บทที่ 899 : เตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับศัตรู!
  “นี่พวกเจ้า…”
  หลิงหยุนถึงกับพูดอะไรไม่ออก..
  หลี่ยี่กับเจียวเฟยนั้นเป็นมือสังหารระดับสายเหลืองขององค์กรนักฆ่าและอยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-2 ซึ่งหากเทียบกับหลิงหยุนแล้ว ทั้งคู่นั้นแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรกับหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย..
  ‘คงจะมีงานไม่กี่อย่างที่สองคนนี้จะทำได้!’
  เมื่อครั้งที่หลิงหยุนกับนักฆ่าทั้งสองได้ต่อสู้กันบนผาพยัคฆ์ของเขามังกรนั้นหลิงหยุนได้จัดการสกัดจุดของคนทั้งคู่ไว้ จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันไม่ให้นักฆ่าทั้งสองกลับมาสร้างปัญหาให้กับตนเองอีก หลิงหยุนจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้ทั้งคู่หันมาเล่นงานคนรอบตัวเขา หรือเพื่อนๆเป็นการแก้แค้น
  ชายนักฆ่าทั้งสองคนกลับรอคอยมานานถึงสามเดือนเพียงเพื่อขอให้เขาจัดการคลายจุดให้เวลานี้หลิงหยุนเองก็มีศัตรูมากมาย และหากเขาตกลงรับนักฆ่าทั้งสองไว้ทำงานด้วย หลิงหยุนเชื่อว่าพวกเขาจะจงรักภักดีต่อหลิงหยุนอย่างแน่นอน..
  แต่ปัญหาก็คือ..เวลานี้นัฆ่าทั้งสองคนแทบไม่มีประโยชน์อะไรกับหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย!
  ฉินตงเฉี่วยกับคนอื่นๆต่างก็วิ่งตามหลิงหยุนออกมาที่หน้าประตูบ้าน เมื่อฉินตงเฉี่วยเห็นหลี่ยี่กับเจียวเฟย จึงร้องถามขึ้นมาทันที
  “เจ้าเด็กดื้อ..เหตุใดเจ้าสองคนนั่นจึงมาหาเจ้าถึงที่นี่”
  หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ทั้งสองคนเป็นเพื่อนเก่าของข้าเอง พวกเขาต้องการมาทำงานกับข้า..”
  ระหว่างที่พูดนั้น..ภาพของเสี่ยวเม่ยเม่ยก็ผุดขึ้นมาในห้วงมโนของหลิงหยุน เขาได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจเงียบๆ
  ‘เสี่ยวเม่ย..เสี่ยวเม่ย.. นี่เจ้าอยู่ที่ใดกันแน่’
  “เพื่อนเก่างั้นรึ”
  ฉินตงเฉี่วยถึงกับประหลาดใจและได้แต่แอบคิดว่าหลิงหยุนไปมีเพื่อนเป็นยอดฝีมือปลายแถวอย่างเช่นเจ้าสองคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
  จากนั้นจึงหันไปถามนักฆ่าทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทันที“พวกเจ้าสองคนมาทำอะไรที่นี่ มาพบหลิงหยุนด้วยเหตุอันใด?”
  “เอ่อ…”
  หลี่ยี่กับเจียวเฟยได้แต่อ้ำอึ้งเพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดความจริงออกไปดีหรือไม่
  หลิงหยุนจึงเป็นฝ่ายอธิบายให้ฉินตงเฉี่วยฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“น้าหญิง.. ความจริงพวกเขาทั้งสองคนคือมือสังหารระดับสายเหลืองขององค์การนักฆ่า เมื่อสามเดือนก่อนพวกเขาสองคนมาลอบสังหารฆ่าข้า แต่ก็พ่ายแพ้ไป ข้าจึงไว้ชีวิตพวกเขา แต่ก็ได้สกัดจุดของพวกเขาไว้ แต่เวลานี้ข้าได้จัดการคลายจุดให้พวกเขาทั้งสองคนแล้ว..”
  “นี่พวกเจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”
  แทบไม่ต้องรอให้หลิงหยุนพูดจบ..หญิงสาวทั้งหมดที่อยู่รอบตัวหลิงหยุนถึงกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด และตรงเข้าไปล้อมชายนักฆ่าทั้งสองคนไว้ทันที ในขณะที่ไป๋เซียนเอ๋อกำลังจะตรงเข้าไปจัดการ..
  “เซียนเอ๋อ..หยุด!”
  หลิงหยุนรีบร้องห้ามไป๋เซียนเอ๋อทันทีพร้อมกับพูดขึ้นว่า“พวกเขาจะสังหารข้าเพราะทำตามหน้าที่เท่านั้น..”
  จากนั้นจึงหันไปถามหลี่ยี่กับเจียวเฟย“พวกเจ้าทั้งสองคนขับรถเป็นหรือไม่” เพราะหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน หลิงหยุนก็เห็นว่ามีหน้าที่เดียวที่พอจะให้ทั้งสองคนทำได้นั่นก็คือ.. ขับรถ!
