่าวได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมชีวิต ความรู้ที่มีอย่างท่วมท้นได้กลายเป็นเพียงต้นทุนที่มีไว้เพื่อเอาอกเอาใจฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้มีความสุข

 

 

อวิ๋นเยี่ยส่ายศีรษะสลัดไล่เงาภาพที่น่าสงสารในบั้นปลายของตงฟางซั่วออกจากสมอง

 

 

หลี่จิ้งบางทีอาจจะหวังดี แต่เขาเป็นเทพสงครามที่ไม่สามารถมองสถานการณ์ให้ชัดเจนได้ การตัดสินใจใดๆ ก็มักจะช้ากว่าคนอื่นหนึ่งก้าว ซึ่งก้าวนี้ได้กำหนดให้เขาต้องใช้บั้นปลายชีวิตอย่างหวาดระแวงอยู่ในความสงสัย จะไม่ฟังคำแนะนำของเขาก็ได้ หากเป็นคำแนะนำในการศึกอวิ๋นเยี่ยไม่มีคำพูดใดๆ จะนำไปดำเนินการทันที แต่ถ้าหากเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักน่ะหรือ คงต้องรอก่อน ยอมเชื่อสวี่จิ้งจงก็ห้ามเชื่อคำแนะนำของเขาเพราะมันเป็นหลุมพรางขนาดใหญ่อย่างแท้จริง

 

 

แม่ทัพกองทหารม้าของกองทัพมาถึงแล้ว ในกองทัพต้าถังหากมีมติสำคัญทางทหาร คนของหน่วยข่าวกรองนั้นขาดไม่ได้ ด้านหนึ่งต้องการบอกแม่ทัพของหน่วยข่าวกรองว่ามติของเขาเกี่ยวกับเรื่องในกองทัพและมีผลดีต่อกองทัพ ประการที่สองคือการรายงานต่อฮ่องเต้ผ่านทางหน่วยข่าวกรองว่า การที่ตนเองมีเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายอื่นแอบแฝง

 

 

คนในหน่วยสืบราชการลับ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไรนัก ปลายจมูกโค้งงอ ตารูปสามเหลี่ยม โหนกแก้มทั้งสองไม่มีเนื้อ ช่างเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่ได้มาตรฐานเสียจริง ดูเลวร้ายกว่าเหล่าหนิวมากนัก

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยนั่ง ยืนอยู่ด้านหลังหลี่จิ้งและใช้ดวงตารูปสามเหลี่ยมเหล่มองอวิ๋นเยี่ยไม่ยอมหยุด ราวกับว่าจะมองเห็นลูกเล่นอะไรบ้าง การตั้งข้อสงสัยเป็นพื้นฐานที่ดีของ หน่วยสืบราชการลับ อวิ๋นเยี่ยเข้าใจคนเหล่านี้มานานปี หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาหน่วยข่าวกรองนั้นได้ทุ่มเทเกี่ยวกับเรื่องของตนเองไปไม่น้อย เพียงแต่จะได้ผลลัพธ์อย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้

 

 

“ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ข้าน้อยตั้งใจจะมารับโทษโดยเฉพาะ เรื่องที่ท่านให้ข้าสืบให้ละเอียดเรื่องหนังสือคำสั่งถูกปลอมแปลงนั้น ข้าไม่สามารถสืบพบร่องรอยใดๆ แม้แต่น้อย ขอท่านผู้บัญชาการใหญ่โปรดลงโทษ” เพียงแค่เอ่ยปาก อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกดีกับคนคนนี้มากขึ้นหลายส่วนแล้ว แม้ว่าหน้าตาจะดูไม่น่าเข้าใกล้เท่าไร แต่เสียงกลับกึกก้องเหมือนระฆังใหญ่ มีความห้าวหาญของทหารอยู่บ้าง เพียงแต่ยืนอยู่ด้านหลังหลี่จิ้งขอรับโทษ ดูเหมือนเพชรฆาตมากกว่าเหมือนผู้ใต้บังคับบัญชาขอรับโทษ

 

 

“ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว ข้ารู้ที่มาที่ไปของเหตุการณ์คราวนี้แล้ว หัวหน้าผู้ก่อการคือเยี่ยถัวซึ่งเป็นคนของแคว้นคัง ในวันหน้าต้องไปหาเขาคิดบัญชีนี้แน่ วันนี้ที่เรียกเจ้ามา เพราะมีสารลับใหม่ที่อยากให้เจ้าเป็นพยานและต้องการให้เจ้าไปดำเนินการ” หลี่จิ้งไม่ได้หันกลับไป เพียงแค่พูดธรรมดาๆ ประโยคเดียว แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นโหว เจ้าเริ่มอธิบายเถอะ ข้าตั้งใจฟังอยู่ มีวิธีการยอดเยี่ยมอันใด เชิญกล่าวโดยละเอียดได้ตามสบาย”

 

 

ฐานะของแม่ทัพกองทหารม้าคนนี้เห็นได้ชัดว่ายังไม่สูงเท่าหนิวจิ้นต๋า หากหนิวจิ้นต๋าอยู่ที่นี่จะต้องมีที่นั่งให้เขา หลี่จิ้งก็ไม่กล้าปล่อยให้หนิวจิ้นต๋าเป็นองครักษ์ของเขา เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลี่จิ้ง ดวงตาสามเหลี่ยมนั้นก็เบิกกว้างกลมโต ดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะไม่เชื่อ แต่หลี่จิ้งพูดแล้ว เขาจึงทำได้แค่ปิดปากและเงี่ยหูตั้งใจฟัง

 

 

“ข้าเคยได้ยินท่านสวี่พูดว่า สารลับและจดหมายลับล้วนเป็นของที่คิดค้นขึ้นด้วยวิธีการเด็กๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างหยาบๆ ซึ่งของเหล่านี้ได้สืบทอดกันมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว แต่ทำไมแม่ทัพผู้โด่งดังของแต่ละยุคแต่ละสมัยจึงไม่คิดพัฒนาเลย ใส่จดหมายในกระบอกไม้ไผ่ เมื่อมาถึงสมัยจั้นกั๋วจึงกลายเป็นจดหมายลับ ตอนนี้เกิดเหตุการณ์ความลับรั่วไหลจึงค่อยคิดที่จะเปลี่ยนแปลง กองทัพเดิมควรจะเป็นผู้ใช้คนแรกสุดในใต้หล้านี้ที่รู้จักคิดพัฒนาวิธีการ เพราะเหตุใดจึงไม่เห็นปรากฏการณ์เช่นนี้จากพวกเจ้าบ้าง” อวิ๋นเยี่ยไม่มีคำว่าเกรงใจ กองทัพอยากได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่จ่ายค่าตอบแทนนั้นไม่มีทาง ดูท่าทางผียากไร้อย่างหลี่จิ้งก็คงมีทรัพย์สินอยู่ไม่เท่าไร เขาต้องการให้หลี่จิ้งเป็นฝ่ายเอ่ยปากในที่ประชุมว่าจะให้หัวกะทิของกองทัพเข้าร่วมกับสำนักศึกษา ซึ่งก็ถือโอกาสหาทางออกให้กับนักเรียนในสำนักศึกษาอีกทางหนึ่งด้วย หากโชคดีได้เป็นหน่วยสืบราชการลับก็นับเป็นทางเลือกที่ดี

 

 

“ข้าน้อยด้อยปัญญา หน่วยข่าวกรองของข้าได้ปรับแก้จดหมายลับมานานแล้ว ต่อแต่นี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์การปลอมแปลงเอกสารขึ้นอีกอย่างแน่นอน” เจ้านายยังไม่ได้พูดอะไรเลย เขากลับเป็นฝ่ายร้อนรน ถือเป็นสุนัขที่ดีตัวหนึ่ง

 

 

 “แค่ของเล่นเด็กๆ ของพวกเจ้าหน่วยข่าวกรองน่ะหรือ ยังกล้านำออกมาเสนอว่าเป็นของดีอีก ทำให้จดหมายลับที่ดีๆ กลายเป็นเศษกระดาษอะไรก็ไม่รู้ นำจดหมายแบ่งออกเป็นสามส่วนแล้วให้คนสามคนส่งจดหมาย นี่ก็คือความลับของพวกเจ้าหรือ หน่วยข่าวกรองก็เพียงแค่เปลี่ยนจากสามคนเป็นห้าคน ด้วยการปรับเปลี่ยนเพียงแค่นี้ พวกเจ้าก็กล้าบอกว่า แม้ศัตรูจะฉลาดหลักแหลม ก็ไม่สามารถถอดรหัสได้แล้วอย่างนั้นหรือ”

