ราชันเร้นลับ 534 : คาบเรียนในฝัน โดย Ink Stone_Fantasy
ความกังวลของเดนิสไม่เกิดขึ้นจริง ไคลน์เพียงจ้องมอง และเดินกลับเข้าห้องนอนโดยไม่ทำอะไรมากกว่านั้น
ตลอดห้าชั่วโมงบนเรือ จิตไคลน์อยู่ในสภาพตึงเครียดตลอดเวลา แถมเมื่อคืนยังถูกรบกวนการนอน จึงเลี่ยงอาการเหนื่อยล้าอย่างสุดขีดไม่ได้
ไคลน์ปิดประตูห้องนอนเสียงดัง ‘ตึง’
ฟู่ว… น่ากลัวฉิบหาย!
เดนิสรู้สึกผ่อนคลายเหนือคำบรรยาย พร้อมกับนอนแผ่ลงไปบนเก้าอี้เอนหลัง
เมื่อสักครู่ มันกำลังจินตนาการภาพตัวเองถูกเปลี่ยนเป็นเหรียญทองปอนด์ ฉากแล้วฉากเล่าตามหลอกหลอนไม่หยุดหย่อน ยากจะสลัดให้หลุดพ้นโดยง่าย
เนื่องจากเดนิสแช่อยู่ในผับจนถึงรุ่งเช้า จึงกลับถึงห้องนอนในสภาพอ่อนเพลียสุดขีด ผ่านไปสักพักก็งีบหลับและเริ่มฝันว่า กัปตันของตนพยายามช่วยให้พ้นจากเงื้อมมือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่เธอทำไม่สำเร็จ และถูกจับตัวไปเป็นสาวใช้ของนักผจญภัยเสียสติ
เดนิสเดือดดาลสุดขีด แต่มันก็มิอาจขัดขืนพลังของอีกฝ่ายไหว
จนกระทั่งมันสะดุ้งตื่น ความฝันอันพร่ามัวรอบตัวกลายเป็นคมชัด ทิวทัศน์แปรเปลี่ยนเป็นห้องพักสุดหรูของโรงแรมวายุคราม
ก็อก! ก็อก! ก็อก!
เดนิสได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะช้า
เรากำลังฝันไม่ใช่หรือ…?
เพลิงพิโรธเกิดความสงสัย จึงเดินไปยังประตูและบิดกลอนโลหะ
เมื่อประตูเปิดแง้ม มันเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยจากอีกฝั่ง
เบื้องหน้าคือสตรีเลอโฉม ใบหน้าเรียวมนคล้ายไข่ห่านคว่ำ ดั้งจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง ดวงตาสีฟ้าอ่อนคล้ายกับน้ำพุกระจ่างใส
ผมยาวสีน้ำตาล แสกกลาง มัดรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบง่ายแต่ประณีต ปลายผมถูกปล่อยลงพื้นตามแรงโน้มถ่วง
อีกฝ่ายมิได้สวมหมวก สวมแจ็คเก็ตสีน้ำตาลอ่อน รอบคอเสื้อถูกตกแต่งด้วยลูกไม้สีขาวแผ่นใหญ่ หนาประมาณครึ่งฝ่ามือ
ถัดลงมาจากแจ็คเก็ตเป็นกระโปรงพลีตสีเข้มยาวถึงเข่า แต่ละจีบเรียงสลับสูงต่ำอย่างประณีต ด้านล่างสุดเป็นรองเท้าบูตหนังสีเดียวกับเส้นผม
“กัปตัน!” เดนิสอุทาน
มันพลันสะดุ้ง รีบหันหน้าไปทางห้องนอนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์และแหกปากโวยวาย
“ระวัง! หนีไป! ชายเสียสติต้องการพบคุณ! เบื้องหลังเขามีองค์กรลับน่ากลัวหนุนหลัง!”
