ปกติเธอซื้อเสื้อผ้าน้อยมาก เสื้อผ้าพวกนี้เธอซื้อมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้เธอไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าเลย ถ้าเธอใส่เสื้อผ้าแบบนี้มาทำงานอีกคงไม่เหมาะสมแน่ แถมเธอยังไม่ชอบให้คนนินทาเธอลับหลังด้วย
หลังเลิกงานเธอไปห้างสรรพสินค้า เสื้อผ้าที่นี่ถูกมาก ตอนนี้กระโปรงไม่เหมาะที่จะใส่ เธอจึงเลือกกางเกงสีเขียวหม่น และเสื้อเชิ้ตสีขาว ทั้งหมดจ่ายไปห้าร้อยแปดสิบหยวน
วันเสาร์กับวันอาทิตย์บริษัทมีกฎว่าไม่ต้องใส่ชุดยูนิฟอร์มก็ได้ สามารถใส่ชุดของตัวเองได้
น้านาโนยิ้มชม “ซื้อชุดได้ดี ใส่แล้วสวยมาก”
เธอนางเอกก็ยิ้ม “น้านาโนก็สวยค่ะ วันนี้ต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว”
ล็อบบี้ของบริษัทใหญ่มาก ทำความสะอาดกันสองคนน่าจะต้องหมดแรงไปเยอะ ต้องทำความสะอาดไปทีละจุด และใช่มั้ยถูพื้นถูอีกครั้ง
ทุกครั้งน้านาโนจะแย่งทำงานที่สกปรกที่สุด น้องนางเอกจะทำก็ไม่ให้ทำ เพราะน้านาโนกลัวเธอจะทำไม่สะอาด ดังนั้นจึงทำมากกว่าเธอเสมอ
ทันใดนั้นรถเบนท์ลีย์สีดำก็ขับเข้ามา และฉันทัชก็พูดว่า “หยุด เอาเอกสารอนุมัติขึ้นไปส่ง”
โก๋ออกไป เขาจึงหลับตา เอนศีรษะลงบนเก้าอี้หนังแล้วผล็อยหลับไป
หลังจากนั้นไม่นานโก๋ก็กลับมา เขาขมวดคิ้วลังเลว่าจะพูดหรือไม่พูดดี
“พูดสิ…” ฉันทัชลืมตาและมองไปที่โก๋
“ผมเห็นคุณยู่ยี่ที่บริษัท” คิ้วของโก๋ย่นขึ้นอีกครั้ง “เธอกำลังทำความสะอาดและทำงานเป็นแม่บ้าน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉันทัชก็ขมวดคิ้ว และขาของเขาที่ขัดสมาธิอยู่ก็วางลง
ยู่ยี่ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับฉันทัชที่นี่ เสื้อคลุมสีดำบนตัวของเขายาวถึงเข่า เรียบไม่มีรอยยับ และกางเกงสูททรงตรงก็ดูเนี๊ยบยิ่งขึ้นไปอีก มันปกคลุมขายาวและแข็งแรงของเขาไว้อย่างโดดเด่น
ฉันทัชยืนอยู่ข้างหน้าเธอ ดวงตานุ่มลึกของเขาหรี่ลง จ้องมองที่เธอ
กางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ตสีขาว ผมหยักศกมัดหางม้า และมีปอยผมร่วงลงมาตามแก้ม ดูลำลองและเป็นธรรมชาติ เธอสวมรองเท้าส้นแบนคู่หนึ่ง คนที่ไม่รู้จะคิดว่าเธอเพิ่งจบการศึกษาจากวิทยาลัยแน่ ใครจะคิดว่าเธอหย่าแล้ว
แต่อดีตสามีเธอเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองs หลังหย่าร้างเขาไม่ได้จ่ายค่าเลี้ยงดูเธอ ดังนั้นเธอถึงมีชีวิตแบบนี้….ลำบาก….
