ตอนที่ 453 เวลามาถึง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“ฉินขุย ฉินจิน ฉินเฟิง เหตุใดพวกท่านถึงมาด้วยกันได้ ?”

เมื่อเห็นกลุ่มผู้มาใหม่ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ยืนขึ้นและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ฮ่า ๆ ๆ พวกเราจะพลาดงานวันเกิดของเจ้าตัวน้อยทั้งสองได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น ครานี้ที่มา เราก็มีข่าวความคืบหน้าบางอย่างเช่นกัน”

ฉินขุยยิ้มอย่างเป็นมิตร แท้ที่จริงแล้วฉินเฟิงส่งคนไปแจ้งให้พวกเขาเดินทางมาที่ชนเผ่าเมฆาคราม หากปราศจากการชี้แจ้งของฉินเฟิง พวกเขาคงไม่ทราบด้วยซ้ำว่าใกล้ถึงวันเกิดอายุครบหนึ่งขวบของเด็กทั้งสอง

“อวี้โม่ ข้าเป็นคนชวนให้พวกเขามาด้วยกันเอง ครานี้นอกจากมาเพื่อฉลองวันเกิดครบหนึ่งขวบของเจ้าหนูทั้งสอง ยังมีบางเรื่องที่เราต้องหารือกับทุกคน”

ฉินเฟิงยิ้มขณะเดินตรงเข้ามาหาซูน่าและอาอู่เพื่ออุ้มเด็กน้อยทั้งสอง

อันที่จริงในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาแอบมาเยี่ยมเยือนเด็กทั้งสองอยู่เป็นประจำและมักนำสิ่งของที่น่าสนใจติดไม้ติดมือมาให้เสมอ เพราะเหตุนั้นบุตรของฉินอวี้โม่จึงคุ้นเคยกับเขามาก

เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของฉินเฟิง หนูน้อยทั้งสองมีความสุขอย่างยิ่ง ทั้งสองหอมแก้มเขาคนละข้างพร้อมหัวเราะคิกคัก เห็นได้ชัดว่าทั้งสองรู้สึกถูกชะตากับเขามาก

“ดูสิ เจ้าหนูทั้งสองช่างน่ารักน่าชังยิ่งนัก เมื่อเติบโตขึ้น นึกไม่ออกเลยว่าจะมีบุรุษและสตรีหมายปองพวกเขามากมายเพียงใด”

ฉินจินและฉินขุยเดินเข้ามาเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกับหนูน้อยชายหญิง รูปลักษณ์น่ารักน่าชังและดูฉลาดของทั้งสองทำให้พวกเขารู้สึกทึ่งไม่น้อย ทว่ามันก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายมากนัก ด้วยการที่มีมารดาอย่างฉินอวี้โม่ บุตรที่กำเนิดมาจากนางย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ทุกท่านก็นั่งลงก่อนเถอะ สาเหตุที่ข้ามิได้บอกพวกท่านเพราะเกรงว่าฉินเหยียนจะสงสัย”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและผายมือเชื้อเชิญให้ทุกคนนั่งลง

จากนั้นฉินจิน ฉินขุยและคนอื่น ๆ ก็นั่งไม่ไกลไปจากฉินอวี้โม่ในขณะได้รับการทักทายจากซูวั่งชวนและเลี่ยหยาง ส่วนฉินเฟิงเองก็นั่งลงถัดจากฉินอวี้โม่ขณะอุ้มเด็กทั้งสองไม่ห่าง

“ศิษย์พี่ การที่ท่านพาฉินขุยและฉินจินมาด้วยอย่างกะทันหันเช่นนี้ มีเรื่องอะไรรึไม่ ?”