  หลี่ยี่กับเจียวเฟยได้ยินคำถามของหลิงหยุนก็รู้ได้ทันทีว่าหลิงหยุนตกลงรับพวกตนสองคนไว้แล้ว จึงได้แต่พยักหน้า และพูดออกมาอย่างดีใจ
  “เป็นถึงนักฆ่าแต่ขับรถไม่เป็นคงจะน่าขันสิ้นดี!”
  หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางตี้เสี่ยวอู๋“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าสองคนมีหน้าที่ติดตามรับใช้เขา! หากพวกเจ้าพอใจที่จะทำงานนี้ก็อยู่ที่นี่ได้ แต่ถ้าไม่พอใจ พวกเจ้าก็กลับออกไปได้ ข้าจะไม่ห้าม!”
  ตี้เสี่ยวอู๋อยู่ในช่วงของการฝึกฝนหนักหากมีคนคอยดูแลเรื่องส่วนตัวให้กับเขา ก็คงจะไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงสำหรับหลิงหยุน
  “ไม่ว่าคุณชายหลิงจะให้เราสองคนทำงานอะไรพวกเราก็ยินดีทำทั้งนั้น! หากยังไม่เชื่อใจ ท่านก็สามารถสกัดจุดของพวกข้าได้!”
  “ไม่จำเป็น..เพราะหากพวกเจ้าสองคนคิดไม่ซื่อ โทษของพวกเจ้าก็คือตายสถานเดียวเท่านั้น!”
  จู่ๆตี้เสี่ยวอู๋จะต้องมีคนลูกน้องมาคอยรับใช้ใกล้ชิดถึงสองคนเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกอึดอัด และกำลังรอจังหวะที่จะปฏิเสธ แต่ก็ได้ยินหลิงหยุนที่ส่งผ่านมาทางกระแสจิต..
  –เมื่อไหร่ที่นายเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้แล้วก็ค่อยให้พวกเขาสองคนเข้าเป็นสมาชิกของแก๊งมังกรเขียว จากนั้นจึงค่อยจัดการมอบหมายภารกิจสำคัญให้กับพวกเขาทั้งคู่ทำ อย่างน้อยพวกเขาก็จะสามารถทำงานได้ดีกว่าพี่น้องวัยรุ่นเลือดร้อนอย่างแน่นอน–
  “แล้วมือสไนเปอร์ทั้งสี่คนเล่า..พวกเจ้ายังติดต่อกับพวกเขาอยู่หรือไม่ เหตุใดจึงไม่มาด้วยกัน?” หลิงหยุนร้องถาม..
  เจียวเฟยเป็นฝ่ายตอบหลิงหยุน“คุณชายหลิง.. พวกเราสองคนหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองจิงฉูนานหลายเดือนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ติดต่อกับมือสไนเปอร์ทั้งสี่คนเลย ข้าคิดว่าหากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะมาพบท่านในคืนนี้อย่างแน่นอน..”
  และใครก็ตามหากถูกหลิงหยุนสกัดจุดไว้เมื่อถึงเวลาที่มันออกฤทธิ์ ก็คงยากที่จะทานทนได้ และถึงตอนนั้นการตายยังดีกว่าการมีชีวิตอยู่ต่อ..
  และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆเวลาห้าทุ่มตรง สามในสี่ของมือสไนเปอร์ก็มาหาหลิงหยุนที่บ้านจริงๆ
  หลิงหยุนจัดการคลายจุดให้กับมือสไนเปอร์ทั้งสามคนและได้รู้ว่าอีกหนึ่งคนถูกศัตรูฆ่าตายแล้ว หลิงหยุนจึงให้มือสไนเปอร์ทั้งสามคนเข้าไปอยู่ในแก๊งมังกรเขียว และให้มีหน้าที่คอยคุ้มครองอาปิง
  หลังจากจัดการกับเรื่องเล็กๆน้อยๆไปแล้วหลิงหยุนก็สั่งให้สาวงามทั้งหลายขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง ส่วนตัวเขา ถังเมิ่ง และตี้เสี่ยวอู๋ ต่างก็วุ่นวายกันตลอดทั้งคืน..
  หลิงหยุนในฐานะปรมาจารย์ด้านการประดิษฐ์อาวุธของโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่การทำฝักกระบี่จึงเป็นเรื่องขี้ประติ๋ว และง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก..
  หลิงหยุนคุ้นเคยกับกระบี่มังกรขาวเป็นอย่างดีเขาจึงสามารถจดจำขนาด และความยาวของกระบี่ได้อย่างแม่นยำ หลิงหยุนใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ตัดหนังปลาทั้งสองชิ้นให้มีขนาดใหญ่กว่าตัวกระบี่เล็กน้อย จากนั้นจึงใช้กาวชนิดพิเศษติดหนังปลาลงไปบนผ้าแพรไหมดำ..
