ตอนที่ 690 เจ้าหน้ามน เจ้าเพิ่งมาใหม่กระมัง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 690 เจ้าหน้ามน เจ้าเพิ่งมาใหม่กระมัง โดย ProjectZyphon

จ่างซุนเลี่ยจับจ้องตัวอักษรบนจดหมายลับเงียบๆ อยู่เป็นนาน ท้ายที่สุดก็กลั้นเอาไว้ไม่ได้ กล่าวถามว่า “เหวินถิง เจ้าคิดว่าราชันกระหายเลือดหมายความว่าอย่างไร”

หลูเหวินถิงเองก็กลัดกลุ้มเช่นกัน กล่าวอย่างลังเลว่า “ดูจากสภาพการณ์ ที่มาของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดายิ่งนัก ดังนั้นจึงได้ถูกส่งตัวมาสมรภูมิกระหายเลือดเพียงลำพัง…”

จ่างซุนเลี่ยตัดบท “ข้าถามว่าราชันกระหายเลือดหมายความว่าอย่างไร!”

หลูเหวินถิงหน้านิ่วคิ้วขมวด “ท่านแม่ทัพ นี่ทำให้ข้าอักอ่วนนัก ใต้เท้าราชันกระหายเลือดแผนการลึกล้ำดั่งขุนเขามหาสมุทร สุดหยั่งรู้ได้ ความคิดของเขา ผู้ใต้บัญชาอย่างข้าจะคาดเดาได้อย่างไร”

คิ้วของจ่างซุนเลี่ยขมวดมุ่นมากขึ้นทุกที ตบเอกสารราชการหนึ่งฉาด ปากก็กล่าวพึมพำ “ระยำ อย่าว่าแต่ดูแลเป็นพิเศษเลย แต่ใครจะกล้าทำแบบนี้จริงๆ ตาเฒ่าสารเลวอย่างราชันกระหายเลือดนี่ช่างน่าโมโหนัก เกริ่นประโยคเดียวแบบนี้ก็จบเรื่องแล้ว แต่ทำให้ข้าปวดกบาลได้!”

ตาเฒ่าสารเลว…

ดวงตาของหลูเหวินถิงแทบถลน ยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ เกรงว่าคงมีเพียงแม่ทัพเบื้องหน้าผู้นี้เท่านั้นที่กล้าด่าท่านผู้นั้นว่าตาเฒ่าสารเลว

“ท่านแม่ทัพ จากที่ข้าดู เด็กคนนั้นจะต้องมีจุดที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ ถึงได้ถูกใต้เท้าราชันกระหายเลือดส่งมาสมรภูมิกระหายเลือดเพียงลำพัง ในเมื่อใต้เท้าราชันกระหายเลือดบอกเองว่าให้ ‘กระทำการอย่างยุติธรรม’ กับเด็กคนนี้ เช่นนั้นพวกเราแค่ทำตามคำสั่งก็สิ้นเรื่อง”

หลูเหวินถิงเลือกสรรคำอย่างพินิจพิจารณา “แน่นอน แม้ว่าพวกเราจะไม่ ‘ดูแลเป็นพิเศษ’ กับเด็กคนนี้ แต่เมื่อถึงคราวจำเป็น ก็ยังต้องให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของเด็กคนนี้อยู่ เลี่ยงไม่ให้เขาประสบเหตุสุดวิสัยใดๆ ซึ่งยากต่อการอธิบายต่อใต้เท้าราชันกระหายเลือดในอนาคต”

จ่างซุนเลี่ยนวดหว่างคิ้ว กล่าวพลางถอนหายใจ “ก็คงได้แต่ทำแบบนี้แล้ว ตาเฒ่าสารเลวคนนี้ออกจากสมรภูมิกระหายเลือดไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ตัวเขาไม่อยู่ก็ช่างเถิด ตอนนี้กลับโยนเจ้าหนูคนหนึ่งมาสร้างความลำบากให้ข้านี่มันสารเลวถึงขีดสุดแล้วชัดๆ!”

กล่าวถึงตรงนี้ ดูเหมือนเขาจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ถามว่า “เจ้าเคยถามเด็กคนนี้หรือไม่ว่ามาสมรภูมิกระหายเลือดแล้วคิดจะทำอะไรกันแน่”

หลูเหวินถิงส่ายหน้า กล่าวอย่างจนปัญญา “ตอนนั้นข้าตกใจแทบแย่ สมองยังสับสน ไหนเลยจะมีความคิดถามเรื่องพวกนี้ หรือไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ให้ข้าไปถามไถ่แบบเจาะจง?”

