บทที่ 1997+1998

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1997 แตกหัก

เสินเนี่ยนโม่สูดหายใจเบาๆ ลากตัวศิษย์น้องคนหนึ่งที่เป็นพยานในสถานที่เกิดเหตุมา “เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างตอนนางมาที่นี่ให้ข้าฟัง ยิ่งละเอียดยิ่งดี!”

ศิษย์น้องผู้นั้นเป็นนักแสดงนำคนหนึ่ง ความจำก็ดีจนน่าตะลึง ทุกคนที่เขาเล่าเรื่องราวให้ผู้อื่นล้วนเล่าอย่างมีชีวิตชีวานัก ทำให้ผู้ฟังได้อรรถรส และเด็กคนนี้ก็ซื่อตรงยิ่งนัก ไม่ชมชอบใส่สีตีไข่ พยายามรักษาเนื้อหาดั้งเดิมไว้เท่าที่จะทำได้…

ในบรรดาศิษย์น้องทั้งหมด วรยุทธ์ของศิษย์น้องคนนั้นต่ำต้อยที่สุด ดังนั้นจึงไม่อยู่ในสายตาอาจารย์เท่าไหร่ ส่วนเสินเนี่ยนโม่ก็โดดเด่นเปล่งประกายเกินไป ไม่ว่าจะไปทางใดล้วนดึงดูดสายตาของฝูงชนได้ รอบกายรายล้อมไปด้วยเหล่าศิษย์น้องชายหญิง

นับตั้งแต่เสินเนี่ยนโม่มายังหุบเขาล่องเมฆา ศิษย์น้องผู้นี้เคยคุยกับเขาเพียงประโยคเดียว ซ้ำยังเป็นเพียงการเรียกขานว่าศิษย์พี่ใหญ่คำหนึ่งเท่านั้น

จะอย่างไรศิษย์น้องตัวน้อยผู้นี้ก็คาดไม่ถึงว่าเสินเนี่ยนโม่จะรู้จักเขา ซ้ำยังสามารถเรียกชื่อของเขาได้ถูกต้องด้วย…

เขาตื้นตันใจนัก!

รีบเล่าเหตุการณ์หลังจากที่กู้ซีจิ่วมาถึงออกมาอย่างกระตือรือร้น ซ้ำยังโบกไม้โบกมือประกอบการเล่า

ความจำของเขายอดเยี่ยม จดจำทุกถ้อยคำที่คนอื่นพูดได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แทบจะเป็นการกรอให้ดูทีละฉากๆ…

เสินเนี่ยนโม่รับชมและรับฟังอยู่เงียบๆ แววตาวูบไหวเล็กน้อย

แน่นอนว่ายามที่ศิษย์น้องตัวน้อยผู้นี้กล่าวถ้อยคำต้นฉบับของกู้ซีจิ่วออกมา ยังคงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง อย่างไรเสียการที่บุรุษคนหนึ่งต้องเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นของกู้ซีจิ่วออกมา ก็ค่อนข้างจะน่าอายเล็กน้อย หนำซ้ำเสินเนี่ยนโม่ยังทระนงองอาจถึงเพียงนี้อีก…

นึกไม่ถึงเลยว่ายามที่เสินเนี่ยนโม่ได้ฟังถ้อยคำเหล่านั้น สีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลงอันใดเลย และไม่ได้แสดงทีท่าว่าได้รับความอัปยศอดสูออกมา ซ้ำยังหยักมุมปากนิดๆ ด้วย ศิษย์น้องตัวน้อยผู้นี้ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาฟังถ้อยคำเหล่านี้แล้วในใจคิดอะไรอยู่

เด็กผู้ชายล้วนให้ความสนใจกับการต่อสู้รบราอย่างเอาจริงเอาจัง ดังนั้นยามที่ศิษย์น้องคนนี้เล่าถึงฉากที่ทั้งสองฝ่าเริ่มต่อสู้กัน ก็เต้นผ่างในทันใด น้ำลายกระเด็นเป็นฝอย

ฉากบู๊ออกหมัดเตะต่อยกัน เขาล้วนเล่าในมุมมองที่ตนเห็นออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ทำให้คนรู้สึกราวกับได้เห็นเองกับตา

ยามที่เสินเนี่ยนโม่ฟังศิษย์น้องตัวน้อยเล่าถึงเรื่องเหล่านี้ ในมือยังคงกดแผ่นยันต์ถ่ายทอดเสียงสีแดงอ่อนแผ่นหนึ่งอยู่เป็นระยะๆ ชัดเจนยิ่งนัก เขาอยากติดต่อกับใครสักคน แต่จนปัญญาที่อีกด้านไม่มีคนตอบรับเลย…

ในใจของศิษย์น้องตัวน้อยยังคงฉงนอยู่เล็กน้อย เป็นผู้ใดกันที่กล้าไม่ไว้หน้าศิษย์พี่ใหญ่ถึงเพียงนี้?

