บทที่ 1157 ยังมีคนที่โอ้อวดยิ่งกว่า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1157 ยังมีคนที่โอ้อวดยิ่งกว่า โดย Ink Stone_Fantasy

ในลานบ้าน วัตถุที่เป็นวงกลิ้งมั่วไปทั่ว กำไลเก็บสมบัติเต็มพื้นกลิ้งไปทั่วทุกที่

อวิ๋นจือชิว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ที่เดิมด้วยแววตาเหม่อล่อย ยังไม่ได้สติกลับมาพักใหญ่

“กำไลเก็บสมบัตินี่มันอะไรกัน?” อวิ๋นจือชิวยกกระโปรงขึ้น ใช้ปลายเท้าเขี่ยกำไลเก็บสมบัติที่กลิ้งมาข้างเท้า บนนั้นมีตะไคร่น้ำ ติดดินโคลนสกปรกมาก ไม่ใช่แค่วงเดียว แต่กำไลเก็บสมบัติทุกวงที่อยู่ตรงหน้าสกปรกเหมือนกันหมด ถ้าไม่ติดโคลนก็มีตะไคร่น้ำ หรือไม่ก็มีวัชพืชน้ำพันอยู่

เหมียวอี้กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าแช่อยู่ในน้ำมานาน นี่คือสิ่งที่ผู้ชายของเจ้าลำบากลำบนไปงมมาจากก้นทะเลสาบ” เขาไม่ใช่คนที่สะเพร่าขนาดนั้น เพียงแต่ชอบโอ้อวดตอนอยู่ต่อหน้าอวิ๋นจือชิวเท่านั้นเอง ชอบเห็นท่าทางเวลานางตกตะลึงเพราะเขา

ของสกปรกเกินไป เดิมทีอวิ๋นจือชิวไม่อยากแตะต้อง แต่เพื่อที่จะดูว่าข้างในมีของอะไรบ้าง นางก็ยังฝืนใจยื่นนิ้วสองนิ้วไปชี้ที่วงหนึ่งพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ทำให้พบว่าข้างนไม่ได้มีของมีค่าอะไรสักเท่าไร จึงโยนทิ้งแล้วพูดเหมือนดูถูกว่า “แค่พวกเศษเหล็กผุพัง มีอะไรน่าอวดนักหนา”

ที่จริงในใจนางก็รู้ดี ว่าถ้านำของในกำไลเก็บสมบัติจำนวนมากมายขนาดนี้มากองรวมกัน นั่นก็ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เลย เพียงแต่ปากนางไม่ยอมใครอยู่แล้ว

“เศษเหล็กผุพังเหรอ? เจ้าดูนะว่าอะไรเรียกว่าเศษเหล็กผุพัง!” พอเหมียวอี้โบกมือ วัตถุรูปเข็มขนาดเท่าแขนคนจำนวนหลายสิบแท่งก็เสียบเรียงแถวอยู่บนพื้น

อวิ๋นจือชิวตาเป็นประกายทันที ย่อมมองออกว่าเป็นของที่ทำมาจากผลึกแดง นางก้าวไปดูข้างหน้า แล้วขมวดคิ้วถามว่า  “ทำไมสกปรกขนาดนี้? เหมือนจะเคยโดนไฟเผามาก่อนด้วย แล้วของสีดำมันขลับข้างบนคืออะไร?”

“…” เหมียวอี้ไม่ได้ตอบอะไร แต่มองไปรอบๆ ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ ผู้หญิงคนนี้รักสะอาดที่สุด ในหนึ่งวันถ้าไม่อาบน้ำสักครั้งก็จะรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว ถ้าให้นางรู้ว่าเขานำของที่เคยเผาจากตัวศพมาโยนในบ้านที่สะอาดที่สุดของนาง นางจะต้องปรี๊ดแตกแน่นอน

เขาจึงไอแห้งๆ แล้วดึงเสาผลึกแดงต้นหนึ่งที่ยาวสิบกว่าจั้งออกมา เคยถูกไฟเผามาแล้วเช่นเดียวกัน

เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อวัตถุที่ใหญ่ขนาดนี้ปรากฏตัว ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวหุบปากแล้ว ไม่สนใจว่าจะสกปรกหรือไม่ หลังจากใช้มือสัมผัสอาวุธขนาดใหญ่จนแน่ใจว่าทั้งหมดทำมาจากผลึกแดง ดวงตางามก็เป็นประกายวิบวับ กำลังครุ่นคิดแล้วว่าถ้านำไปขายจะได้เงินเท่าไร จะสร้างเกราะรบผลึกแดงผลึกแดงได้กี่ชุด บนสีหน้าที่ปิติยินดีเขียนคำว่า ‘รวยแล้ว’ ตัวใหญ่เอาไว้

“ฮูหยิน เท่านี้เพียงพอให้เจ้าตอบตกลงคำขอของข้าแล้วสินะ?” เหมียวอี้ถามอย่างลำพองใจ

“หน้าไม่อาย!” อวิ๋นจือชิวถลึงตาจ้องเขาอย่างดุดัน แล้วหยิบเสาผลึกแดงมาลูบคลำอีก พร้อมกล่าวอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่วรยุทธ์ของพวกเราต่ำเกินไป ควบคุมของวิเศษขั้นเจ็ดไม่ไหวเลย ไม่อย่างนั้นถ้าใช้ยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดใส่เข้าไปตอนหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตร แบบนั้นก็จะเป็นของที่ดีมากจริงๆ” นางหันกลับไปโบกมือให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ “เก็บไม้กระบองทั้งเล็กทั้งใหญ่เอาไว้ แล้วก็จัดการที่นี่ให้สะอาด หลอมสร้างใหม่แล้วแยกออกจากกัน สามารถนำมาเก็บสะสมไว้หลอมสร้างของวิเศษ ทั้งยังนำไปทำกำไรที่ร้านผลึกสกัดของสองพี่น้องฝาแฝดได้ด้วย”

หญิงรับใช้ทั้งสองเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเก็บไม้กระบองผลึกแดงทั้งเล็กทั้งใหญ่ใส่เข้าในกระเป๋าสัตว์ของตัวเอง

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะสะบัดมืออีกครั้ง สะบัดโซ่ผลึกแดงหยาวใหญ่หยาบออกมาหลายเส้น ถ้ารวมร่างกันแล้วไม่เล็กว่าเสาผลึกแดงที่ยาวสิบกว่าจั้งต้นนั้นแน่นอน

อวิ๋นจือชิวเบิกตากว้างอีกครั้ง รีบสาวเท้าเดินวนรอบโซ่ มีความสุขจนหุบยิ้มไม่ลงแล้ว “ครั้งนี้รวยแล้วจริง รีบเก็บไว้ รีบเก็บไว้ แล้วอย่าลืมล้างให้สะอาดด้วยนะ”

“เจ้าค่ะ!” เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยรับ พวกนางมีสีหน้าปลาบปลื้มดีใจเช่นกัน ต่างคนต่างเก็บโซ่ไว้ สำหรับพวกนางสองคน ทรัพย์สินในบ้านก็คือทรัพย์สินของพวกนาง ถ้าในบ้านมีเงินพวกนางก็จะไม่ขาดแคลนข้าใช้จ่าย ปกติทรัพย์สินบนตัวทั้งสองมีมากกว่าพวกอนุภรรยา

ที่จริงแล้วฐานะของทั้งสองในตระกูลเหมียว ก็เป็นรองแค่เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวเท่านั้น บรรดาอนุภรรยาล้วนต้องเกรงใจกูกูใหญ่กับกูกูน้อยสองท่านนี้

อวิ๋นจือชิวที่ดีใจปนกังวลเหลือบมองกำไลเก็บสมบัติที่กองเป็นภูเขา พลางกล่าวอย่างปวดหัวว่า “ของนี้ไม่สะดวกจะให้ผ่านมือคนนอก หนิวเอ้อร์ พวกเราผู้หญิงสามคนทำความสะอาดทีละชิ้นแบบนี้แล้วจะเสร็จเมื่อไรกัน?”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ขอแค่เจ้าเติมเต็มความต้องการของข้า ข้ารับรองว่าเจ้าจะมีกำลังวังชามาทำความสะอาดของพวกนี้แน่นอน”

อวิ๋นจือชิวมองมาด้วยแววตาเป็นประกาย “เจ้ายังมีของอะไรที่ยังไม่ได้นำออกมาอีกใช่มั้ย? หนิวเอ้อร์ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ข้าให้เจ้าแต่งงานรับอนุภรรยาเป็นโขยง แต่ต้องมีเงินไว้เลี้ยงนะ ถ้าเจ้ากล้านำเงินในบ้านไปใช้กับผู้หญิงคนอื่นนอกบ้าน อย่าหาว่าข้าแปรพักตร์ก็แล้วกัน ส่งมาให้ข้าแต่โดยดี!”