 

 

หลี่จิ้งได้พูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบจดหมายลับให้อวิ๋นเยี่ยฟังแล้ว เขาเองก็ยังสงสัยว่าการเปลี่ยนจากสามคนเป็นห้าคนจะให้ผลดีสักเท่าไรกัน สุดท้ายถูกอวิ๋นเยี่ยหัวเราะใส่เสียไม่เหลือชิ้นดี เขาเขียนจดหมายหนึ่งฉบับด้วยการเขียนลงบนกระดาษห้าแผ่น หากอ่านกระดาษเพียงแผ่นเดียวล้วนแล้วแต่เป็นคำที่ไร้ความหมาย หลังจากนำมาวางปนเปกันแล้วจึงส่งให้อวิ๋นเยี่ยดู ไม่ได้บอกวิธีว่าจะอ่านจดหมายฉบับนี้อย่างไร สุดท้ายผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม อวิ๋นเยี่ยก็อ่านเข้าใจความหมายแฝงของจดหมายฉบับนี้ ทั้งถือโอกาสดัดแปลงความหมายให้เปลี่ยนไปด้วย ทำให้หลี่จิ้งอึ้งเป็นตอไม้

 

 

ในประเทศจีนสมัยโบราณมีผู้ที่มีสติปัญญาหลักแหลมนับไม่ถ้วน การซ่อนคำแรกในบทกวีนั้นจึงจะเรียกว่าเยี่ยม  “การต้อนรับของท่านเจ้าบ้าน ทำให้ข้ารู้สึกเคารพนบนอบมาจากใจ จึงขอหยิบพู่กันเขียน สร้างชื่อเสียงโดดเด่นไม่แพ้ใคร เดียวกับไป๋เหล่า[2] ผู้เก็บตัว หญิงงามทั้งสองยังอยู่ในวัยเยาว์ นับแต่นี้ให้อยู่ที่หนานสวี[3] สายลมยามราตรีพัดผ่านทะเลสาบ” คำแรกของแต่ละประโยคก็คือคำที่ซูตงปัวกล่าวอนุญาตให้โสเภณีเลิกค้าประเวณีและแต่งงานได้[4] อวิ๋นเยี่ยที่ตลอดครึ่งชีวิตที่ผ่านมาได้ข้องเกี่ยวกับกับสิ่งเหล่านี้จนได้เรียนรู้มา มีหรือจะอ่านวิธีการเขียนอย่างคนบ้องตื้นที่สลับเพียงไม่กี่ประโยคไปมาอย่างง่ายๆ ของหลี่จิ้งไม่ออก

 

 

หน่วยข่าวกรองของกองทัพถูกอวิ๋นเยี่ยพูดจนเป็นใบ้พูดอะไรไม่ออก ผ่านไปเป็นเวลานานจึงพูดว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถเขียนจดหมายลับที่มีลูกเล่นแพรวพราวได้” ปฏิเสธคอเป็นเอ็นที่จะยอมรับความผิดพลาด

 

 

อวิ๋นเยี่ยพูดกับหลี่จิ้งว่า “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ตอนนี้ผู้เยาว์เป็นหนอนบ่อนไส้ ขอให้ท่านพูดอะไรสักประโยค ข้าจะใช้คำพูดประโยคนี้เขียนเป็นจดหมายลับ เพื่อดูว่าหน่วยข่าวกรองที่มากความสามารถจะอ่านเข้าใจได้หรือไม่ หากอ่านไม่เข้าใจก็ให้ไปขอคำสอนจากสวี่จิ้งจง ให้เขาเป็นคนอธิบายให้พวกเจ้าฟัง ข้าเดินทางเหน็ดเหนื่อยมาไกลสองพันกว่าลี้ ต้องการพักผ่อนให้เต็มที่เสียหน่อย”

 

 