เดิมทีเธอต้องการจับมือกับเขา มือของยู่ยี่ยื่นออกไปแล้ว แต่เมื่อเธอสังเกตเห็นว่ามันสกปรกเล็กน้อย เธอก็รีบหดกลับทันทีและยิ้ม “มันสกปรกนิดหน่อย”
“คุณมาที่นี่ทำไม” ฉันทัชขยับริมฝีปากบางของเขา เสียงของเขายังคงเหมือนเดิม ต่ำและแหบแห้ง
“ฉันทำงานที่นี่ ตอนนี้เป็นเวลาทำงาน” ปากของยู่ยี่ยังคงยิ้ม โดยไม่บิดหรือเขินอายแม้แต่น้อย “คุณฉันทัชมาที่นี่มีธุระหรอคะ”
เขาพูดเบาๆ เปล่งเสียงอยู่ในลำคอ “อืม…”
“ถ้าอย่างนั้นคุณฉันทัชไปทำธุระเถอะ ฉันควรทำงานต่อแล้ว ถ้ามีเวลาว่างฉันค่อยชวนคุณไปกินข้าว” เธอชี้ไปที่น้านาโนซึ่งยุ่งอยู่ข้างหลังเธอ
“อยากจะเลี้ยวอะไรผมจริงๆเหรอ” ฉันทัชถาม
ยู่ยี่พยักหน้า เขาช่วยเธอยามคับขันเสมอ เป็นเรื่องปกติมากที่เธอจะชวนเขาไปกิน
“วันที่เลือกดีไม่เท่าวันที่บังเอิญหรอก วันนี้แหละ ผมมีเวลาพอดี เป็นไง” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าคำพูดจะเป็นถาม แต่ท่าทางที่สง่างามและโดดเด่นนั้นไม่อาจทำให้ปฏิเสธได้
ยู่ยี่ตอบโดยไม่ปฏิเสธ “ค่ะ”
“คุณน่าจะยังไม่มีเบอร์ของผม เมมไว้ตอนนี้เลย…”
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา เมมเบอร์ตามที่เขาบอก
เมื่อเห็นฉันทัชยืนอยู่ตรงนั้น ผู้จัดการของบริษัทก็รีบลงไปทันที เขากำลังจะเดินไปข้างหน้า หางตาของฉันทัชก็มองเห็นพอดี จึงเงยหน้าขึ้นส่งสัญญาณไม่ให้ผู้จัดการเข้ามา
เมื่อเมมเบอร์เสร็จ ฉันทัชก็ไม่ได้อยู่ต่อ เขาหันหลังและเดินออกจากบริษัททันที
ยู่ยี่กำลังทำงาน กำลังทำความสะอาดกระจกสูงจากพื้นจรดเพดานในล็อบบี้ ขณะที่ร่างโปร่งของฉันทัชยืนพิงอยู่ตรงหน้ารถเบนท์ลีย์สีดำ
ยู่ยี่หันหน้าไปทางเขาพอดีจึงยกรอยยิ้มสดใสขึ้นมา และโบกมือให้เขาอย่างเป็นมิตรผ่านหน้าต่างบานใหญ่
ยืนอยู่ในตำแหน่งของฉันทัช จะเห็นเธอหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์พอดี ทั้งตัวของเธออาบด้วยแสงแดดอันอบอุ่น เส้นผมที่ร่วงลงที่แก้มทั้งสองข้างของเธอเต้นรำอย่างสนุกสนานท่ามกลางแสงแดด ด้วยความที่มีดวงอาทิตย์เป็นฉากหลัง ก็ทำให้ดูเหมือนมีแสงประกายออกมา รอยยิ้มที่มุมปากของเธอช่างเจิดจ้าอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตาของเขาลึกและเข้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงและเข้าไปในรถ
ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ยู่ยี่ก็สวมเสื้อกันฝนสีเขียวแก่ และเดินออกจากบริษัท
ช่วงนี้อากาศในเมืองs ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฝนตกตลอด ตอนมาที่บริษัทฝนก็ไม่ตก เธอเลยไม่ได้เอาร่มมาด้วย
แต่ตอนนี้ฝนกำลังตก ขณะที่เธอกำลังกังวลอยู่ น้านาโนก็พกร่มมาสองอันพอดี จึงเอาให้เธอหนึ่งอัน เพราะรู้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องลืม