ขณะเตรียมใจเสียสละตัวเอง เดนิสได้ยินกัปตันกล่าวเสียงขรึม
“นี่คือความฝัน”
ความฝัน…? งั้นหรอกหรือ เรากำลังอยู่ในความฝัน ไม่มีอะไรต้องกังวล…
เดนิสมองไปรอบตัว ลดแขนลง ก่อนจะเดินถอยกลับเข้ามาในห้อง
“กัปตัน คุณจำลองพลัง ‘ฝันร้าย’ ใช่ไหม? …แต่น่าแปลก เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ฝันทองคำเพิ่งออกจากเกาะโซเนีย”
โซเนียคือเกาะใหญ่อันดับหนึ่งบนทะเลฝั่งตะวันออก ขณะเดียวกันก็เป็นต้นตอของชื่อทะเลโซเนีย ขนาดของมันใหญ่เกือบเท่าทวีปเล็ก เดิมทีเคยเป็นจุดรวมตัวของเอลฟ์หลังจากยุคสมัยมหาภัยพิบัติ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เผ่าพันธุ์โบราณดังกล่าวได้ถูกรบกวนด้วยปัจจัยหลายด้าน จึงค่อยๆ ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีข่าวลือว่าสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว แต่การปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งคราวทำให้มนุษย์ทราบว่าพวกมันยังดำรงอยู่
ในช่วงตอนปลายของยุคสมัยที่สี่ อาณาจักรโลเอ็นคือผู้ปกครองเกาะโซเนียอย่างชอบธรรม แต่หลังจาก ‘สงครามยี่สิบปี’ จบลง กองทัพโลเอ็นประสบความพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช จึงต้องมอบสิทธิ์การควบคุมเกาะให้กับจักรวรรดิฟุซัค โดยเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านมานานกว่าเจ็ดร้อยปีแล้ว
เกาะโซเนียตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่เกาะรอสต์ ใช้เวลาเดินทางด้วยเรือกว่าครึ่งเดือน ดังนั้น หากพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด อยู่ใกล้กับเกาะโซเนียเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนจริง เธอก็ไม่ควรปรากฏตัวในเมืองบายัมได้ นอกเสียจากจะมีเวทมนตร์บินด้วยความเร็วสูง หรือไม่ก็เดินทางผ่านโลกวิญญาณด้วยพลังของ ‘นักท่องเที่ยว’
สาวสวยผู้ถูกเดนิสเรียกว่ากัปตัน พยักหน้ารับอย่างสุขุม
“เรือของเราเพิ่งเข้าสู่น่านน้ำเกาะรอสต์ได้ไม่นาน ยังห่างจากบายัมอีกราวหนึ่งพันไมล์ทะเล”
หรือก็คือ อีกไม่ต่ำกว่าสี่วันกว่าจะมาถึง…
ทำไมถึงได้ฟังดูปรกตินัก…
เดนิสใคร่ครวญอย่างไม่เข้าใจ
“พลังของฝันร้ายไม่น่าจะไกลขนาดนั้น…”
แถมยัง… ไกลไปมาก… มันเสริมในใจ
พลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า เดินตามเข้ามาในห้อง และตรงไปยังบริเวณโต๊ะกับเก้าอี้
“ไม่ใช่ ‘ฝันร้าย’ แต่เป็นพิธีกรรมเวทมนตร์ลับ อาศัยข้าวของเครื่องใช้ของคุณบนเรือเป็นสื่อกลาง และทำการส่งจิตบุกรุกความฝันของคุณจากตำแหน่งห่างไกล…”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายอย่างละเอียดรอบคอบของกัปตัน เดนิสรู้สึกคล้ายกับตนกำลังอยู่บน ‘ฝันทองคำ’ และเข้าเรียนคาบวิชาประจำวัน
เราไม่เคยได้ยินพิธีกรรมลับในลักษณะดังกล่าวมาก่อน… สมกับเป็นกัปตัน เธอรู้จักเวทมนตร์หายากและพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์มากมาย ไม่มีใครบอกได้ว่าความรู้ของเธอกว้างขวางมากแค่ไหน… ถ้าจำไม่ผิด เธอเคยบอกว่าลำดับของตนชื่อ ‘อาจารย์วิชาลับ’ …