เมื่อเผชิญหน้ากับความหยิ่งยโสของอวิ๋นเยี่ย หลี่จิ้งได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ พวกหน่วยข่าวสารกัดฟันจนแทบจะละเอียดอยู่แล้ว แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ อวิ๋นเยี่ยนั้นถูกหลอกให้มาที่นี่เพราะหนังสือคำสั่งปลอมฉบับหนึ่ง ไม่ใช่ว่าได้รับคำสั่งให้มาแนวหน้าเพื่อทำงานให้กองทัพ ในเวลานี้อวิ๋นเยี่ยควรจะได้ทำงานอยู่ที่สำนักศึกษา แทนที่จะต้องทนลำบากอยู่ในดินแดนอันหนาวเหน็บแห่งนี้ นี่เป็นความผิดของพวกเขาและนี่ก็คือสาเหตุที่พวกทหารของอวิ๋นเยี่ยเมื่อมาถึงค่ายทหารก็วางท่าเที่ยวมองข้ามผู้คนไปทั่ว

 

 

“พรุ่งนี้ยามสี่กินอาหารเช้า ยามห้าเคลื่อนทัพทั้งหมด กองทหาม้าเซียวฉี[5]ให้ไปทางซ้าย พลทหารราบคุ้มกันด้านหลัง ทหารหน่วยตรวจสอบให้สังเกตุการณ์ระยะสิบห้าลี้ มีคำสั่งให้หลี่จีซุ่มโจมตีอยู่บริเวณปากทางภูเขา รอให้ศัตรูเข้ามาครึ่งหนึ่งแล้ว ให้โจมตีจากกลางขบวนเพื่อแบ่งศัตรูให้ออกเป็นสองส่วน คำสั่งผู้บัญชาการใหญ่หลี่จิ้ง มีคำสั่งเมื่อวันที่สิบหกเดือนหนึ่ง”

 

 

นี่ก็คือคำสั่งทางทหารที่หลี่จิ้งแต่งขึ้นมาในตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยห้ามออกนอกกระโจม ต้องเขียนตอนนี้ทันที พวกเขาสองคนจ้องมองอวิ๋นเยี่ยตาไม่กระพริบเห็นเขาว่าเป็นหนอนบ่อนไส้จริงๆ

 

 

อวิ๋นเยี่ยหยิบหนังสือออกมาเล่มหนึ่งและก็ไม่สนใจทั้งสองคน อ่านหนังสืออย่างสบายอกสบายใจ ทั้งยังเขียนบางสิ่งบางอย่างลงบนกระดาษเป็นครั้งคราว ขณะที่แม่ทัพของหน่วยข่าวกรองกำลังจะระเบิดอารมณ์ อวิ๋นเยี่ยปิดหนังสือและบิดขี้เกียจ จากนั้นส่งกระดาษในมือให้หลี่จิ้ง

 

 

หลี่จิ้งหัวสมองตื้อไปหมด เขาอ่านไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว เขาบอกอย่างมาดมั่นว่ามันไม่ใช่ตัวอักษร เป็นเพียงแค่พวกสัญลักษณ์เหลวไหล ขณะที่แม่ทัพหน่วยข่าวกรองกำลังจะอาละวาด กลับได้ยินหลี่จิ้งตะโกนว่า “หงเฉิงหุบปาก หากเจ้ากล้าเอ่ยปากล่วงเกินอวิ๋นโหวแม้เพียงประโยคเดียว จะลงโทษตามกฎทหาร” จากนั้นก็ถามอวิ๋นเยี่ย “นี่ก็คือจดหมายลับฉบับใหม่ที่เจ้าเขียนขึ้นมา”

 

 

ทหารแซ่หงคนนั้นได้แต่ปิดปากสนิท จ้องมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความโกรธ

 

 

“นี่เป็นประเภทที่ง่ายที่สุด ถ้าหากท่านต้องการระดับที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก สามารถส่งคนไปเรียนที่สำนักศึกษาได้ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าค่าเล่าเรียนคนละหนึ่งพันก้วน ราคาเป็นธรรมอย่างที่สุด ถือโอกาสบอกพวกเจ้าด้วยว่าเมื่อข้ากลับไปยังสำนักศึกษาแล้ว วิชาการคำนวณจะสอนเรื่องเหล่านี้ด้วย เมื่อพวกเจ้าได้ของสิ่งนี้แล้วรีบๆ ทำการค้นคว้า อย่าทำให้เกิดเรื่องที่ว่าเด็กๆ ในสำนักศึกษาข้าก็สามารถนำจดหมายลับของหน่วยข่าวกรองของพวกเจ้ามาเป็นของเล่นได้ ถึงตอนนั้น แม้พระเจ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