  หลังจากนั้น..จึงใช้กาวติดขอบหนังปลาทั้งสองชิ้นเข้าด้วยกัน และเพียงเท่านี้ก็ได้ฝักกระบี่แล้ว..
  หนังของเจ้าปลายักษ์นั้นหนามากแม้แต่กระบี่โลหิตแดนใต้ยังยากที่จะตัดขาด อีกทั้งด้านนอกยังหุ้มด้วยผ้าแพรไหมดำ จึงไม่จำเป็นต้องพะวงถึงความคมของกระบี่มังกรขาวอีก อย่างมากฝักกระบี่ก็อาจแค่มีรอยขีดข่วนเท่านั้น
  หลังจากที่จัดการทำฝักกระบี่ให้ฉินตงเฉี่วยเสร็จแล้วหลิงหยุนก็ให้ถังเมิ่งไปนอนพักผ่อนที่ห้องของตนเอง ส่วนเขากับตี้เสี่ยวอู๋ก็ไปฝึกวิชาต่อที่สวนหน้าบ้านเช่นเคย..
  …….
  เช้าตรู่ของวันถัดมา..ฉินตงเฉี่วยก็นำกระบี่มังกรขาวออกมาฝึกวิชาที่หน้าสวน ส่วนหลิงหยุนก็กำลังยืนฝึกวิชาดาราคุ้มกายอยู่บนหลังคาบ้าน ทันทีที่เห็นฉินตงเฉี่วยเดินถือกระบี่มังกรขาวออกมา เขาจึงกระโดดลงมาจากหลังคาทันที..
  “เจ้าเด็กดื้อ..เมื่อคืนพวกเจ้าอยู่ทำอะไรกันจนดึกๆดื่นๆ”
  หลิงหยุนมองหน้าฉินตงเฉี่วยยิ้มๆก่อนจะพูดขึ้นว่า “น้าหญิง.. ข้ามีของขวัญจะมอบให้ท่าน!”
  ฉินตงเฉี่วยถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ“ของขวัญอะไรกัน หรือเจ้าจะเอามาแลกกระบี่มังกรขาวคืนจากข้างั้นรึ?”
  หลิงหยุนยื่นฝักกระบี่ที่เพิ่งทำเสร็จให้กับฉินตงเฉี่วยพร้อมกับพูดขึ้นว่า“น้าหญิง.. ท่านดูสิว่ามันคืออะไร”
  “ห๊ะ!นี่มัน..”
  ฉินตงเฉี่วยเอื้อมมือไปคว้าฝักกระบี่ในมือหลิงหยุนมาทันทีและเมื่อเห็นว่าเป็นฝักกระบี่ที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ก็ยิ่งประหลาดใจ!
  หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า“น้าหญิง.. ท่านลองดูว่าพอดีกับกระบี่มังกรขาวหรือไม่ หากไม่พอดี.. ข้าก็จะได้ไปทำให้ใหม่!”
  ฉินตงเฉี่วยแทบอดใจรอไม่ได้นางรีบเสียบกระบี่มังกรขาวลงไปในฝักทันที และมันก็แน่นอย่างพอดิบพอดี..
  “นี่..เจ้าเด็กดื้อ.. เจ้าไปเอามาจากที่ใด”
  ฉินตงเฉี่วยแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองนางลองจับด้ามกระบี่มังกรขาวไว้ แล้วปล่อยให้ตัวกระบี่ที่อ่อนนั้นรัดรอบฝักไว้
  และปรากฏว่าฝักกระบี่นั้นไม่ถูกกระบี่มังกรขาวตัดขาดออกจากกัน..
  “เรื่องนั้นเป็นความลับ..”หลิงหยุนยิ้มอย่างมีความสุขขณะที่ตอบคำถามของฉินตงเฉี่วย และได้แต่แอบคิดว่าน้าหญิงของเขานั้นยามที่แย้มยิ้มช่างงดงามนัก
  ระหว่างที่ทดสอบฝักกระบี่นั้นฉินตงเฉี่วยก็สัมผัสได้ว่าหลิงหยุนกำลังจ้องมองตนเองอยู่ นางจึงรู้สึกเก้อเขินจนถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว และรีบพูดขึ้นว่า
  “อ่อ..ข้าลืมไปสนิทว่าต้องรีบโทรหาป้าเม่ย ให้นางจัดการส่งเครื่องมือสื่อสารมาให้โดยเร็ว!”
  พูดจบฉินตงเฉี่วยก็บิดตัวกระโดดหนีหลิงหยุนกลับเข้าไปในบ้านทันที..