โธ่เอ้ย… ถ้าเรารู้มาก่อนว่าเธอสามารถใช้ ‘วิชาลับ’ แบบนี้ได้ คงไม่ต้องมัวกังวลหาทางแจ้งให้ทราบถึงอันตรายในเมืองบายัม…
เดนิสเพิกเฉยคำอธิบายของเอ็ดวิน่าเพื่อประมวลผลเรื่องราวย้อนจนกระทั่ง
“กัปตัน คุณพบความผิดปรกติของจุดติดต่อภายในเมืองบายัมมานานแล้วใช่ไหม”
“ถูกต้อง ด้วยวิชาลับชนิดอื่น…”
คล้ายกับว่า หากประเด็นใดซับซ้อนเกินกว่าความเข้าใจของเดนิส เอ็ดวิน่าจะอธิบายให้ฟังดูง่ายขึ้นด้วยคำว่า ‘วิชาลับ’
ได้ยินเช่นนั้น เดนิสถอนหายใจห่อเหี่ยว
“เฒ่าลินน์ผู้น่าสงสาร… คนอื่นก็เช่นกัน…”
เอ็ดวิน่าหยุดเดิน หันหลังให้หน้าต่าง และซักถามสั้นกระชับ
“เกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“ต้องย้อนกลับไปเล่าตั้งแต่ท่าเรือดาเมียร์” จิตใจเดนิสกำลังปลอดโปร่ง ความตึงเครียดตลอดหลายวันก่อนหน้า ราวกับถูกปลดปล่อยออกมาในวินาทีนี้
มันเล่าเรื่องราวด้วยปากเปล่า เริ่มตั้งแต่ความพยายามในการชักชวนเกอร์มัน·สแปร์โรว์มาเป็นพวก แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายมีจิตไม่ปรกติ เหตุการณ์เผชิญหน้ากับโจรสลัดกะโหลกแดงบน ‘โมราขาว’ โดยดัดแปลงเรื่องราวของตัวเองเล็กน้อย
เนื่องจากมันนั่งคิดคำอธิบายเบื้องต้นเตรียมเผื่อไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน จึงทำการเล่าอย่างปะติดปะต่อและฉะฉานชำนาญ
ถัดมาเป็นเรื่องราวของเมืองท่าแบนชี ต่อด้วยการซุ่มโจมตีของ ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ และการเอาคืนของตนโดยวางแผนลอบจู่โจมร่วมกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เดนิสไม่ปิดบังแม้แต่เรื่องเดียว มันคาดคะเนเบื้องหลังและสมบัติวิเศษซึ่งน่าจะเป็น ‘ยุบพองหิวโหย’ รวมถึงการมีองค์กรใหญ่คอยสนับสนุนเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ให้เอ็ดวิน่าฟังอย่างละเอียด
มันเล่าความจริงอย่างเถรตรง มีเพียงการบิดเบือนสถานะของตัวเองเล็กน้อย เช่น เดนิสจะไม่บอกว่าตนคือคนรับใช้ เลือกใช้คำว่า ‘พวกพ้อง’ หรือ ‘ผู้ช่วย’ มากกว่า
‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่าตั้งใจฟังอย่างเงียบงันโดยไม่ขัดคอ และพยักหน้ารับในตอนสุดท้าย
“เขาไม่มีเจตนาร้าย”
หมอนั่นเนี่ยนะ! คนจิตไม่ปรกติอย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์เนี่ยนะ จะไม่มีเจตนาร้าย!
เดนิสรีบโน้มน้าว
“กัปตัน ไม่ว่าจะมีเจตนาร้ายหรือไม่ แต่หนอนั่นเป็นตัวอันตรายอยู่ดี! …คุณมั่นใจได้ยังไงว่ามันไม่ได้คิดร้าย!”
“ไม่มั่นใจ” เอ็ดวิน่ากล่าวหน้านิ่ง
“…แล้วทำไมถึง” เดนิสหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้า มันพบว่ากัปตันของตนมีส่วนคล้ายคลึงกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์อยู่หนึ่งเรื่อง :
เป็นพวกเข้าใจได้ยากบัดซบ!