 

 

“อวิ๋นโหว เรื่องทรัพย์สินเงินนอกเป็นของนอกกาย เพียงแต่จดหมายลับชนิดนี้จะต้องยากแก่การเรียนรู้แน่ ในกองทัพมีแต่พวกไร้ความรู้ เกรงว่าไม่ง่ายเลยที่จะให้เรียนรู้ได้” หลี่จิ้งรู้สึกว่าแม้แต่ทหารที่มีการศึกษาเช่นเขาก็ยังไม่เข้าใจ ยังจะคาดหวังให้พวกหยาบโลนไร้การศึกษาเรียนเข้าใจได้หรือ

 

 

“ผู้บัญชาการใหญ่ ท่านต้องเรียนให้เข้าใจ เกรงว่าใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีเสียด้วยซ้ำ ท่านคิดว่ามันยากเพียงใดกัน ของเล่นเหล่านี้เป็นเพียงการละเล่นอย่างหนึ่งของเหล่านักเรียนในสำนักศึกษา แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องหลังจากที่สอนจนเป็นแล้ว”

 

 

“หากไม่มีคำสั่ง ห้ามไม่ให้เจ้าสอนสิ่งเหล่านี้ให้กับนักเรียน ข้าจะรีบส่งพิราบด่วนถวายรายงานต่อฝ่าบาท ขอพระบรมราชานุญาตห้ามไม่ให้สอนจดหมายลับนี้ในสำนักศึกษา หากฝ่าบาทไม่ทรงอนุญาต แม้ข้าหงเฉิงต้องตายหรือถูกประหารทั้งตระกูลก็จะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าเผยแพร่ออกไป” ดวงตาของหงเฉิงแดงขึ้น ซึ่งก็มองออกว่าเขาพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เกิดจิตสังหารขึ้น

 

 

“การจะคุยเรื่องเหล่านี้ในตอนนี้มันยังเร็วเกินไป เจ้าควรจะรีบไปหาสวี่จิ้งจงเพื่อดูว่าเขาสามารถจับความหมายของสารลับเหล่านี้ได้หรือไม่จึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า จะฆ่าข้าทิ้งหรือไม่กลับมาค่อยคิดเถอะ” อวิ๋นเยี่ยพูดกับหงเฉิงด้วยรอยยิ้ม เมื่อหงเฉิงได้ยินดังนี้จึงรีบร้อนวิ่งออกไป

 

 

“เหตุใดอวิ๋นโหวจึงต้องบีบคั้นหงเฉิงถึงเพียงนี้ แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกเขาจะดูไม่ดี แต่ความภักดีของเขาที่มีต่อต้าถังนั้นไม่ต้องเคลือบแคลงสงสัยเลย ข้าเคยพูดว่าเจ้าคาดหวังว่าใต้หล้านี้จะมีคนที่เหมือนเจ้าอีกหลายๆ คน สารลับฉบับนี้ข้าไม่ต้องรอก็รู้ว่าสวี่จิ้งจงอ่านเข้าใจได้อย่างแน่นอน ฝีมือเรื่องการพลิกแพลงเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ แม้ข้าจะรับหน้าที่ด้วยตัวเองก็ไม่สามารถต่อกรกับเจ้าได้ ทำไมเจ้าจึงต้องทำให้ทหารที่หยาบโลนคนหนึ่งในกองทัพต้องลำบากใจด้วย” หลี่จิ้งเข้าใจผิดแล้ว เขาคิดว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังโกรธหงเฉิงอยู่

 

 