  เพียงแค่ช่วงเช้า..ถังเมิ่งก็สามารถจัดการภารกิจที่หลิงหยุนสั่งไว้เรียบร้อย เขาไม่เพียงซื้อบ้านสามหลังที่อยู่ล้อมรอบบ้านเลขที่-1 เรียบร้อย แต่ยังจัดการติดต่อสถานีโทรทัศน์ประจำมณฑลไว้แล้ว และรอให้หลิงหยุนไปออกรายการเท่านั้น
  และในเช้าเดียวกัน..อาปิงก็ได้นำลูกเหล็กที่หลิงหยุนสั่งไว้มาส่งให้ตั้งแต่เช้าตรู่ หลิงหยุนไม่ปล่อยให้ผู้อื่นทำงานนนี้ เขาจัดการยกลูกเหล็กขนาดสองสามร้อยกิโลกรัมลงจากรถด้วยตัวเอง และเพียงแค่สิบนาทีหลิงหยุนก็สามารถขนลูกเหล็กทั้งหมดลงจากรถเสร็จแล้ว..
  หลิงหยุนใช้เวลาตลอดเช้าทำการคำนวณระยะห่างของลูกเหล็กแต่ละก้อน และจัดการวางค่ายกลนวสังหารจนเสร็จ!
  สำหรับค่ายกลนวสังหารของหลิงหยุนในครั้งนี้แน่นอนว่าต้องมีอานุภาพรุนแรงกว่าเดิมนับสิบเท่า และต่อให้เป็นยอดฝีมือที่อยู่ในด่านกลางขั้นเซียงเทียนก็ตาม หากค่ายกลนวสังหารทำงานขึ้นเมื่อใด ถ้าไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน..
  หลังจากสร้างค่ายกลเสร็จเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนก็ได้จัดให้มีพื้นที่อีกราวเจ็ดแปดจุดสำหรับให้ทุกคนได้ใช้ฝึกวิชา
  “เอาล่ะ..ทั้งค่ายกลสังหาร แล้วก็ยันต์อีกหลากหลายชนิด ตอนนี้บ้านของข้าแข็งแกร่ง และพร้อมที่จะรับมือกับศัตรูแล้ว!”
  หลิงหยุนพอใจกับผลงานของตนเองอย่างมากและไม่รู้สึกกังวลว่าศัตรูจะบุกเข้ามาเมื่อใดอีกแล้ว เขาสามารถออกไปทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างไม่ต้องคอยกังวลใจอีก..
  หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้วหลิงหยุนกับถังเมิ่งก็เตรียมการที่จะไปยังสถานีโทรทัศน์ประจำมณฑล แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีแขกที่ไม่ได้เชื้อเชิญมาที่บ้านอีก!
  เขาก็คือไป่หยวนเจีย!
  ไป่หยวนเจียเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-8และเป็นเลิศด้านวิชาตัวเบา หลังจากคืนวันเชงเม้ง.. ตระกูลซันก็ได้นำยอดฝีมือมากมายหลายร้อยคนเข้ามาในจิงฉู และไป๋หยวนเจียก็เป็นหนึ่งในนั้น
  หลังจากที่หลิงหยุนบุกเข้าไปสังหารยอดฝีมือตระกูลซันมากมายที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิงจนกระทั่งพื้นสนามเจิ่งนองไปด้วยเลือด ครั้งนั้นหลิงหยุนได้ไว้ชีวิตไป่หยวนเจีย และให้เขาเป็นผู้นำทางไปยังที่ซ่อนตัวของซันเทียนเปียว
  ไป่หยวนเจียมาถึงบ้านเลขที่-1และเมื่อหลิงหยุนเห็นเข้า ก็รีบเอ่ยทักทายทันที!
  “นี่เจ้าเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9แล้วรึ! ข้ายินดีกับเจ้าด้วย!”
  การที่ไป่หยวนเจียมาหาหลิงหยุนถึงที่บ้านในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเขาต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน
  ไป่หยวนเจียเห็นหลิงหยุนเข้าก็ถึงกับตกใจและรีบยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “คุณชายหลิงกล่าวชมข้าเกินไปแล้วก่อนหน้านี้ที่ประมือกับท่าน หากไม่ใช่เพราะท่านเมตตาไว้ชีวิต ข้าก็คงจะตายไปแล้ว! แต่ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นสูงขึ้นได้ จึงนับว่าเป็นความโชคดีเสียมากกว่า..”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า“แล้วเจ้ามาที่นี่มีเรื่องอันใดงั้นรึ”
  แต่จู่ๆไป่หยวนเจียก็เปลี่ยนมาพูดผ่านกระแสจิต –คุณชายหลิง.. ครั้งที่แล้วท่านไว้ชีวิตข้า ข้าไป่หยวนเจียซาบซึ้งใจนัก!-
  –ข้ามาหาท่านครั้งนี้เพราะได้ยินข่าวคราวว่าท่านสร้างความไม่พอใจให้กับยอดฝีมือมากมายแต่ไม่รู้จะช่วยท่านได้อย่างไร จึงได้แต่รีบนำข่าวนี้มาบอกให้ท่านทราบ เพื่อท่านจะได้ระมัดระวังตัวให้มากขึ้น!-
บทที่ 900 : ทั่วหล้ามีเพียงผู้เดียวที่ได้ครอบครอง!
