ตอนที่ 4 นับถือลัทธิทิพย์โบราณ โดย Ink Stone_Fantasy
เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสามถอยไป ภายในลานแห่งนี้ก็เหลือเพียงบุรุษอาภรณ์สีดำผมสีม่วงคนหนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพัง เขาลูบขนสัตว์ประหลาดในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวล สัตว์ประหลาดตนนี้ก็หลับตาพริ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม
“ตื่นตระหนกเถิด ยิ่งตื่นตระหนกเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” บุรุษอาภรณ์สีดำผมสีม่วงพูดเสียงต่ำ “ต้องล้มตายไปพร้อมกับความตื่นตระหนก หรือไม่ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณ มีสิทธิ์ได้นับถือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็นับว่าเป็นโชคของพวกเจ้าแล้ว”
เขามิได้เห็นประมุขรัฐปีกทองอยู่ในสายตาเลย
บัดนี้พละกำลังที่ทางฝ่ายพวกเขามีนั้นเหนือกว่าประมุขรัฐปีกทองอย่างสิ้นเชิง หากทำเพื่อจะกลืนกินทั้งรัฐปีกทองไปจริงๆ บัดนี้ทั้งรัฐปีกทองก็คงจะไม่มีชีวิตรอดแม้แต่ผู้เดียวแล้ว! พวกเขามิได้ทำเพื่อกลืนกิน หากแต่ต้องการทำให้ผู้บำเพ็ญกลายเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณมากขึ้นต่างหากเล่า
“ฟิ้ว”
ข้างถนนสายหนึ่งมีจวนมากมายตั้งอยู่แน่นขนัด ทันใดนั้นเงาดำสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้า พลางเปล่งเสียงหัวเราะแหลมแสบหู จากนั้นพละกำลังดูดกลืนอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งก็เข้าปกคลุมจวนด้านล่าง ทันใดนั้นผู้บำเพ็ญทั้งหลายภายในจวน รวมทั้งตัวจวนเองก็พลันลอยขึ้นมา แล้วลอยไปทางเงาดำนั้น
“ไม่!”
“เป็นมารร้าย”
“เป็นมหามารร้ายดูดกลืน”
สิ่งมีชีวิตจำนวนมากภายในจวนทั้งห้าแห่งที่ถูกดูดกลืนไปนั้นตื่นตระหนกเหลือแสน พวกเขาเหล่านี้ล้วนอยู่ท่ามกลางความแตกตื่นไม่สงบสุขมาตลอดทุกวันคืน ด้วยกลัวว่าสักวันหนึ่งมารร้ายเหล่านั้นจะกลืนกินพวกเขาลงไป แต่พวกเขาก็พยายามปลอบประโลมตนเอง ตัวเมืองของรัฐปีกทองก็กินพื้นที่ถึงสิบล้านลี้แล้ว ภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์โลกทิพย์ แต่ละครั้งมารร้ายก็ทำได้เพียงกลืนกินเป็นบริเวณเล็กๆ เท่านั้น คงจะไม่บังเอิญถึงขนาดกินตนลงไปหรอกกระมัง
ทว่าฝันร้ายก็ยังมาเยือนอยู่นั่นเอง
“อ๊าก”
“ไม่…”
“ไม่!”