ฉินอวี้โม่หันมองฉินเฟิงซึ่งอยู่ข้างกายและกล่าวถาม ฉินเฟิงเป็นศิษย์พี่ของนางซึ่งไม่ต่างจากคนในครอบครัว แน่นอนว่านางไม่ทำตัวห่างเหินกับเขา

“มีเรื่องบางอย่างจริง ๆ เดิมทีฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็อยากมาที่นี่เช่นกัน ทว่าเพื่อมิให้เป็นการกระตุ้นความสงสัยของฉินเหยียน เราจึงมากันเพียงไม่กี่คน ยิ่งไปกว่านั้น เราทั้งหมดก็แอบมาที่นี่อย่างเงียบ ๆ ฉินเหยียนไม่มีทางล่วงรู้ได้”

ฉินเฟิงพยักศีรษะและอธิบายเพียงสั้น ๆ

“อีกอย่าง…ตอนนี้สหายเฉิงห่าวซวนก็นำคนออกไปสำรวจและสั่งสมหาประสบการณ์ใกล้กับเมืองมายา พวกเขากำลังรอคำสั่งของเจ้า”

ตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เขามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบจัดการมากมาย เพราะฉินอวี้โม่เองก็ต้องดูแลบุตรทั้งสองและฝึกยุทธ์เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ฉินเฟิงจึงทราบดีว่านางมีเวลาไม่มากนัก

“เวลามาถึงแล้วรึ ?”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินเฟิง ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาได้ทันที นางเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มและรอคำตอบยืนยันจากอีกฝ่าย

“อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะมีโอกาสที่เหมาะเจาะ เมื่อถึงตอนนั้น ข้าตั้งใจจะพาเจ้าเข้าไปในเมืองมายาก่อน และหากเป็นไปได้ ข้าก็จะพาเจ้าไปที่หอคอยต้องห้ามเพื่อปลดผนึกที่สองในร่างกายให้ได้เสีย จากนั้นเราก็จะร่วมมือกันอีกครั้งเพื่อจัดการกับฉินเหยียนและกำจัดนางออกไปในคราวเดียว”

ฉินเฟิงกล่าวโดยไม่อธิบายมากนัก เวลานี้มีคนอยู่มากและมิใช่เวลาสำหรับการลงรายละเอียดให้ยืดยาว ยิ่งไปกว่านั้น แผนการบางอย่างต้องหารือเฉพาะกับบรรดาผู้นำเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาสำหรับพิธีจวาโจวของเด็กทั้งสอง มันจึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก

“อวี้โม่ เตรียมตัวพาเจ้าหนูทั้งสองมาเริ่มพิธีเถอะ”

สวี่ซิ่วเอ่ยเรียกฉินอวี้โม่ก่อนกางพรมผืนใหญ่แผ่บนพื้นข้างหน้า พรมผืนนี้เต็มไปด้วยสิ่งของทุกรูปแบบเพื่อให้แฝดทั้งสองเลือกหยิบของเสี่ยงทาย

ฉินอวี้โม่ยืนขึ้นและอุ้มบุตรทั้งสองเดินตรงไปพร้อมฉินเฟิง

บรรดาผู้คนโดยรอบต่างมองด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าเจ้าหนูตัวน้อยทั้งสองจะเลือกของสิ่งใด

ฉินอวี้โม่วางเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ลงบนพรมก่อนชี้ไปที่สิ่งของกองใหญ่ตรงกลางพร้อมส่งรอยยิ้มเชิญชวนให้เด็กทั้งสอง

เมื่อเห็นสิ่งของมากมายตรงหน้า เด็กน้อยก็หัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ เสี่ยวอ้ายฉือเดินเซตรงไปยังกองสิ่งของข้างหน้าอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย ทว่าเสี่ยวอ้ายโม่ยังทรงตัวยืนไม่ได้ เพราะเหตุนั้นนางจึงทำได้เพียงคลานคว่ำหน้าตรงไปอย่างช้า ๆ

ปู้ดด~ !