  การช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์นั้นนับว่าเป็นความงดงามอย่างหนึ่ง แต่การให้อภัย และไว้ชีวิตนั้นก็เป็นอีกเรื่อง..
  ในสนามรบ..หากฝ่ายชนะไม่ลงมือสังหารคู่ต่อสู้ แต่กลับไว้ชีวิตและยอมปล่อยไป เมื่อคนเหล่านั้นหนีรอดไปได้ ส่วนใหญ่ก็มักจะกลับมาหาทางแก้แค้นคืน หรือไม่ก็หนีไปให้ไกลจนไม่ต้องพบเจอกันอีก น้อยนักที่จะรู้สึกซาบซึ้ง และกลับมาตอบแทนเช่นไป่หยวนเจีย!
  เวลานี้ชีวิตของหลิงหยุนก็กำลังตกอยูในอันตรายเข้าขั้นวิกฤตแม้แต่เขาเองยังไม่รู้ว่ามีศัตรูมากมายเพียงใดที่ตามเขามาจิงฉูด้วย พวกมันล้วนแล้วแต่อยู่ในที่มืด และต่างก็รอคอยโอกาสที่จะสังหารหลิงหยุน
  หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าไป่หยวนเจียจะเป็นผู้นำข่าวนี้มาบอกกับตนเอง!เขามองไป่หยวนเจียด้วยความซาบซึ้งเช่นกัน ก่อนจะตอบกลับไปยิ้มๆ
  “ขอบใจท่านมาก..ที่นี่ไม่เหมาะจะพูดคุยเรื่องนี้ พวกเราไปคุยกันที่อื่นจะดีกว่า!”
  หลิงหยุนโบกมือเรียกถังเมิ่งแล้วทั้งสามคนก็ข้ามไปคุยที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านของหลิงหยุน และถังเมิ่งก็จัดการซื้อไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กุญแจบ้านก็อยู่กับถังเมิ่งด้วยเช่นกัน..
  เวลานี้บ้านเลขที่-1ของหลิงหยุนไม่เหมาะที่จะพูดคุยเรื่องเหล่านี้ และหลิงหยุนรู้ดีว่าสิ่งที่ไป่หยวนเจียจะพูดต่อไปนั้น จะยิ่งน่ากลัวขึ้นมาก หลิงหยุนจึงไม่ต้องการให้คนในครอบครัวของเขาต้องเป็นกังวลมากขึ้นไปอีก..
  “เอาล่ะคุณชายไป่..บอกข้ามาว่าท่านได้ยินอะไรมาบ้าง”
  หลังจากที่เข้าไปในบ้านแล้วหลิงหยุนก็ถามตรงเข้าประเด็นทันที เขาเรียกไป่หยวนเจียอย่างให้เกียรติ และพูดจาสุภาพมากขึ้น ไป่หยวนเจียได้ยินถึงกับกระอักกระอ่วนจนต้องร้องบอกหลิงหยุนว่า..
  “คุณชายหลิง..ท่านอย่าได้เรียกข้าเช่นนั้น ข้าฟังแล้วจั๊กจี้! ท่านเรียกชื่อข้าก็พอ!”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบเสียงเบา“ถ้าเช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าพี่ไป่ก็แล้วกัน!”
  ไป่หยวนเจียนั้นอายุยี่สิบแปดปีและแก่กว่าหลิงหยุนถึงสิบปี การที่หลิงหยุนจะเรียกเขาว่า ‘พี่ไป่’ จึงนับว่าเหมาะสมยิ่ง!
  ไป่หยวนเจียคร้านที่ต่อล้อต่อเถียงเรื่องนี้กับหลิงหยุนอีกจึงพูดตรงเข้าประเด็นทันที..
  “คุณชายหลิง..เรื่องที่ท่านครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้นั้น ตอนนี้ได้แพร่สะพรัดไปทั่วทุกหนทุกแห่งแล้ว ทั้งตระกูลเก่าแก่ หรือแม้แต่สำนักน้อยใหญ่ ต่างก็รู้เรื่องนี้กันทั่วแล้วเช่นกัน!”
  แต่เรื่องที่ไป่หยวนเจียพูดมานั้นก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของหลิงหยุนนัก เขาจึงพยักหน้ารับรู้ และพูดออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
  “ขอบคุณท่านพี่ไป่..แต่ข้าเองก็ไม่เคยคิดที่จะปิดบังผู้ใดเกี่ยวกับเรื่องกระบี่โลหิตแดนใต้อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากคนพวกนั้นจะล่วงรู้..”