ยามที่เฟิงชิงซ่างเหรินตามมาหา โชคดีที่ศิษย์น้องตัวน้อยเล่าถึงประโยคสุดท้ายที่กู้ซีจิ่วทิ้งไว้ก่อนจากไปแล้วพอดี “ข้าจะกลับมาอีก กลับมาคิดบัญชีกับพวกเจ้า!”

สำเนียงวาจาของศิษย์น้องตัวน้อยลอกเลียนแบบได้เหมือนอย่างยิ่ง จากนั้นเมื่อเขาหันหน้าไป ก็มองเห็นท่านอาจารย์ของตน…

สีหน้าของเฟิงชิงซ่างเหรินย่ำแย่นัก หัวคิ้วขมวดแน่นแทบจะหนีบแมลงวันตายได้

ศิษย์น้อยตัวน้อยหดหัวแวบหนึ่ง เรียกขาน ‘ท่านอาจารย์’ หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็รีบวิ่งหนีไปเลย

เฟิงชิงซ่างเหรินมองไปที่เสินเนี่ยนโม่ เสินเนี่ยนโม่ยืนพิงต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ เมื่อเห็นเขามาถึง ก็หยักยิ้มมุมปากเพียงแวบหนึ่ง มองเขาอย่างเฉยชา ไม่ได้ทำความเคารพ และไม่ได้เอ่ยวาจาใด

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเด็กน้อยหกขวบคนหนึ่ง แต่อำนาจบนกายเขากลับทำให้คนตกตะลึงได้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เฟิงชิงซ่างเหรินที่พบเห็นโลกมามากแล้วประหม่าอยู่บ้าง

ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังมีชนักติดหลังอยู่ จึงกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง “เนี่ยนโม่ ทำไมถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?”

“นี่ซ่างเหรินคิดว่ายังหลอกข้าได้ไม่นานพอกระมัง?” เสินเนี่ยนโม่ยิ้มบางๆ ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับแผ่ไปไม่ถึงดวงตา

แม้แต่คำว่าอาจารย์เขาก็ไม่เรียกแล้ว…

เฟิงชิงซ่างเหรินถอนหายใจเบาๆ “เนี่ยนโม่ เรื่องนี้อาจารย์ก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน บิดามารดาเจ้าฝากฝังความปลอดภัยของเจ้าไว้กับพวกเรา”

—————————————————————————

บทที่ 1998 แตกหัก 2

เฟิงชิงซ่างเหรินถอนหายใจเบาๆ “เนี่ยนโม่ เรื่องนี้อาจารย์ก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน บิดามารดาเจ้าฝากฝังความปลอดภัยของเจ้าไว้กับพวกเรา พวกเราย่อมต้องทุ่มเทกายใจ ไม่ปล่อยให้เจ้าเกิดอุบัติเหตุใดๆ ขึ้นได้ คนลึกลับหน้ากากผีผู้นั้นมีจิตไม่บริสุทธิ์ อาจารย์สนับสนุนให้เจ้าออกไปก็เพื่อไม่ให้นางหาเจ้าพบ กันไม่ให้เจ้าถูกนางลักพาตัวไป…”

เสินเนี่ยนโม่ยิ้ม นัยน์ตาหยีโค้ง “เหตุใดซ่างเหรินต้องพูดจาสง่าวางท่าเช่นนี้ด้วยเล่า? ท่านไปเชิญผู้อาวุโสท่านอื่นๆ มา กางตาข่ายฟ้าดินไว้ที่นี่ ร้ายกาจระดับใดกันแล้ว? นางบุกมาเพียงลำพัง ต่อให้ข้ารั้งอยู่ในหุบเขา นางจะสามารถชิงตัวข้าไปได้เชียวหรือ? ซ่างเหรินไม่เชื่อในตาข่ายฟ้าดิน หรือว่าไม่ไว้ใจข้ากันแน่?”

เฟิงชิงซ่างเหรินพูดไม่ออกเลย เขาไม่ไว้ใจเสินเนี่ยนโม่จริงๆ เกรงว่าเขาจะถูกกู้ซีจิ่วล่อลวงเป็นฝ่ายติดตามนางไปเอง…

“เนี่ยนโม่…” ขณะที่เฟิงชิงซ่างเหรินกำลังเรียบเรียงถ้อยคำอยู่ เสินเนี่ยนโม่ก็เอ่ยขัดว่า “ซ่างเหริน โปรดช่วยเชิญผู้อาวุโสท่านอื่นมาหาข้าหน่อยเถิด ผู้เยาว์มีเรื่องจะกล่าว”

เฟิงชิงซ่างเหรินผงะไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าสรุปแล้วเขาคิดอะไรอยู่กันแน่