ก่อนไปถึงกองสิ่งของ เสี่ยวอ้ายฉือผายลมเสียงดังก่อนทิ้งตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง

เวลานี้เสี่ยวอ้ายโม่ก็คลานคว่ำหน้าเข้าใกล้กองสิ่งของอย่างช้า ๆ

ภายในไม่กี่อึดใจ เด็กน้อยทั้งสองก็ปรากฏตัวตรงหน้ากองสิ่งของจำนวนมาก

ทั้งสองนั่งลงและเอื้อมมือออกไปหยิบจับสิ่งของด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น

เสี่ยวอ้ายโม่เริ่มจากการหยิบตำราเล่มหนึ่งและยกมันขึ้นมาราวกับพินิจพิจารณาก่อนโยนทิ้งไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว

“พรวดด~ เสี่ยวอ้ายโม่ดูจะไม่ชอบการอ่านจริง ๆ”

เมื่อเห็นการกระทำของเสี่ยวอ้ายโม่ ซูน่าก็อดหัวเราะและกล่าวออกไปไม่ได้

“ด้วยความเป็นเด็กก็คงเลือกสิ่งที่สร้างความสนุกสนานให้กับตนเอง การที่นางไม่สนใจตำราถือว่ามิใช่เรื่องแปลก”

ฉินอวี้โม่อดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ นางคิดว่าท่าทางจริงจังของบุตรน้อยทั้งสองดูตลกมาก

เสี่ยวอ้ายฉือเอื้อมมือออกไปแตะกระบี่ยาวซึ่งทำจากไม้เล่มหนึ่ง ดวงตาใสของเด็กชายมองดูมันด้วยความสนใจและหยิบกระบี่เล่มที่ชื่นชอบเลื่อนไปวางด้านข้างของตน

“ฮ่า ๆ ๆ เห็นทีเสี่ยวอ้ายฉือคงจะได้เป็นจอมกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตเป็นแน่”

ฉินจินยิ้มออกมา เขารู้สึกว่าเด็กน้อยทั้งสองน่ารักน่าชังยิ่งนัก

“เขามีมารดาที่ชำนาญด้านทักษะกระบี่ เพราะฉะนั้นหากเขาจะเชี่ยวชาญวิชากระบี่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก”

ซูวั่งชวนยิ้มและกล่าวเบา ๆ เขายังไม่ลืมเลือนว่าทักษะการใช้กระบี่ของฉินอวี้โม่ก็อยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

หลังจากวางกระบี่ไว้ด้านข้าง เสี่ยวอ้ายฉือก็หยิบเตาหลอมขนาดเล็กอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมองดูด้วยความสนใจ นี่คือเตาหลอมพิเศษซึ่งทำจากหยก แม้ว่ามันเป็นเพียงของเล่น มันก็ดูสวยงามยิ่งนัก

“โอ้ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องการสืบทอดทักษะการหลอมอาวุธอุปกรณ์ของผู้เป็นแม่และกลายเป็นช่างหลอมที่เก่งกาจมากความสามารถ”

เมื่อเห็นเขาถือเตาหลอมไว้ในมือ เลี่ยหยางก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ฉินอวี้โม่เป็นช่างหลอมที่ทรงพลังและบุตรชายของนางก็อาจกลายเป็นช่างหลอมที่มีฝีมือดียิ่งกว่านางเสียอีก

“ดูสิ เสี่ยวอ้ายโม่หยิบขวดโอสถแล้ว”

เมื่อสังเกตเห็นเสี่ยวอ้ายโม่ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งหยิบขวดโอสถขึ้นมาถือในมือพร้อมรอยยิ้มกว้าง อาอู่ก็กล่าวออกไปด้วยความตื่นเต้น

“เป็นจริงดังที่ว่า เด็กผู้หญิงมักจะเอาตัวอย่างของผู้เป็นลุง พี่ชายของข้าก็เป็นผู้หลอมโอสถที่เก่งกาจมาก”

ฉินอวี้โม่กระตุกยิ้มมุมปาก จู่ ๆ นางก็นึกถึงพี่ชายของตนซึ่งไม่ได้พบหน้ากันมาเนิ่นนาน นางมิอาจล่วงรู้ได้เลยว่าพี่ชายของตนเองจะสบายดีและปลอดภัยอยู่ในดินแดนเทพมายาหรือไม่