  เมื่อเห็นท่าทีเฉยเมยไม่เกรงกลัวของหลิงหยุนไป่หยวนเจียก็ยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้น และรีบอธิบายต่อทันที
  “คุณชายหลิง..ท่านคงจะยังไม่รู้อะไร ในบรรดาของศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าแห่งพรรคมารนั้น กระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนี้นับว่าล้ำค่าที่สุด ทันทีที่พรรคมารล่วงรู้เข้า พวกมันจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงกลับไปอย่างแน่นอน!”
  หลิงหยุนได้แต่นึกขันอยู่ในใจและได้แต่แอบคิดว่าการที่องค์กรนักฆ่าเข้ามาป้วนเปี้ยนในเมืองจิงฉูนั้น ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับกระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนี้ด้วยเช่นกัน!
  มาถึงขั้นนี้แล้ว..จะยังต้องหวาดกลัวพรรคมารอีกงั้นหรือ
  หลิงหยุนตอบกลับเสียงเบา“ขอบคุณท่านพี่ไป่ที่เป็นห่วง แต่พรรคมารไม่อยู่ในสายตาของข้า – หลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย! หากพวกมันอยากจะมาแย่งชิงกระบี่เล่มนี้ไป ก็เชิญมาได้เลย ข้าเองก็พร้อมรับมือกับพวกมันอยู่แล้ว!”
  “เอ่อ..”
  ไป่หยวนเจียเห็นท่าทางไม่ยี่หระของหลิงหยุนเข้าก็ได้แต่แอบคิดอยู่ในใจ ‘คิดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งพรรคมารที่หลายคนต่างก็หวาดกลัว กลับไม่สามารถทำให้หลิงหยุนรู้สึกอะไรได้เลยแม้แต่น้อย!’
  ไป่หยวนเจียนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อแล้วหลังจากครุ่นคิด และเรียบเรียงคำพูดได้แล้ว เขาก็พูดต่อว่า
  “คุณชายหลิง..จากข่าวคราวที่ข้าได้ยินมา ศัตรูของท่านไม่ได้มีแค่หนึ่ง อีกทั้งพรรคมารก็ไม่ใช่ธรรมดา..”
  “งั้นรึ!”หลิงหยุนเริ่มสนใจ
  เท่าที่หลิงหยุนรู้มานั้น..นอกจากองค์กรนักฆ่าที่เพิ่งจะลงมือวางระเบิดไปเมื่อคืนนี้ ส่วนการหายตัวไปของหลินเมิ่งหานกับเหยาลูนั้น หลิงหยุนก็เดาว่าน่าจะเป็นฝีมือขององค์กรนักฆ่าเช่นเดียวกัน..
  ยังมีตระกูลซันกับตระกูลเฉินที่ร่วมมือกันและได้จัดส่งยอดฝีมือมาจัดการกับเขาถึงที่นี่ หลิงหยุนเองก็อยากรู้เหมือนกันว่านอกเหนือจากคนเหล่านี้แล้ว จะยังมีใครอีกบ้างที่กำลังคิดจะสังหารตนเอง
  “ถ้าเป็นเรื่องที่ตระกูลซันส่งยอดฝีมือมาจัดการกับข้าแล้วล่ะก็ท่านพี่ไป่คงไม่ต้องเล่าให้ข้าฟังแล้ว เรื่องนี้ข้ารู้หมดแล้ว และคงอีกไม่ช้าไม่นานพวกมันก็ต้องมาแน่..” หลิงหยุนร้องบอกไป่หยวนเจียด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
  การที่ไป่หยวนเจียเคยทำงานให้กับตระกูลซันนั้นแน่นอนว่าเขาจะต้องรู้การเคลื่อนไหวของตระกูลซันมาบ้าง และหากเขาจะเล่าเรื่องนี้ก็คงไม่จำเป็น เพราะหลิงหยุนได้ฟังจากปากของหวังเฟยฮู๋มาหมดแล้ว
  ส่วนเรื่องตระกูลเฉินนั้นแทบไม่ต้องพูดถึงเพราะเวลานี้ความแค้นระหว่างหลิงหยุนกับตระกูลเฉินนั้น ก็ร้าวลึกเสียยิ่งกว่าตระกูลซันเสียอีก!
  ไป่หยวนเจียมองหลิงหยุนด้วยแววตาตกตะลึงก่อนที่จะร้องถามออกมาอย่างประหลาดใจ
  “ดูเหมือนว่าท่านคงจะเตรียมการรับมือกับตระกูลซันไว้แล้วสินะ!จึงไม่ต้องการให้ข้าเล่าเรื่องนี้..”
  “เอาล่ะ..ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะข้ามไปที่ข่าวอื่นเลยก็แล้วกัน”
  ไป่หยวนเจียไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์เพทุบายเขามองหลิงหยุนด้วยแววตาชื่นชมพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “คุณชายหลิง..ไม่ทราบว่าท่านเคยได้ยินคำเล่าขานนี้มาก่อนหรือไม่”
  ‘เมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิแห่งมนุษย์และจักรพรรดิแห่งพิภพถือกำเนิดขึ้นที่จิงฉู เมื่อนั้นใต้หล้าจะมีเพียงผู้เดียวที่ได้ครอบครอง’
  หลิงหยุนได้ฟังถึงกับใจสั่นอย่างรุนแรงพร้อมกับครุ่นคิดอยู่ในใจ..