เอ็ดวิน่าพูดต่อ
“เดาจากประสบการณ์และข้อมูล”
“…” เดนิสก่ายหน้าผากด้วยมือขวา “ผมสรุปให้ก็แล้วกัน หมอนั่นเป็นตัวอันตราย มีองค์กรลับนิรนามอยู่เบื้องหลัง และไม่คิดว่าคุณควรเสี่ยงชีวิตเพื่อพบกับมันโดยตรง ถึงอีกฝ่ายจะอ้างว่ามีบางสิ่งต้องการถามก็ตาม!”
เอ็ดวิน่าก้มศีรษะตรึกตรองสักพัก
“ฉันไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยง… เพราะสามารถสนทนากับเขาผ่านคุณได้”
เดนิสโล่งใจในตอนแรก ก่อนจะเงยหน้าถามอย่างสงสัยและคาดหวังคำอธิบาย
“ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ… ด้วยวิธีใด?”
เอ็ดวิน่ายกแขนขวา ทันใดนั้น กระดานดำและโครงไม้พลันปรากฏขึ้นในความฝัน
เอ็ดวิน่าเขียนประเด็นสำคัญลงบนกระดานดำด้วยตัวอักษรสวยงาม และอธิบายพลางเน้นย้ำให้เดนิสจดจำหัวข้อสำคัญจนขึ้นใจ ทางฝั่งเดนิสรีบนั่งลงตามสัญชาตญาณ สีหน้าของมันเคร่งเครียดราวกับกำลังอยู่ในคาบของฝันทองคำจริงๆ
หลังนั่งจากฟังได้สักพัก มันเพิ่งฉุกคิดได้ว่า
แม่เย็*! ทำไมต้องนั่งเรียนในฝันด้วยวะ!
…
ภายในห้องนอนใหญ่ ไคลน์ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น เริ่มตระหนักถึงความผิดปรกติบางอย่างรอบตัว
มันลุกขึ้นนั่งบนขอบเตียง เงี่ยหูฟังเสียงกรนของเดนิสในห้องนั่งเล่น และพบว่าอีกฝ่ายยังคงกรนเป็นปรกติ แต่เนื้อเสียงนุ่มนวลกว่าปรกติเล็กน้อย
สิ่งนี้อาจไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนอื่น แต่กับไคลน์ หัวหน้าใหญ่ขององค์กรลับนอกรีตและผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เร้นลับระดับสูง ความไม่ปรกติเล็กน้อยในระดับนี้ ควรค่าแก่การตั้งข้อสงสัยและตรวจสอบ
มันลุกเดินด้วยฝีก้าวแผ่วเบาจนถึงประตูกั้นระหว่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่น และหมุนมือขวาบิดกลอนอย่างระมัดระวัง
ไคลน์เดินออกจากห้องนอนด้วยย่างก้าวเงียบเชียบ เห็นเดนิสกำลังเอนกายพิงเก้าอี้ตัวเดิมพร้อมกับกรนเสียงแผ่ว ทุกสิ่งรอบตัวมิได้แสดงให้เห็นถึงความผิดปรกติใดๆ
ชายหนุ่มเปิดเนตรวิญญาณและตรวจสอบ ‘เพลิงพิโรธ’ อย่างละเอียด แต่ก็ยังไม่พบปัญหาใดเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นสีของออร่าสุขภาพหรืออารมณ์ ทุกอย่างอยู่ในขอบเขตของความปรกติ
หลังจากก้มหน้าครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยและหยิบแผ่นยันต์สีเงินออกมาถือ
“คุณต้องประกอบพิธีกรรม ชื่อของมันคือ ‘พิธีกรรมวิญญาณสถิต’ มีอำนาจช่วยให้วิญญาณของฉันเดินทางผ่านโลกวิญญาณเพื่อสิงร่างคุณ และพูดคุยกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้โดยตรง ใช้ได้กับผู้วิเศษลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพเท่านั้น โดยระยะทางต้องไม่ไกลกว่าห้าร้อยไมล์ทะเล… เนื่องจากเป็นพลังในขอบเขตการสื่อสารและหลักเหตุผล คุณต้องสวดวิงวอนถึงเทพปัญญาความรู้ รวมถึงวาดสัญลักษณ์และอักขระเวทมนตร์ของท่านให้ถูกต้อง… ในแง่ของพิธีกรรม ดวงดาวซึ่งเกี่ยวพันกับเทพปัญญาความรู้คือดาวสีคราม ใช้โลหะจำพวกปรอท ทองเหลือง และต้องโปรยผงลาเวนเดอร์ พริกไทย สะระแหน่ ลงบนแท่นบูชาให้เรียบร้อย… ดาวสีครามเกี่ยวเนื่องกับวันเสาร์ เริ่มจากศุกร์เที่ยงคืนไปถึงเสาร์ตีหนึ่ง และเสาร์สิบเอ็ดโมงไปจนถึงเสาร์เที่ยงวัน ยันต์ห้วงความฝัน”
…
ภายในความฝัน เดนิสกำลังนั่งเรียนวิชา ‘พิธีกรรมวิญญาณสถิต’ ด้วยสีหน้าขื่นขม มันเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า บุคคลตรงหน้าคือกัปตันของตนตัวจริง ไม่ใช่คนหน้าเหมือนปลอมตัวมาหลอก
ทั้งวิธีการพูด น้ำเสียง การเก็บรายละเอียด และความเข้มงวดในทุกกระเบียดนิ้ว… ไม่มีใครในโลกสามารถลอกเลียนแบบได้อีกแล้ว!