“เฮ้ เสี่ยวอ้ายฉือหยิบปากกาแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขาจะสนใจความรู้วิชาการตั้งแต่เด็กเช่นนี้”

ป้าหลานกล่าวพร้อมรอยยิ้มเอ็นดู เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอ้ายฉือหยิบปากกาเล่มนั้นและไม่หยิบอะไรต่อ นางก็ทราบว่าเขาได้ตัดสินใจเลือกสิ่งของนั้นแล้ว

“การไร้ความรู้การศึกษาเป็นสิ่งที่เลวร้ายเกินไป พวกเรา อ้ายฉือและอ้ายโม่ควรจะเป็นบุคคลที่มีความรู้การศึกษา”

ซูน่ากล่าวอย่างภาคภูมิใจ ทว่าวาจาของนางกลับทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกอับอายเล็กน้อย หมายความว่าอย่างไรกันที่การไร้ความรู้การศึกษาเป็นสิ่งที่เลวร้ายเกินไป…

นอกเหนือจากขวดโอสถ เสี่ยวอ้ายโม่ก็เลือกกล่องเครื่องสำอางสีชมพูอีกหลายใบซึ่งทำให้หลายคนอดหัวเราะไม่ได้

เด็กน้อยทั้งชายหญิงน่าสนใจอย่างแท้จริง

หลังจากเลือกของเสี่ยงทายเสร็จสิ้น ทุกคนก็นั่งรวมตัวกันและสนทนาพาทีกันอย่างออกรส

อาหารที่ชนเผ่าเมฆาครามจัดเตรียมไว้ถูกยกออกมาตาม ๆ กันเพื่อให้ทุกคนที่มาร่วมงานได้รับประทานอาหารมื้อพิเศษอย่างถ้วนหน้า

แน่นอนว่าทุกคนไม่สงวนท่าทีขณะพูดคุยกันอย่างรื่นเริงและรับประทานอาหารอย่างมีความสุขซึ่งเป็นบรรยากาศที่ครึกครื้นอย่างยิ่ง

บรรยากาศทั้งวันดำเนินไปอย่างมีชีวิตชีวาและในช่วงเย็นก็มีการจัดก่อกองไฟขึ้นมาซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงช่วงเย็น ฉินอวี้โม่และผู้นำหลายคนก็กล่าวร่ำลากับทุกคนและเข้าไปรวมตัวในคฤหาสน์เฟิงหัวแล้ว

ภายในคฤหาสน์หลังน้อย เด็กน้อยทั้งสองได้รับการดูแลและกล่อมให้หลับใหลโดยมารยาและอสูรตัวอื่น ๆ ในขณะที่ฉินอวี้โม่และอีกหลายคนนั่งรวมตัวกันเพื่อหารือธุระสำคัญ

“ศิษย์พี่ พวกเรามาพูดคุยกันถึงเรื่องข่าวที่ท่านทราบมาเถอะ ข้าอยู่ที่โลกมายาแห่งนี้มานานเกือบสองปีแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องสะสางปัญหาทั้งหมดที่นี่และเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายาเสียที”

ฉินอวี้โม่นั่งบนบัลลังก์หลักและคนอื่น ๆ ก็นั่งถัดจากกัน สายตาของพวกเขาทั้งหมดจับจ้องไปที่ฉินเฟิงเพื่อรอคำอธิบายจากเขา

“จากข่าวที่ข้าได้ยินมา หลังจากเดือนหนึ่ง ผู้ที่อยู่เบื้องบนจะส่งคนมาที่โลกมายาแห่งนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการตามหาคนในโลกมายาและนำตัวกลับไป หากข้าเดาไม่ผิด เกรงว่าคนจากเบื้องบนน่าจะค้นพบได้ถึงร่องรอยเบาะแสของเจ้าแล้ว และคนเหล่านั้นที่พวกเขาส่งมาก็เพื่อตามหาเจ้าเช่นกัน”