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “เจ้าอย่ามาใช้มุกนี้เลย เจ้าตอบตกลงข้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

อวิ๋นจือชิวมองด้วยสายตาดูถูก “หน้าด้านไร้ยางอาย ให้ข้าดูก่อนว่าเป็นอะไรแล้วค่อยว่ากัน”

“นี่เจ้าพูดเองนะ ข้าให้เจ้าดูก็ได้ หลังจากดูแล้วเจ้าอย่ากลับคำพูดแล้วกัน” เหมียวอี้ชี้นาง

“ตกลงเจ้าจะเอาออกมามั้ย?” อวิ๋นจือชิวถลึงตาจ้อง

ผู้หญิงคนนี้ส่อแววว่าจะปรี๊ดแตกแล้ว เหมียวอี้เม้มปากพลางโบกมือหนึ่งครั้ง สิ่งของที่หนาแน่นกลุ่มหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ ยาเจี๋ยตันวีม่วงหลายเม็ดกำลังลอยอยู่กลางอากาศ เป็นยาเจี๋ยตันขั้นสี่จำนวนมาก!

อวิ๋นจือชิวกวาดมองแบบลวกๆ พอคาดคะเนได้ว่ามีเกินหนึ่งหมื่นเม็ด ก็แสดงความดีใจออกมาทางสายตาทันทีทันที นางไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบแหวนเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดยาเจี๋ยตันขั้นสี่ทั้งหมดเก็บไว้ นางใช้มือข้างเดียวรองถือแหวนเก็บสมบัติวงนั้น เมื่อได้ผลประโยชน์แล้วยังกล่าวอวดฉลาด “แค่ยาเจี๋ยตันขั้นสี่นิดหน่อย เจ้ายังมีหน้ามาเอ่ยปากขอแบบนั้น? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ…”

ยังพูดไม่ทันขาดคำ สีหน้าก็นิ่งค้าง เห็นเพียงเหมียวอี้โบกมือหนึ่งครั้ง ทำให้มียาเจี๋ยตันสีทองร้อยกว่าเม็ดลอยอยู่กลางอากาศอีก

อวิ๋นจือชิวตาลุกวาวราวกับอัญมณี ไม่พูดพร่ำทำเพลง โบกมือเก็บอีกครั้งแล้ว

“ข้ามีสิทธิ์เอ่ยปากแบบนั้นรึยัง?” เหมียวอี้ถาม

อวิ๋นจือชิวนำของมาเก็บไว้ เมื่อของมาถึงมือ นางก็ทำสีหน้าคลายกังวล แล้วบอกว่า “ข้าว่านะหนิวเอ้อร์ เจ้าวิปริตหรือเปล่า? ข้าจะบอกอีกครั้งนะ ข้ารับไม่ไหวหรอก เจ้าอย่ากดดันข้า! ไปให้อนุภรรยาพวกนั้นเติมเต็มความต้องการของเจ้าสิ ข้าจะทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

วันนี้ท่านขุนนางเหมียวมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เมื่อคุยเหตุผลกันไม่รู้เรื่อง เขาแค่หยิบเงินออกมาทุ่มก็สิ้นเรื่อง พอพลิกฝ่ามือยาเจี๋ยตันขั้นหกสีรุ้งสองเม็ดก็เคลื่อนไหวอยู่ในฝ่ามือแล้ว

“ยาเจี๋ยตันขั้นหก?” อวิ๋นจือชิวสายตาแวววาวแล้ว ยื่นมือไปแย่งมาไว้ในมือโดยตรง ถือไว้ข้างละเม็ด ถือเล่นอยู่ในมือ

เหมียวอี้ชี้ไปยังกำไลเก็บสมบัติที่กองเหมือนภูเขา พร้อมคุ้ยโม้โอ้อวดว่า “อวิ๋นจือชิว เจ้าฟังข้าให้ดี กำไลเก็บสมบัติสี่หมื่นกว่าวงตรงนี้ เป็นสมบัติที่นักพรตระดับบงกชทองขึ้นไปจำนวนหนึ่งหมื่นกว่าคนทิ้งไว้ ยาเจี๋ยตันขั้นห้าร้อยกว่าเม็ดกับยาเจี๋ยตันขั้นหกสองเม็ดในมือเจ้า แสดงว่าในนั้นมีสมบัติของนักพรตบงกชรุ้งอย่างน้อยหนึ่งร้อยกว่าคน และมีของนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอย่างน้อยสองคน นี่เป็นอย่างน้อยนะ! ตอนนี้เจ้ารู้ถึงมูลค่าของ ‘เศษเหล็กผุพัง’ พวกนี้แล้วรึยัง?”