จ่างซุนเลี่ยครุ่นคิดสักพักก็กล่าวพลางโบกมือ “ช่างเถอะ ไม่ต้องถามแล้ว ขอเพียงเขาไม่ก่อหายนะใหญ่หลวงตอนอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ พวกเราก็แกล้งหลับตาข้างหนึ่ง วันๆ ข้ายุ่งง่วนแต่กับการต่อสู้กับราชันเศษเดนพ่อมดเถื่อน ไม่มีเวลาไปสนใจเด็กคนนั้นหรอก”

หลูเหวินถิงพยักหน้า แน่นอนว่าสำหรับแม่ทัพใหญ่ระดับผู้ดูแลค่ายอย่างจ่างซุนเลี่ยแล้ว คงไม่มีเรี่ยวแรงอะไรไปสนใจเด็กหนุ่มที่ถูกส่งมาอย่างลึกลับคนหนึ่งได้

“แต่แน่นอนว่าต้องจับตามองการเคลื่อนไหวของเขาให้ข้าด้วย เขาประสบอุบัติเหตุได้ กระทั่งตายไปเลยก็ได้ แต่ไม่อาจตายในอาณาเขตของข้าเป็นอันขาด!”

จ่างซุนเลี่ยกล่าวเสริมหนึ่งประโยค

ถึงแม้ถ้อยคำจะโหดร้าย ทว่าหลูเหวินถิงตระหนักดี เพราะจดหมายลับฉบับนั้นของราชันกระหายเลือด แม้จะบอกว่า ‘หลินสือเอ้อร์’ คนนั้นจะไม่ได้รับ ‘การดูแลเป็นพิเศษ’ ที่สลักสำคัญอะไร ทว่าในเรื่องความปลอดภัยของเขา จ่างซุนเลี่ยกลับไม่อาจไม่สนใจ

หลูเหวินถิงอดกล่าวพึมพำไม่ได้ “เด็กคนนี้ช่างเป็นเผือกร้อนลวกมือคนหนึ่งเสียจริงๆ สมรภูมิกระหายเลือดมีตั้งแปดค่าย ไฉนเขาถึงแจ้นมาหาพวกเราถึงที่นี่ได้… ถ้าหากส่งเขาไปให้ค่ายอื่นได้ก็คงดี จะได้ไม่ต้องอึดอัดกระอักกระอ่วนกันขนาดนี้…”

“หืม?”

นัยน์ตาของจ่างซุนเลี่ยวาววับ เปล่งประกายดุจดั่งคบเพลิง “ส่งเขาออกไป? ทำแบบนี้ก็ได้นี่ แต่ว่า ยังต้องสังเกตการณ์ไปก่อนสักระยะ ตราบใดที่เขาไม่ก่อเรื่อง ข้าแม่ทัพใหญ่ผู้สูงส่งแห่งจักรวรรดิ ยังจะปล่อยเด็กหนุ่มคนหนึ่งไว้ไม่ได้เชียวหรือ”

หลูเหวินถิงคลี่ยิ้มอย่างรู้ทัน “ท่านแม่ทัพพูดถูก ไม่ก่อเรื่องก็ง่ายหน่อย ถ้าก่อเรื่อง ก็ได้แต่ส่งเผือกร้อนลวกมือนี้ไปให้แม่ทัพค่ายอื่นปวดเศียรเท่านั้นแล้ว”

“ต้องให้เจ้าพูดแบบนี้ด้วยหรือ”

จ่างซุนเลี่ยถลึงตามองเขาปราดหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาเองก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน

……

หลินสวินไม่รู้เลย ว่าการมาเยือนอย่างกะทันหันของเขากลับทำให้แม่ทัพใหญ่และหัวหน้าฝ่ายพลาธิการผู้มีอำนาจควบคุมกองเสบียงต่างปวดเศียรเวียนเกล้าไม่สิ้นสุด

เวลานี้เขายังคงพูดคุยอยู่กับเหล่าหวง

แม้ว่าจะเป็นช่วงดึก ภายในโรงเตี๊ยมดาบโลหิตกลับคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิรวมตัวกันอยู่ที่นี่ แต่ละคนล้วนมีกลิ่นอายดุกร้าว ต่างก็เป็นพวกโหดเหี้ยมที่คมดาบอาบเลือด ต่างฝ่ายต่างร่ำสุราเสวนากันอย่างเอ็ดอึง