เสียงแหลมสูงสะพัดออกไป ทำให้ผู้อาศัยจำนวนนับไม่ถ้วนอดตื่นตระหนกมิได้ พวกเขาหลายคนกราบทูลขึ้นไปยังราชวงศ์รัฐปีกทอง แต่แทบจะในพริบตาเดียว เงาร่างกลางอากาศก็สลายตัวและจากไปอย่างเงียบเชียบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อผู้อาวุโสคุ้มรัฐทั้งสองมาถึง ก็เห็นเพียงบริเวณที่ก้อนอิฐถูกกลืนกินลงไป และชาวบ้านที่แตกตื่นหาใดเปรียบทั้งหลายโดยรอบ
“สมควรตาย”
“หนีไปรวดเร็วนัก” ผู้อาวุโสคุ้มรัฐทั้งสองโกรธเสียจนขบกรามกรอด
……
มารร้ายกลุ่มหนึ่งแทรกซึมไปทั่วรัฐปีกทอง แล้วลอบโจมตีอย่างเงียบเชียบครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งล้วนกลืนกินพื้นที่เพียงเล็กน้อยแล้วจากไปทันที! ทั้งรัฐปีกทองแทบจะมีผู้บำเพ็ญถูกกลืนกินอยู่ตลอดเวลา ผู้คนทั้งรัฐพากันใจเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าหนีไปจากรัฐปีกทอง เพราะหากหนีออกไป เมื่อไม่มีการคุ้มครองจากประมุขรัฐ พวกเขาก็จะตายเร็วยิ่งกว่าเสียอีก
และในยามนี้เอง ลัทธิคำสอนลับแขนงหนึ่งก็กำลังเผยแผ่ลัทธิ
ขอเพียงนับถือลัทธิทิพย์โบราณ ก็จะได้รับความคุ้มครองจากพวกเขา! มารร้ายเหล่านั้นก็ไม่กล้าล่วงเกินลัทธิทิพย์โบราณ
บรรดา ‘ผู้ปกครองเทพแท้’ ซึ่งนับว่าเป็นระดับยอดภายในรัฐปีกทองยังถูกเผยแพร่ลัทธิอย่างต่อเนื่อง บางคนที่หัวแข็งหน่อยก็ถูกจับตัวไปทันที จำต้องนับถือลัทธิทิพย์โบราณ…หากหลังจากจับไปแล้วมีผู้ที่มิอาจเปลี่ยนให้เป็นศิษย์ของลัทธิได้จริงๆ ในท้ายที่สุด สถานการณ์เช่นนั้นก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น
ภายในกรงทั้งหลาย
แต่ละคนล้วนจองจำผู้บำเพ็ญเอาไว้คนหนึ่ง อย่างต่ำที่สุดก็เป็นผู้ปกครองเทพแท้ และยังมีเทพอากาศสองคนถูกจองจำอยู่ด้วย
“วิ้งๆๆ…” ที่ผิวกรงมีลำแสงสีดำแผ่กำจายออกมา อักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเวียนอยู่เหนือกรง คลื่นเสียงอันไร้รูปร่างแทรกเข้าไปในห้วงสมองของผู้บำเพ็ญที่ถูกจองจำอย่างต่อเนื่อง
“อ๊ากๆๆ” ผู้บำเพ็ญที่ถูกจองจำล้วนแต่เจ็บปวดเป็นอันมาก พวกเขาดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน
บางคนเดิมทียังดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด แต่กลับค่อยๆ เผยสีหน้าสุขสำราญออกมาแล้วเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมรอยยิ้มบนหน้า นัยน์ตาเต็มไปด้วยความร้อนเร่า หว่างคิ้วมีตราเทพสีดำปรากฏขึ้นจากนั้นก็ซ่อนเร้นไป
“พวกเรามีพี่น้องเพิ่มมาอีกคนแล้ว ปล่อยเขาออกมา” ผู้ดูแลด้านข้างปล่อยตัวผู้ที่มีตราเทพสีดำปรากฏขึ้นกลางหว่างคิ้วเหล่านั้นออกมาทันที
“ที่แท้แล้วเขาเป็นลัทธิใดกันแน่ ไยจึงน่ากลัวถึงเพียงนี้ ผู้ปกครองก็ยังต้องยอมศิโรราบเลย” ภายในกรงหนึ่ง บุรุษร่างกำยำคนหนึ่งขบกรามทนเอาไว้ คลื่นเสียงอันไร้รูปร่างแทรกเข้าไปในวิญญาณของเขาอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้เขายากจะทานทน ราวกับน้ำวนอันดำมืดจะดูดกลืนวิญญาณของตนไป ขอเพียงตนไม่ต้านทานเอาไว้ วิญญาณจมดิ่งลงไป ก็คล้ายว่าจะสามารถหลุดพ้นได้แล้ว