“ท่านผู้บัญชาการใหญ่ยกย่องข้าเกินไปแล้ว ข้าเองก็เป็นทหาร แม้ว่าจะไม่สามารถถือหอกถือดาบมาฆ่าศัตรูได้ แต่จิตใจข้าก็ไม่ต่างจากหงเฉิง ข้าเพียงแค่โกรธที่เขาไม่ดิ้นรนเท่านั้นเอง นับตั้งแต่จดหมายลับถือกำเนิดขึ้นก็เกือบสองพันปีแล้ว ราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนไป วันเวลาค่อยๆ เลยผ่าน มีวีรบุรุษเท่าไรที่กลายเป็นกองกระดูกไปแล้ว ใครจะคิดว่า วิธีการถ่ายทอดข้อความลับทางทหารนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะเหตุใดกัน บรรพชนของพวกเขาคิดค้นจดหมายลับขึ้นมาก็เพื่อให้พวกเราเอาแต่ใช้ไปตามนั้นจนตายหรือ หงเฉิงนั้นนับว่าโชคดี ข้าอยู่ที่นี่ เขาจึงได้ผ่านพ้นปัญหาหนักไปได้ คราวนี้เป็นความโชคดี ครั้งต่อไปล่ะ ถึงแม้ข้าจะเป็นเหล็กทั้งร่าง จะอยู่คงทนถาวรได้นานเท่าไรกัน หากไม่นำความรู้เหล่านี้ที่ข้ามีถ่ายทอดแก่ผู้อื่นให้มากขึ้น เจ้าจะให้ลูกหลานรุ่นต่อไปหากเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้อีก แล้วก็หาทางออกอะไรไม่ได้เหมือนพวกเราหรือ ช่างเป็นคนที่วิสัยทัศน์คับแคบ หากอยู่ในสำนักศึกษาข้าจะจับเขาขังคุกใต้ดินเพื่อให้คิดทบทวนให้ดี”

 

 

คำพูดเหล่านี้ทำให้หลี่จิ้งหน้าแดงไปถึงใบหู นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างคนยุคปัจจุบันกับคนยุคโบราณ เขาเขียนหนังสือการทหารก็ยังเก็บอย่างมิดชิด แม้กระทั่งโหวจวินจี๋อยากเรียนรู้ก็จะสอนครึ่งหนึ่งและเก็บวิชาไว้ครึ่งหนึ่ง ทั้งยังกล่าวว่าด้วยสิ่งเหล่านี้ก็สามารถผงาดในใต้หล้าได้แล้ว ถึงแม้ต่อมาโหวจวินจี๋จะก่อกบฏซึ่งพิสูจน์ได้ว่าวิสัยทัศน์ของเขาร้ายกาจเพียงใด จึงไม่ได้พัวพันมาถึงเขา แต่ในฐานะอาจารย์ พฤติกรรมเช่นนี้ของเขาถือเป็นตัวอย่างที่แย่มากสำหรับคนรุ่นหลัง ทุกคนถ่ายทอดความรู้ครึ่งหนึ่งและเก็บวิชาไว้ครึ่งหนึ่งเกิดขึ้นจากเขา ผลกระทบนี้ยังเลวร้ายยิ่งกว่าโหวจวินเจี๋ยก่อกบฏสำเร็จเสียอีก

 

 

 

 

——

 

 

[1] เหวินซินเตียวหลง หรือ The Literary Mind and the Carving of Dragons เป็นตำราทฤษฎีวรรณกรรมที่มีระบบทฤษฎี มีโครงสร้างและการวิเคราะห์อธิบายโดยละเอียด ซึ่งประพันธ์โดยหลิวเสียนักทฤษฎีวรรณกรรมในสมัยราชวงศ์หนานเฉา

 

 

[2] ไป๋เหล่า เป็นคำเรียกตัวเอง ที่ไป๋จวีอี้ กวีผู้โด่งดังสมัยถัง

 

 

[3] หนานสวี เป็นชื่อเมืองในสมัยโบราณ ปัจจุบันอยู่ในเมืองเจิ้นเจียง มณฑลเจียงซู

 

 

[4] เป็นบทกวีอักษรแปดคำที่ซูตงปัวได้อนุญาตให้หญิงโสเภณีสองคนคือ เจิ้งหรงและเกาอิ๋ง สามารถเลิกค้าประเวณีและแต่งงานได้ เนื่องจากในสมัยก่อนหากหญิงโสเภณีต้องการกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ต้องได้รับการอนุญาตจากขุนนางชั้นสูง ซึ่งในตอนนั้นซูตงปัวไม่สะดวกที่จะเอ่ยปากตรงๆ จึงได้ซ่อนคำอนุญาตไว้ไนกวีบทนี้เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อ

 

 

[5] เซียวฉี เป็นชื่อตำแหน่งของกองทหารม้าในสมัยโบราณ