เขาคิดดูเล็กน้อย สุดท้ายก็ส่งศิษย์ไปเชิญปรมาจารย์อีกเก้าท่านมา

ปรมาจารย์ทั้งเก้าท่านมีอยู่สองท่านที่บาดเจ็บสาหัส โชคดีที่เฟิงชิงซ่างเหรินช่วยรักษาให้พวกเขาแล้ว เดินเหินธรรมดายังคงไม่มีปัญหาอะไร

ทุกคนจึงมารวมตัวกัน…

หุบเขาล่องเมฆาพังย่อยยับอย่างสิ้นเชิง แม้แต่อาคารสักหลังก็ไม่หลงเหลืออยู่

ทุกคนจึงมารวมกันที่ลานกว้าง

ปรมาจารย์สิบท่านที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้มีเพียงสามท่านที่เคยพบเสินเนี่ยนโม่ในปัจจุบัน อีกเจ็ดท่านที่เหลือเพิ่งได้พบเขาเป็นครั้งแรก ดังนั้นยามที่เฟิงซ่างเหรินแนะนำให้อีกเจ็ดท่านที่เหลือรู้จัก เจ็ดท่านนั้นจึงตกตะลึงยิ่งนัก! คาดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่ในรูปลักษณ์ผู้ใหญ่แล้ว

ท่ามกลางนั้นมีอยู่คนหนึ่งที่หลุดปากโพล่งนามแฝงของเขาออกมา “คุณชายฝูอี?!”

ปรมาจารย์ท่านนี้เคยคบค้าสมาคมกับคุณชายฝูอีมาก่อน ถึงขั้นที่เคยฝ่าฟันอันตรายด้วยกันมาแล้ว เคยอยู่ร่วมกันเกือบครึ่งชั่วยาม เพียงแต่ยามนั้นคุณชายฝูอีไม่ได้เผยฐานะ ‘เสินเนี่ยนโม่’ ออกมา

หลังจากปรมาจารย์ท่านนี้แยกย้ายกับคุณชายฝูอีแล้ว ยังเคยนึกอยากคบหาเป็นสหายกับอีกฝ่ายด้วย ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาก็คือเสินเนี่ยนโม่ว่าที่ศิษย์ของตน…

บัดนี้นั่งอยู่ตรงนั้น มีหลากหลายความรู้สึกผสมปนเปกันไปชั่วขณะหนึ่ง ในใจไม่ทราบเช่นกันว่ารู้สึกอย่างไร

“เนี่ยนโม่ ตอนนี้เหล่าอาจารย์ของเจ้าล้วนอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าคิดจะพูดอะไร? พูดมาเถอะ” เฟิงชิงซ่างเหรินเปิดปากเอ่ย

ด้วยเหตุนี้ สายตาสิบคู่จึงมองไปที่เสินเนี่ยนโม่อย่างพร้อมเพรียง

เสินเนี่ยนโม่กวาดตามองปรมาจารย์ทั้งสิบท่านรอบหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโสทุกท่านเดินทางมานับหมื่นลี้เพื่อเนี่ยนโม่ สิ้นเปลืองแรงใจแล้ว เนี่ยนโม่ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้” เขาค้อมกายทำความเคารพ

ปรมาจารย์ทั้งสิบมองหน้ากันเหลอหลา

ถึงอย่างไรอวี่หังเจินเหรินก็เคยอบรมสั่งสอนเขาอยู่สามปี อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นว่า “เนี่ยนโม่ เจ้าสมควรเรียกพวกเราว่าอาจารย์…”

สายตาของเสินเนี่ยนโม่ร่อนลงบนใบหน้าของอวี่หังเจินเหริน กล่าวอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม “เจินเหรินอย่าได้รีบร้อน นี่เป็นเรื่องที่ข้าอยากจะกล่าวในวันนี้พอดี”

อวี่หังเจินเหรินงงงันเล็กน้อย จู่ๆ ก็สังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา “เนี่ยนโม่!”

เฟิงชิงซ่างเหรินก็ขมวดคิ้วเช่นกัน “เนี่ยนโม่ เจ้าคิดจะทำอะไร? พวกเราทั้งสิบเป็นสหายของบิดาเจ้า และเป็นอาจารย์ที่บิดาเจ้าแต่งตั้ง…”

เสินเนี่ยนโม่พลันยกมือห้าม เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน โปรดฟังฝูอีกล่าวก่อน”

ทุกคนจึงเงียบลง

เสินเนี่ยนโม่เอ่ยต่อไปว่า “เหตุผลที่ซ่างเหรินและผู้อาวุโสทุกท่านรับข้าเป็นศิษย์ ดูเหมือนจะเป็นเพียงเพราะเห็นแก่หน้าบิดาของข้า เพียงเพราะข้ามีนามว่าเสินเนี่ยนโม่ใช่หรือไม่”

พวกเขายอมทำลายกฎเกณฑ์ตามปกติ รับเด็กคนหนึ่งเป็นศิษย์ร่วมกัน ย่อมเป็นเพราะฐานะพิเศษของเขา บุตรแห่งเทพมาร

————————