ทันใดนั้น เดนิสได้ยินเสียงกลอนประตูโลหะถูกหมุนบิด
มันมองไปยังต้นเสียงตามสัญชาตญาณ และได้เห็นประตูห้องนอนกำลังแง้มเปิดออกทีละนิด จนกระทั่งเกอร์มัน·สแปร์โรว์ในเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายเดินออกมา
“น…นี่นาย… เปิดประตูออกมาได้ยังไง!” เดนิสยืนอุทานด้วยสีหน้าตกตะลึงสุดขีด
ก่อนจะเริ่มมีสติ และกล่าวตะกุกตะกัก
“น…นี่มันความฝันของฉัน!”
แล้วเกอร์มัน·สแปร์โรว์โผล่ออกด้วยวิธีใด!
ไคลน์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขายาวสีดำ เดินกรุยกรายมาดเท่ตรงไปทางหน้าต่างใกล้กับจุดยืนของหญิงสาว และหันไปตอบเดนิสด้วยเสียงแผ่วเบา
“ยันต์”
จากนั้น ชายหนุ่มเบือนหน้าขึ้นมาจ้องสตรีเลอโฉม และเปล่งเสียงถามเจือความมั่นใจ
“เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด?”
การแต่งกายค่อนข้างแปลก… ไม่เหมือนนักผจญภัยเลยสักนิด กับโจรสลัดยิ่งแล้วใหญ่… คล้ายกับหญิงแกร่งผู้มีการงานมั่นคง สามารถเลี้ยงตัวเองได้ไปจนตาย… สไตล์การแต่งตัวค่อนไปทางชาวอินทิส…
ไคลน์ลองวิเคราะห์ มันไม่คุ้นเคยกับการแต่งตัวในลักษณะนี้สักเท่าไร
เอ็ดวิน่าผงกศีรษะรับ และถามกลับด้วยความหมายเดียวกัน
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์?”
“ถูกต้อง ทิวาสวัสดิ์ มาดาม”
ไคลน์เผยรอยยิ้มสุภาพ และนำมือทาบอกโน้มตัวคำนับอย่างสง่างาม
เอ็ดวิน่าพยักหน้ารับ
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ”
ไคลน์ยังคงรักษามาดขรึมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไม่พูดพร่ำเพรื่อ รอให้อีกฝ่ายเริ่มถามถึงจุดประสงค์ของตนก่อน
…
ชายหนุ่มจ้องเอ็ดวิน่า
…
เอ็ดวิน่าจ้องกลับ
…
ท่ามกลางความฝันของเดนิส เวลาหลายนาทีผ่านไปอย่างเงียบงันและไร้ประโยชน์
เพลิงพิโรธเหลียวซ้ายที ขวาที
มันเริ่มแยกไม่ออกว่า กัปตันของตนมาแวะมาหาจริง หรือทั้งหมดเป็นเพียงความฝันอันผิดเพี้ยนตั้งแต่ต้น!
……………………