ยู่ยี่ยิ้มกอดน้านาโน แล้วจากไป เธอไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ต เธอไล่แม่บ้านออกไปแล้ว เธอต้องการทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
เธอซื้อผัก ผลไม้ และปลาจนเต็มสองมือ ก่อนจะขึ้นแท็กซี่แล้วกลับไปที่อพาร์ตเมนต์
หลายวันมานี้อยากกินหัวปลาผัดพริกไทยดำและอยากกินถั่วแห้ง เลยตั้งใจว่าจะทำกินเองคืนนี้
ไม่มีความรักแล้ว แต่เธอยังต้องอยู่ ไม่มีใครในโลกนี้ไม่มีใครจากลา ไม่มีใครอยู่ไม่ได้ ความสัมพันธ์เจ็ดปีได้ถูกทำลายลง เธอไม่สามารถปล่อยให้ชีวิตของเธอยุ่งเหยิงอีกต่อไปได้
ล้าง เลือกผัก หม้อหุงข้าวกำลังหุงข้าวอยู่ ขณะที่เธอกำลังยุ่งอยู่ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอจึงเอาโทรศัพท์หนีบขึ้นมาแนบหู “ฮัลโหล”
“เมมเบอร์ผมไว้หรือยัง” เสียงแหบเหมือนแม่เหล็กดึงดูดดังขึ้นมาท่ามกลางคืนที่ฝนตก
ยู่ยี่สะดุ้งและหันมาจริงจังอย่างรวดเร็ว “ค่ะ เมมแล้วค่ะ คุณฉันทัช”
“ผมจำได้ ตอนเที่ยงคุณบอกว่าจะชวนผมไปกินข้าว ไม่ใช่ว่าลืมไปแล้วหรอกนะ“ เขาพูดประโยคสุดท้ายออกมาแต่ก็ยังคงมีน้ำเสียงอ่อนโยน
ลืม ลืมไปจริงๆ ยู่ยี่ไม่มีอะไรจะพูด เธอเสียใจและรู้สึกผิดมากขึ้น “ฉันขอโทษ ฉันลืมไปจริงๆ”
“ไม่เป็นไร…” เขาพูดเบาๆ
แต่มันทำให้ยู่ยี่รู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเธอก็พูดแปลกๆว่า “ฉันกำลังทำอาหารกินที่บ้าน ถ้าไม่รังเกียจ คุณมาได้”
เมื่อคำพูดนั้นจบ เธอก็รู้สึกว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นกะทันหันจริงๆ เมื่อเธอกำลังคิดว่าจะจัดการเรื่องยุ่งๆอย่างไรดี เขาก็พูด “ที่อยู่ครับ”
เขาพูดสามคำเบาๆ แล้วเธอก็บอกที่อยู่ของอพาร์ตเมนต์ให้เขารู้
หลังจากวางสาย เธอก็เริ่มทำความสะอาดห้อง ผู้ชายแบบนั้น ทำให้คนรู้สึกเครียดอยู่เสมอ
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีคนเคาะประตู ยู่ยี่เดินไปเปิดประตู และเห็นฉันทัชยืนอยู่ข้างนอกประตู เขาแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีดำหล่อเหลาและสง่างาม เปื้อนน้ำฝนเล็กน้อย
“คุณฉันทัชเข้ามาเลยค่ะ” เธอพูดอย่างเร่งรีบ
เขานั่งลงบนโซฟา ถอดเสื้อคลุมสีดำออก ยู่ยี่จึงเอื้อมมือไปหยิบและแขวนไว้ข้างๆ “ไม่มีกาแฟ มีแต่ชา”
“ตามสบาย…” ฉันทัชกระตุกมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย
เธอรินชาหนึ่งถ้วยวางไว้ข้างหน้าเขา ก่อนเขาจะหยิบขึ้นมาจิบฉันทัช และเลิกคิ้ว “คุณกำลังทำอาหารอยู่หรอ”
ยู่ยี่ดมกลิ่นอย่างละเอียด แล้วรีบเข้าไปในครัว เธอกำลังต้มซุปปลา แต่เพราะความล่าช้า ทำให้ทุกอย่างพังทลาย