เหล่าหวงเองก็ดื่มมากแล้ว แก้มกับปลายจมูกเรื่อแดง เมามายตาเยิ้ม หลินสวินสั่งเหล้าสามกาติดต่อกัน ส่วนใหญ่ล้วนกรอกเข้าไปในท้องของเหล่าหวงทั้งสิ้น

“ใต้เท้าท่านรู้หรือไม่ ข้าแช่อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดเห็บหมานี่มาห้าปีแล้ว ห้าปีเชียวนะ พรรคพวกข้างกายข้าเปลี่ยนไปชุดแล้วชุดเล่า ทั้งคนที่คุ้นเคยและแปลกหน้า จนบัดนี้ ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าข้าควรจำใครบ้าง”

“คนอื่นล้วนบอกว่าข้าดวงแข็ง ห้าปีแล้วยังไม่ตาย เหมือนกับปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง แต่ตัวข้าเองรู้ดี ข้าแม่งก็แค่กลัวตายเท่านั้น ดังนั้นทุกครั้งที่สู้รบ ข้าล้วนทำทุกวิธีให้ตัวเองไม่ตายแบบสุดแรงเกิด ถึงได้บังเอิญอยู่รอดมาจนป่านนี้…”

“แต่ว่า การรอดชีวิตแบบนี้มันทุกข์ทรมานเหลือเกิน! ทุกๆ วันยามตื่นขึ้นมา ความคิดแรกก็คือควรรอดชีวิตให้พ้นวันนี้ไปได้อย่างไร! เรื่องต่อจากนี้และอนาคตอะไรนั่น ใครแม่งมันจะไปใส่ใจกัน”

“เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ที่นี่เป็นสมรภูมิกระหายเลือดเล่า ความตายล้วนเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เผลอๆ วันใดวันหนึ่ง ข้า… ข้า… ก็…”

เหล่าหวงกล่าวถึงตรงนี้อย่างตะกุกตะกัก เมามายโดยสิ้นเชิงแล้ว หน้าผากกระแทกกับโต๊ะ นอนหลับกรนเสียงดังขึ้นมา

หลินสวินนั่งจิบเหล้าอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ท่าทางแสนสงบ ภายในใจกลับนึกถึงถ้อยคำที่จ้าวไท่ไหลเคยกำชับมากกว่าหนึ่งครั้ง

‘จำไว้ว่าต้องอยู่รอดต่อไป!’

ในตอนนั้น ท่าทางของจ้าวไท่ไหลดูเคร่งขรึมและจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

‘อยู่รอดต่อไป…’

หลินสวินพึมพำอยู่ในใจ มองไปยังเหล่าหวงที่เมาแอ๋อยู่ข้างๆ แล้วมองไปยังผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิทั้งหมดที่หัวเราะรื่นรมย์ดื่มกินกันตามอำเภอใจภายในโรงเตี๊ยม

เขานิ่งเงียบเนิ่นนาน ก่อนกระดกเหล้าในกาหมดรวดเดียว

เหล่าหวงเป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะที่ดุดันถึงที่สุดคนหนึ่ง ทว่าหลังจากเขาเมาแล้ว กลับทำอะไรไม่ถูกและดูเจ็บปวดมากเพียงนั้นอย่างเห็นได้ชัด

สิ่งนี้ทำให้หลินสวินตระหนักอย่างสุดซึ้ง ว่าชีวิตในสมรภูมิกระหายเลือดโหดร้ายและน่ากลัวยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก

……

กลางดึก ยามหลินสวินกลับถึงที่พักของตนและกำลังเตรียมจะผลักประตูเข้าไปนั้น กลับได้ยินเสียงเศร้าสร้อยระลอกหนึ่ง

บริเวณที่ไกลออกไป มีเงาร่ายสายหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านหิน พึมพำกับตัวเองด้วยเสียงสะอื้นไห้ที่ข่มกลั้นไว้สุดฤทธิ์ คล้ายกับกลัวเหลือเกินว่าจะรบกวนผู้อื่นเข้า

“พี่ ข้าจะแก้แค้นแทนท่านเอง ไม่ล้างโคตรพวกเศษเดนพ่อมดเถื่อน ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ออกจากสมรภูมิกระหายเลือดเด็ดขาด!”

นั่นคือหญิงสาวนางหนึ่ง ผมสั้นเสมอหู รูปร่างผอมเพรียวปราดเปรียว มีความดุร้ายที่ปะทุออกมาประการหนึ่ง เพียงแต่นางในตอนนี้สีหน้ากลับเจือความร้าวระทม ดวงตาแดงก่ำ มีหยาดน้ำตาพราวระยับ

“มองอะไร ถ้ามองอีกจะควักลูกตาเจ้าซะ!”