  ‘เมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิแห่งมนุษย์และจักรพรรดิแห่งพิภพถือกำเนิดขึ้นที่จิงฉู เมื่อนั้นใต้หล้าจะมีเพียงผู้เดียวที่ได้ครอบครองงั้นรึ ข้าเคยได้ยินคำพูดเช่นนี้มาก่อน..’
  ก่อนที่หลวงจีนสิงฉีจะมรณภาพนั้นเขาได้บอกกับหลิงหยุนว่า.. เขานั้นถูกลิขิตมาแล้ว และเวลานี้คำพูดประโยคนั้นยังคงก้องอยู่ในหูของเขา เพียงแต่เขายังไม่เข้าใจความหมายของมัน จนกระทั่งตอนนี้..!
  เวลานี้ทั้งสมุดจักรพรรดิและพู่กันจักรพรรดิก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในร่างกายของหลิงหยุนทั้งคู่ นี่ไม่เท่ากับว่าเขาคือคนผู้นั้นอย่างนั้นหรือ
  แต่ถึงแม้หลิงหยุนจะตกใจสุดขีด..เขาก็ยังคงรักษาสีหน้าให้สงบนิ่งได้ เพียงแค่คิ้วขมวดเล็กน้อยคล้ายสับสน ก่อนจะแสร้งถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ..
  “จักรพรรดิแห่งมนุษย์แล้วก็จักรพรรดิแห่งพิภพอะไรกัน แล้วอะไรคือใต้หล้ามีเพียงผู้เดียวที่ได้ครอบครอง? ข้าไม่เข้าใจ?!”
  หลิงหยุนต้องแสร้งทำเป็นโง่..นี่ไม่ใช่กระบี่โลหิตแดนใต้ แต่มันคือสมุดและพู่กันจักรพรรดิที่เป็นความลับยิ่งใหญ่ของเขา!
  ไป่หยวนเจียจ้องมองหลิงหยุนด้วยสีหน้าจริงจังแต่หลังจากที่ไม่พบความผิดปกติใดๆบนใบหน้าของหลิงหยุน เขาก็ถึงกับขมวดคิ้วส่ายหน้าไปมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ดูเหมือนท่านจะไม่รู้เรื่องนี้จริงๆสินะ..น่าแปลก!”
  หลิงหยุนจึงถามไป่หยวนเจียย้ำอีกครั้ง“พี่ไป่.. ข้าว่าท่านอย่าพูดจาวกวนให้ข้างงจะดีกว่า ช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจด้วย..”
  ไป่หยวนเจียจึงตอบกลับมาว่า“มันเป็นคำเล่าขานกันในประเทศนี้ และข้าเองก็ไม่รู้ว่าเล่าขานต่อๆกันมานานกี่ร้อยกี่พันปีแล้วเช่นกัน..”
  “จักรพรรดิแห่งมนุษย์และจักรพรรดิแห่งพิภพถือกำเนิดในจิงฉู ก็คงจะหมายถึงพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิจะเผยตัวนั่นเอง และเมื่อนั้นผู้ที่ถูกลิขิตให้ได้ครอบครองก็จะปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน!”
  แม้หลิงหยุนจะตกใจอย่างที่สุดแต่ก็แกล้งพูดกลบเกลื่อน “แล้วสมุดจักรพรรดิกับพู่กันจักรพรรดิคืออะไรเล่า เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาก่อน!”
  สิ่งที่หลิงหยุนอยากรู้มากที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับสมุดจักรพรรดิและพู่กันจักรพรรดิ แต่เขาต้องการรู้ว่าเพราะเหตุใดทุกคนจึงมั่นใจอย่างยิ่งว่าทั้งสองสิ่งนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว!
  มือสังหารระดับสวรรค์ขององค์กรนักฆ่าทั้งสามคนก็รู้เรื่องพู่กันจักรพรรดิ..
  และที่ตู้กู่โม่มาจิงฉูก็เพราะเรื่องสมุดจักรพรรดิไม่เพียงตู้กู่โม่เท่านั้น แต่หลิงหยุนยังพบยอดฝีมือมากมายที่ก้นหลุมยักษ์ ไม่ว่าจะเป็นตงฟางถิง ซีเหมินกัง หนานกงเจี้ยน ชางกวนเจี๋วย เถี่ยเจิ้นผิง เหลยเวิ่นซิง และยังอีกหลายคน ทุกคนล้วนแล้วแต่มาตามหาสมุดจักรพรรดิทั้งสิ้น!
  เหตุใดจอมยุทธจากสำนักต่างๆและตระกูลเก่าแก่มากมาย จึงได้ล่วงรู้ว่าสมุดจักรพรรดิถือกำเนิดขึ้นแล้ว และเหตุใดจึงรู้ว่าสมุดจักรพรรดิจะถือกำเนิดที่ใต้หลุมยักษ์?