ไม่กินก็ได้ เธอก็เริ่มทำหัวปลาด้วยพริกสับ แต่ขั้นตอนนั้นซับซ้อนเกินไป และเธอก็มักจะลืม จึงยื่นหัวออกมาพูดด้วยความรู้สึกเกรงใจ “คุณฉันทัช ช่วยหาวิธีทำหัวปลาด้วยพริกสับหน่อยได้ไหม แล้วอ่านให้ฉันฟัง”
ฉันทัชเปิดสมุดบันทึกของเธอ ค้นหาวิธีการ ยืนอยู่ที่ประตูห้องครัว และอ่านให้เธอฟัง
เขาตัวสูง ไหล่กว้าง เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีเทาหม่นทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากขึ้น
เสียงของเขาทุ้มลึก น่าดึงดูด และเซ็กซี่ไม่เหมือนใคร แต่เสียงดังกล่าวถูกใช้เพื่ออ่านการทำหัวปลาพริกสับ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริงๆ
เธอทำอย่างจริงจัง แต่ก็แอบเขินอาย ห้องครัวเล็กไปนิด เมื่อเขายืนอยู่ที่ประตูห้องครัวก็แคบลงทันที
ห้องไม่ใหญ่ อยู่คนเดียวรู้สึกเหงานิดหน่อย สองคนกำลังยืนอยู่ในครัว คนหนึ่งกำลังทำอาหาร อีกคนกำลังอ่านสูตรอาหาร ลมหายใจผสมกันเบาและอบอุ่น
ยี่สิบนาทีต่อมา ในที่สุดอาหารก็พร้อม กับข้าวสามอย่าง ซุปถูกทำลาย ดังนั้นเธอจึงเทชาสองถ้วยแทนซุป
“คุณทำอาหารแบบนี้ตลอดหรอ” ฉันทัชยกริมฝีปากบางของเขาจิบชา แล้วหยิบตะเกียบของเขาขึ้นมา
เมื่อได้ยินอย่างนั้น แก้มของยู่ยี่ก็แดงเล็กน้อยด้วยความเขินอาย และบอกตามตรงว่า “ไม่ เวลาทำอาหารที่ทำไม่เป็นถึงจะเป็นอย่างนี้ มีบางอย่างที่ฉันทำเป็น และบางอย่างที่ทำไม่เป็น“
เขาลิ้มรส “ไม่เลว”
“ขอโทษคุณจริงๆนะ ฉันก็ไม่เก่งแบบนี้มาตลอด การเรียนและการทำอาหารนั้นช่างยากเย็น” เธอยิ่งเขินอายมากขึ้นไปอีก
“ไม่ แม้จะเป็นครั้งแรก แต่รสชาติดีจริงๆ ผมไม่เคยโกหก” เขามองเธอด้วยดวงตาที่ลึกล้ำและมืดมิด
“นี่…ชมฉันเหรอ” ยู่ยี่ยกมุมปากของเธอขึ้น เธอยังคงเขินอายเล็กน้อย จึงก้มหน้าแล้วกินข้าว “รีบกินเถอะ เดี๋ยวมันเย็น”
เธอคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ผิดที่จะชวนเขามากินข้าวที่บ้าน เธอรู้สึกเสมอว่าพื้นที่เล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยลมหายใจของเขาซึ่งทำให้เธอหายใจไม่ออก
วิธีกินอาหารของฉันทัชก็เหมือนกับตัวตนของเขา สง่างาม เงียบ ดูสงบ แต่ก็ไม่สามารถละเลยการมีอยู่ของเขาได้
หลังทานอาหารเสร็จก็ดึกแล้ว เขาไม่อยู่ต่อ ฉันทัชก็สวมเสื้อโค้ตของเขา “วันนี้กินข้าวอร่อยมาก ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ”
“ถ้าแบบนี้ถือว่าเป็นการต้อนรับ…” เธอหลับตาลงเล็กน้อย แล้วดึงผมที่กระจัดกระจายอยู่ตามแก้มทัดหู แก้มของเธอก็แดงเล็กน้อย
“แน่นอน” เขายกริมฝีปากขึ้น ลำตัวยาวโค้งลงเล็กน้อย และสวมรองเท้า
เธอพาเขาลงไปข้างล่าง ฝนกำลังเทลงมาตอนนี้ ยู่ยี่กำลังยืนอยู่บนขั้นบันไดด้านบน เธอไม่ได้นำร่มมาด้วย ตรงนั้นไม่โดนฝน
มือใหญ่ของฉันทัชถือร่มสีดำ น้ำฝนก็ไหลไปตามขอบของร่มและสาดใส่รองเท้าหนังที่เป็นมันเงาของเขา