ในฐานะผู้ที่มีสถานะสูงที่สุดในที่แห่งนี้ แน่นอนว่าฉินเฟิงทราบหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่าทุกคน เพราะแม้แต่ฉินขุยและฉินจินเองก็ไม่ได้ทราบถึงเรื่องที่เบื้องบนจะส่งคนมาแม้แต่น้อย

ฉินจินและคนอื่น ๆ ขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่ได้ยินว่าจะมีคนถูกส่งมาที่นี่ พวกเขาตระหนักถึงความแข็งแกร่งของเบื้องบนเป็นอย่างดี หากต้องเผชิญหน้ากันในตอนนี้ พวกเขาไม่มีโอกาสชนะเลยสักนิด

“ไม่ต้องห่วง ทุกท่านน่าจะทราบถึงขีดจำกัดของโลกมายาของเราดี เพราะฉะนั้น ความแข็งแกร่งของผู้ที่ถูกส่งมานั้นอย่างมากก็จะเทียบเท่าได้กับฉินเหยียนเท่านั้น ซึ่งเรายังพอรับมือได้”

เมื่อเห็นฉินจินและทุกคนขมวดคิ้วและใบหน้าแสดงถึงความกังวล ฉินเฟิงก็ยิ้มและกล่าวเสริมเพื่อให้พวกเขาคลายกังวล

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเฟิง ทุกคนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย พวกเขาลืมเรื่องขีดจำกัดพิเศษของโลกมายาไปเสียสนิท ไม่มีทางที่คนผู้นั้นจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง

“เอาล่ะ ในเมื่อเบื้องบนจะส่งคนมาที่นี่ เหตุใดท่านจึงกล่าวว่าหลังจากเดือนหนึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดล่ะ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามข้อสงสัยของตน ในเมื่อ ‘เบื้องบน’ กำลังจะส่งคนมาที่นี่ การชิงลงมือในเวลานี้ก็น่าจะเหมาะสมที่สุด หากรอให้คนเหล่านั้นมาถึงหลังจากเดือนหนึ่ง การรับมือกับฉินเหยียนและพวกก็อาจยุ่งยากยิ่งกว่า

“เพราะเมื่อใดก็ตามที่เบื้องบนส่งคนมาที่นี่ หอคอยต้องห้ามจะเปิดขึ้นมาและข้าสามารถพาเจ้าเข้าไปที่นั่นได้”

ฉินเฟิงยิ้มและกล่าวตอบ จุดมุ่งหมายของพวกเขาก็คือหอคอยต้องห้าม ทว่าในเวลานี้หากเขาเสนอที่จะพานางไปที่หอคอยดังกล่าว มันน่าจะกระตุ้นความสงสัยของฉินเหยียนอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม หากเป็นหลังเดือนหนึ่ง มันจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ทันทีที่คนจากเบื้องบนมาถึง หอคอยต้องห้ามจะเปิดออก เมื่อถึงตอนนั้น หากฉินเฟิงต้องการพาฉินอวี้โม่เข้าไป มันก็จะไม่ทำให้ฉินเหยียนสงสัยมากนัก

“ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งสถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ในเมื่อคนพวกนั้นมาเพื่อจับตัวเจ้า เราก็จะแฝงตัวเข้าไปอยู่กับพวกเขาและอยู่ภายใต้สายตาของพวกเขาตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น เราก็จะได้สัมผัสถึงความแข็งแกร่งของฉินเหยียนและคนอื่น ๆ เช่นกัน หากเกิดอันตรายใด ๆ ขึ้นมา มันก็ไม่ยากที่ข้าจะพาเจ้าหนีไป เพราะเหตุนั้นข้าจึงคิดว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะที่สุด”

ฉินเฟิงกล่าวเสริมและบอกแผนการของตน

ทุกคนพยักศีรษะตอบรับและซูวั่งชวนกล่าว “แต่ว่าอวี้โม่จะแฝงตัวเข้าไปด้วยสถานะใดกัน ?”

เมื่อได้ยินวาจาของซูวั่งชวน ฉินเฟิงและฉินอวี้โม่ก็มองหน้ากันและหัวเราะเบา ๆ อย่างรู้กัน

.