  และที่สำคัญ..พู่กันจักรพรรดิก็ถือกำเนิดในเมืองจิงฉูจริงๆ และสมุดจักรพรรดิก็ถือกำเนิดที่ใต้หลุมยักษ์ด้วย!
  หลิงหยุนถึงกับงุนงงสงสัยอย่างมากและได้แต่คิดในใจว่า ทั้งสมุดและพู่กันจักรพรรดิล้วนอยู่กับเขา แต่เขากลับไม่รู้อะไรเลย!
  เรื่องนี้ช่างน่าแปลกมากจริงๆ!
  แล้วคำพูดที่ว่า..เมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิแห่งมนุษย์ และจักรพรรดิแห่งพิภพถือกำเนิดขึ้นที่จิงฉู เมื่อนั้นใต้หล้าจะมีเพียงผู้เดียวที่ได้ครอบครองนั้น จะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขามาจุติใหม่บนโลกใบนี้หรือไม่อย่างไร!
  ไป่หยวนเจียฝืนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“คุณชายหลิง.. มันเป็นตำนานเล่าขานกันมาเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่เคยเห็นของทั้งสองสิ่งเช่นกัน จึงไม่รู้ว่าทั้งสมุดจักรพรรดิและพู่กันจักรพรรดิจะมีหน้าตาเช่นไร และคำเล่าขานที่พูดต่อๆกันมานั้น ทั้งสำนักต่างๆ และตระกูลเก่าแก่ ก็ล้วนแล้วแต่ได้ยินได้ฟังกันมาแล้วทั้งนั้น..”
  หลิงหยุนเข้าใจความหมายในคำพูดของไป่หยวนเจียได้ดีไป่หยวนเจียคงรู้เรื่องพู่กันจักรพรรดิกับสมุดจักรพรรดิเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะมันก็เป็นแค่คำเล่าขานที่เล่าต่อๆกันมาอย่างกว้างขวาง..
  ความคิดมากมายอย่างพุ่งขึ้นมาในหัวของหลิงหยุนแต่เขาก็แสร้งทำเป็นอยากรู้อยากเห็น และถามออกไปว่า
  “ถ้าเช่นนั้น..พู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิ คงจะเป็นสมบัติล้ำค่ามากเลยสินะ!”
  หลิงหยุนแสร้งถามไปอย่างนั้นและเขาย่อมรู้ดีกว่าใครว่า ทั้งพู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดินั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติที่ล้ำค่าเหนือกว่าของวิเศษใดๆทั้งสิ้น!
  ไป่หยวนเจียได้แต่เกาศรีษะพร้อมกับตอบไปว่า“คุณชายหลิง.. ข้าเองก็ไม่รู้จริงๆ! เพราะมันเป็นเพียงตำนานเล่าขานกันมา แต่เรื่องที่สำคัญกว่านั้นก็คือเวลานี้ผู้คนต่างก็ร่ำลือกันว่าท่านมีความเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น..”
  “อะไรนะ!”
  หลิงหยุนได้ฟังถึงกับกระโจนลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมกับส่ายหน้า“คนผู้นั้นเกี่ยวข้องกับข้างั้นรึ แล้วเหตุใดจึงได้ร่ำลือกันเช่นนั้น!”
  หลิงหยุนไม่อาจทนนั่งนิ่งเฉยได้อีกความจริงแล้วหลวงจีนสิงฉีก็ได้เคยพูดกับหลิงหยุนไว้ก่อนที่จะมรณภาพแล้ว แต่ตอนนั้นหลวงจีนสิงฉีได้ใช้กระแสจิตพูดกับเขา จึงมีเพียงเขากับหลวงจีนเฒ่าเท่านั้นที่รู้ แล้วเหตุใดตอนนี้จึงมีผู้คนล่ำลือเช่นนี้ได้เล่า!
  ดูเหมือนไป่หยวนเจียจะคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าหลิงหยุนจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้เขาจึงส่ายหน้าพร้อมกับพูดออกไปอย่างโมโห
  “คุณชายหลิง..คนผู้นั้นจะเกี่ยวข้องกับท่านหรือไม่ ข้าเองก็ไม่อาจรู้ได้! แต่ข้าว่าคงจะมีคนจงใจปล่อยข่าวออกไปเช่นนั้น..”
  “นี่ย่อมหมายความว่า..มีคนคิดร้ายกับท่านจริงๆ!”
  หลิงหยุนร้องถามออกมาทันที“มันเป็นใครกันนะ!”
  ไป่หยวนเจียส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ.. ข้ารู้เพียงแค่ว่าเวลานี้ตระกูลเก่าแก่มากมาย สำนักต่างๆ รวมทั้งพรรคมาร ต่างก็กำลังมาหาท่านที่จิงฉู!”