“อะไร?” อวิ๋นจือชิวอุทานตกใจ ถลึงดวงตางามมองไปยังกำไลเก็บสมบัติกองนั้น สมบัติของนักพรตบงกชรุ้งอย่างน้อยหนึ่งร้อยกว่าคน กับนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอย่างน้อยสองคนเหรอ? ตอนนี้นางถึงได้เข้าใจว่ากำไลเก็บสมบัติกองนี้ต่างหากที่เป็นทรัพยากรที่เยอะที่สุด ยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดเม็ดนั้นไม่สามารถนำออกมาแลกเป็นเงินสดได้

นางหันหน้าช้าๆ กลับไปมองเหมียวอี้ พบว่าทุกครั้งที่ผู้ชายคนนี้ออกไปข้างนอก ก็ไม่เคยกลับบ้านมามือเปล่าเลย ครั้งนี้นำกองผู้เขาเงินกับกองภูเขาทองกลับมาแล้วจริงๆ มีเพียงพอให้ทุกคนกินได้นานเลย

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ตกตะลึงเช่นกัน สมบัติของนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพหมายความว่าอย่างไรล่ะ?

แต่สาวใช้สองคนยังดีหน่อย ไม่ได้ตกตะลึงมากขนาดนั้น ตั้งแต่ติดตามรับใช้เหมียวอี้มา เหมียวอี้ก็เป็นบุคคลผู้น่าเคารพนับถือที่ทำได้ทุกอย่างในสายตาพวกนาง ยังไม่เคยเห็นเรื่องอะไรทำให้เหมียวอี้ลำบากได้เลย แน่นอนว่าเหมียวอี้มีเวลาที่ได้รับความทุกข์ทรมานเหมือนกัน เพียงแต่พวกนางไม่ได้เห็นก็เท่านั้นเอง

เหมียวอี้ที่ภาคภูมิใจยื่นมือไปช้อนคางอวิ๋นจือชิว “ฮูหยิน คืนนี้ยอมข้าได้แล้วสินะ”

เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นจือชิวไม่ได้เอาความคิดไปวางไว้กับเรื่องนั้น หลังจากกลอกตาไปมาพักหนึ่ง นางก็ตบกรงเล็บสัปดนของเหมียวอี้ออก แล้วรีบหยิบระฆังดาราออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า ไม่รู้เหมือนกันว่าติดต่อใคร

“เจ้าทำอะไร?” เหมียวอี้สงสัย

อวิ๋นจือชิวไม่ตอบ แต่ไม่นานก็ได้รู้คำตอบแล้ว

ผ่านไปครู่เดียว หลางหลางหวนหวน อวี้หนูเจียว จีเหม่ยลี่ ฉินเวยเวย ฝ่าอิน ยกเว้นหงเฉิน กลุ่มอนุภรรยาของท่านขุนนางเหมียวอี้ก็มากันครบแล้ว เหมียวอี้มองพวกนางอย่างพูดไม่ออก

ส่วนผู้หญิงกลุ่มนี้ก็มองดูกำไลเก็บสมบัติที่กองเป็นภูเขาเต็มลานบ้านอย่างตกตะลึง ที่สำคัญเป็นเพราะกำไลเก็บสมบัติพวกนี้สกปรกจริงๆ

“ตรงหว่างคิ้วเจ้าเป็นอะไรไป?” จีเหม่ยลี่จ้องตรงหว่างคิ้วขณะเดินผ่านเหมียวอี้

“บาดเจ็บเล็กน้อย” เหมียวอี้ยิ้มขื่นขม

แปะๆๆ! อวิ๋นจือชิวปรบมือ ดึงความสนใจของผู้หญิงกลุ่มนี้กลับมา บอกว่า “ในบ้านมีคนเยอะ ค่าใช้จ่ายก็มีเยอะ ครั้งนี้นายท่านตั้งใจออกไปใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวมา เพียงแต่ของที่นำกลับมาได้ทุกคนก็เห็นแล้ว ของนี้ไม่สะดวกจะให้ผ่านมือคนนอก คนในครอบครัวเดียวกันอย่าอยู่ว่างๆ เลย มาช่วยกันทำความสะอาดสักหน่อย”