ครั้นสัมผัสถึงสายตาของหลินสวิน หญิงสาวผู้นั้นพลันหยัดกายขึ้น บรรยากาศทั่วทั้งตัวพลันเปลี่ยนเป็นดุดันและแข็งกร้าว ถลึงตาจ้องหลินสวินปราดหนึ่ง

หลินสวินไม่ได้รู้สึกโกรธ ทำเพียงกล่าวหนึ่งคำ “ขออภัยด้วย” จากนั้นก็ผลักประตูเดินเข้าบ้านของตน

หญิงสาวผู้นั้นยืนอยู่ท่ามกลางรัตติกาล ดูอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงแค่นเสียงหนึ่งครา ค่อยเบือนหน้าแล้วหมุนกายจากไป

……

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น

ฟ้ายังไม่ทันสาง หลินสวินก็ตื่นขึ้นมาจากการทำสมาธิ

‘ฝึกปราณหนึ่งครั้ง ก็เผาเผลาญผลึกวิญญาณระดับสูงไปสี่สิบเก้าอัน เป็นอย่างนี้ต่อไป แม้จะมีโอกาสในการเลื่อนระดับทะลวงขั้น แต่ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดี’

หลินสวินมุ่นคิ้ว

ข้างกายเขามีเศษผงผลึกที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่กองหนึ่ง เป็นเพียงผลึกวิญญาณที่เขาเผาผลาญทิ้งไปในการฝึกปราณตลอดทั้งคืน

หากเป็นเมื่อก่อน หลินสวินคงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย

ทว่าในสมรภูมิกระหายเลือดที่พลังวิญญาณร่อยหรอแห่งนี้ หลินสวินกลับไม่อาจไม่ให้ความสำคัญว่าจะทำอย่างไรให้กอบโกยผลึกวิญญาณ รวมถึงประหยัดผลึกวิญญาณให้มากขึ้นกว่าเดิม

สิ่งที่ทำให้หลินสวินรู้สึกปวดหัวมากที่สุดคือ การฝึกปราณของเขาในตอนนี้ได้บรรลุถึงขอบเขตเต็มสมบูรณ์ในระดับหยั่งสัจจะขั้นกลางแล้ว คิดจะทะลวงเข้าสู่ขั้นสูงของระดับหยั่งสัจจะ ก็ห่างแค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น

แต่หลินสวินทราบดี หากปราศจากการค้ำจุนของผลึกวิญญาณระดับสูงในปริมาณมหาศาล การห่างแค่เพียงก้าวเดียวนี้ จะต้องตรากตรำเสียยิ่งกว่าทะยานฟ้า

“ช่างเถอะ ช่วงนี้ก็มุ่งเน้นไปที่การฝึกยุทธ์และพลังจิตวิญญาณเป็นหลัก รอจนเก็บเกี่ยวผลึกวิญญาณเพียงพอแล้ว ค่อยคิดเรื่องทะลวงขั้นก็ยังไม่สาย”

หลินสวินสูดลมหายใจหนึ่งเฮือก ทำการตัดสินใจ

ในแง่การฝึกจิตวิญญาณ เขาฝึกหยั่งถึงระดับใหญ่ที่สองของเคล็ดเวทบริกรรม ‘จันทราเคลื่อนคล้อย’ แล้ว ระยะห่างของการทะลวงระดับนั้นยังอีกยาวไกล

ภายใต้สถานการณ์ที่พลังวิญญาณไม่เพียงพอ หันไปขัดเกลาพลังจิตวิญญาณเป็นการเฉพาะก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว

ในทำนองเดียวกัน ในด้านการฝึกยุทธ์ จนบัดนี้หลินสวินยังมีวิชาลับบางอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์

เช่น ‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร’ หลินสวินสันทัดเพียง ‘ก้าวย่างชือน้ำแข็ง’ ‘ปะทะฟู่ซี่’ ‘ประทับปี้อั้น’ ‘ผนึกป้าเซี่ย’วิชาลับสี่ร่างแรกนี้เท่านั้น

มรดกวิชาลับร่างที่ห้าถึงเก้า ยังไม่เคยถูกเขาหยั่งรู้ควบคุม

นอกจากนี้ ‘กระบวนท่าคว้าดารา’ ‘กระบวนท่าสอยจันทรา’ และ ‘กระบวนท่าเผาตะวัน’ ใน‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’ ถึงแม้จะถูกหลินสวินควบคุมอย่างสมบูรณ์แล้ว ทว่าหลินสวินรู้ดีว่านี่เป็นเพียงมรดกวิชาลับครึ่งแรกของเพลงดาบวัฏจักรฟ้าเท่านั้น!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ครึ่งหลังของเพลงดาบวัฏจักรฟ้า ยังมีมรดกที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านั่นเอง!