จากนั้น นางก็เริ่มอาศัยฐานะนายหญิงของบ้านเรียกใช้กลุ่มผู้หญิงพวกนี้ เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ย้ายโต๊ะเก้าอี้และนำน้ำชามาวาง อวิ๋นจือชิวนั่งดื่มน้ำชาแล้วคอยชี้นิ้วสั่ง

อนุภรรยาทั้งหกแบ่งกันร่ายอิทธิฤทธิ์ล้างกำไลเก็บสมบัติกองนั้น การทำความสะอาดของแบบนี้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่มีพลังอิทธิฤทธิ์อย่างทั้งหกคน ประเด็นสำคัญคือการจัดระเบียบของที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติทีละวง การแยกประเภทของที่อยู่ในนั้นค่อนข้างยุ่งยาก ในกำไลเก็บสมบัติยังมีกำไลเก็บสมบัติหรือไม่ก็แหวนเก็บสมบัติอีก การแยกประเภทของที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติหลายหมื่นชิ้นก็ไม่ใช่งานเบาๆ

“ต้องนำของทั้งหมดเก็บเข้าบัญชีกลาง ไม่ว่าใครก็ห้ามเก็บไว้ส่วนตัว ถ้าจับได้เมื่อไรก็อย่าว่าข้าไม่เกรงใจ!” อวิ๋นจือชิวนั่งไขว่ห้างยกถ้วยน้ำชาดื่ม มีมาดของฮูหยินมาก นางกำลังถลึงตาจ้องอยู่ตรงหน้าทุกคน ไม่ว่าใครก็ไม่สะดวกจะเก็บของไว้ส่วนตัวทั้งนั้น แล้วอีกอย่าง พวกจีเหม่ยลี่ก็ไม่ได้ถึงขั้นมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อย

ส่วนเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็บันทึกของที่อนุภรรยาทั้งหกล้างออกมาไม่หยุดหย่อน แล้วก็ส่งต่อให้อวิ๋นจือชิว อวิ๋นจือชิวผ่อนคลายสบายมาก

เหมียวอี้กำลังเอามือไขว้หลังยืนอยู่นอกศาลา ขณะชำเลืองมองท่าทางที่อวิ๋นจือชิวชี้นิ้วบงการกลุ่มอนุภรรยา เขาก็ปวดประสาทนิดหน่อย แอบถ่ายทอดเสียงถามว่า “ข้าว่านะ การที่เจ้าเรียกพวกนางมา ในมือพวกเรามีของมากมายขนาดนี้ เจ้าไม่กลัวพวกนางจะปล่อยข่าวให้สี่ปราชญ์รู้เหรอ?”

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “รู้ก็รู้ไปสิ พวกเขาจะกล้าแย่งไปจากมือเจ้าเชียวเหรอ? ข้าอยากให้พวกเขารู้ถึงศักยภาพของพวกเราอยู่พอดี พวกเขาดูถูกที่ผู้บัญชาการใหญ่อย่างเจ้ามีรายได้น้อยไม่ใช่เหรอ แต่ละคนหยิ่งในศักดิ์ศรีจนเจ้ารั้งไว้ไม่อยู่ไม่ใช่รึไง ให้พวกตาแก่มาดูถูกผู้ชายของข้า ข้าก็ไม่มีหน้ามีตาน่ะสิ ข้าอดกลั้นความโกรธนี้มาตลอด เมื่อได้โอกาสแล้วข้าก็ต้องระบายความโกรธแน่นอน! เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงบอกว่าของพวกนี้เจ้าได้มาเพราะใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวล่ะ พวกนั้นยืมเงินข้าแล้วยังมาดูถูกข้าอีก ครั้งนี้ให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย ดูว่าพวกเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนกี่ปีถึงจะหาเงินได้เท่านี้ ให้พวกเขาเข้าใจว่าใครกันแน่ที่เป็นพี่ใหญ่ในบรรดาหกปราชญ์!”

…………………………