ที่น่าเสียดายคือ ตอนที่หลินสวินอยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์ได้รับมาเพียงครึ่งแรกเท่านั้น ส่วนจะได้รับครึ่งหลังเมื่อไหร่นั้น ตัวเขาเองก็ยังไม่กล้าฟันธง

เช่นเดียวกับเพลงดาบวัฏจักรฟ้า ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ ที่หลินสวินฝึกเป็นหลักก็มีเพียงครึ่งแรกเท่านั้น บนนั้นบันทึกวิธีการฝึกปราณของห้าระดับใหญ่ตั้งแต่ ‘ระดับกำลังภายใน’ จนถึง ‘ระดับกระบวนแปรจุติ’ เอาไว้

จากตรงนี้คาดเดาได้ว่า ในครึ่งหลังของเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน จะต้องบันทึกเคล็ดลับการฝึกปราณขั้นสูงที่เกี่ยวกับระดับสังสารวัฏเอาไว้เป็นแน่!

น่าเสียดาย ครึ่งหลังของเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกินนี้ หลินสวินก็ไม่ได้รับมาเช่นเดียวกัน

“รอให้ท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำของข้าบรรลุถึงระดับเจตจำนงมรรค ก็สามารถเข้าไปทดสอบในห้องโถงมรรคาสวรรค์ได้อีกครั้ง หวังว่าตอนนั้นจะเอาครึ่งหลังของเพลงดาบวัฏจักรฟ้า และครึ่งหลังของเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกินมาได้ทั้งหมด…”

หลินสวินพึมพำ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถรับประกันข้อนี้ได้ ห้องโถงมรรคาสวรรค์แห่งนั้นลึกลับเกินไป ตอนนี้เขาเป็นถึงมกุฎราชันแห่งระดับหยั่งสัจจะแล้ว ไม่ได้เป็นเด็กอ่อนหัดที่ไม่ประสีประสาอะไรเลยเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

แต่ก็เพราะยิ่งเข้าใจมากขึ้น จึงทำให้หลินสวินยิ่งตระหนักถึงความลึกลับและน่าเหลือเชื่อของห้องโถงมรรคาสวรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างน้อยจนป่านนี้หลินสวินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าบนโลกนี้จะมีสมบัติชนิดไหนที่มีวิธีใช้งานน่าอัศจรรย์หาที่เปรียบไม่ได้อย่างห้องโถงมรรคาสวรรค์ เรียกได้ว่าเป็นการดำรงอยู่ที่เย้ยฟ้ากบฏสวรรค์อย่างสิ้นเชิง!

ยามหลินสวินผลักประตูออกมา ก็เห็นหญิงสาวที่เปี่ยมด้วยความดุร้าย กลิ่นอายดุดัน รูปร่างปราดเปรียวคนนั้นที่เคยพบเมื่อวาน กำลังเดินมาตามท้องถนนซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

หลินสวินผงกหัวให้อย่างสุภาพ ขณะที่เตรียมจะจากไป กลับเห็นว่าหญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาขวางอยู่ตรงหน้ากะทันหัน

นางมีผิวสีข้าวสาลี โครงหน้าราวกับใช้มีดแกะสลักมิปาน มีความงดงามที่ทั้งดุร้ายและแข็งกร้าวประการหนึ่ง

เวลานี้ดวงตาดุจถั่วซิ่งเหริน (อัลมอนด์) คู่นั้นของนางหรี่ลงเล็กน้อย วาววาบด้วยประกายคมกริบ จับจ้องที่แก้มของหลินสวินอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ยื่นปลายนิ้วเรียวเล็กออกมาเชยปลายคางของหลินสวินขึ้นแล้วกล่าวว่า “เจ้าหน้ามน เจ้าเพิ่งมาใหม่กระมัง ข้าชื่ออาปี้ ต่อไปข้าคุ้มครองเจ้าเอง มีปัญหาอะไรก็พูดชื่อข้าออกไปได้”

กล่าวเสร็จนางก็หมุนกายจากไป ฝีเท้าคล่องแคล่วปราดเปรียว เรือนผมสั้นเสมอหูสีข้าวฟ่างอ่อนพลิ้วไปตามลม ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง

——