แต่ว่า…
บำเพ็ญจนสำเร็จเป็นผู้ปกครอง ไหนเลยจะจมดิ่งลงไปได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นเล่า
“ไม่” บุรุษร่างกำยำนี้ยังคงทนเอาไว้
“ลัทธิทิพย์โบราณนี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว มีเคล็ดลับที่สามารถติดต่อกับวิญญาณของพวกเราได้ แล้วทำลายร่างแยกร่างอื่นๆ ของพวกเราทิ้ง” บุรุษร่างกำยำยิ่งคิดก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความกดดัน เดิมทีเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ภายในรัฐปีกทอง ระยะเวลาในการบำเพ็ญสั้นมากก็สำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้ว เขายังวางแผนว่าจะออกเดินทางไปยังเมืองวารีสวรรค์พร้อมภรรยาของตน และคิดจะคารวะเข้าอยู่กับวังทวีสูญ
คิดไม่ถึงว่ายังมิทันได้ออกเดินทาง ก็พบกับลัทธิทิพย์โบราณอันน่าหวาดหวั่นนี่เข้าเสียแล้ว
“ไม่รู้ว่าชิงรั่วเป็นอย่างไรบ้าง นางฉลาดกว่าข้า คงจะไม่โชคร้ายถูกจับไปหรอกกระมัง” บุรุษร่างกำยำลอบคิด เขาขบกรามฝืนทนเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าการบำเพ็ญจิตของเขาแข็งแกร่งกว่าเหล่าผู้ปกครองโดยรอบมากนัก จึงสามารถทนเอาไว้ได้
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงพาผู้อาวุโสตำหนักนอกสองท่านและผู้ดำเนินงานตำหนักนอกกลุ่มหนึ่งทะลุอากาศไปด้วยความเร็วสูง
“ใกล้ถึงแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงกำชับ “เตรียมตัวเอาไว้ให้ดี”
“ขอรับ”
แต่ละคนต่างก็รับคำ ครั้งนี้เป็นถึงผู้อาวุโสตำหนักในนำทัพ พวกเขาล้วนไม่กล้าชักช้าเลยแม้แต่น้อย
ฟิ้ว
ในที่สุดก็เข้าไปในเขตของตัวเมืองรัฐปีกทอง ไม่นานนักพวกตงป๋อเสวี่ยอิงกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏกายขึ้นกลางฟากฟ้าเหนือราชวังของรัฐปีกทอง พวกเขากลุ่มนี้มีจำนวนถึงสามสิบสามคน ซึ่งทุกคนล้วนแต่เป็นเทพอากาศ ในจำนวนนั้นมีขั้นรวมเป็นหนึ่งถึงสองคน กลิ่นอายปลดปล่อยออกมาตามอำเภอใจ ที่นี่ยังเป็นสถานที่สำคัญของราชวัง ประมุขรัฐปีกทองจึงสังเกตเห็นในทันที จากนั้นเขาก็ยินดีปรีดาเป็นอันมาก
สวบ ประมุขรัฐปีกทองก็พาผู้อาวุโสคุ้มรัฐสามท่านบินมาถึงกลางอากาศทันที จากนั้นก็พูดด้วยความเคารพหาใดเปรียบว่า “ยินดีต้อนรับทูตพิเศษขอรับ”
เขาออกจะแปลกใจอยู่บ้าง
ขากเครื่องแต่งกายเขาก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ในจำนวนนั้นมีสามสิบคนที่เป็นผู้ดำเนินงาน และมีสองท่านที่เป็นผู้อาวุโสตำหนักนอก! ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำคนนั้นเป็นใครกัน
“กระตุ้นค่ายกลรักษาเมืองของรัฐปีกทองขึ้นมา นับแต่นี้เป็นต้นไป ห้ามผู้ใดจากไปเป็นอันขาด หากมีผู้ใดจะฝืนแหวกค่ายกลจากไป ท่านต้องรีบรายงานโดยทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ
“ขอรับ” ประมุขรัฐปีกทองรับคำด้วยความเคารพทันที
“ที่ผ่านมาพวกท่านรับมือกับมารร้ายเหล่านั้นอย่างไร ตอนนี้ก็รับมืออย่างนั้นต่อไปล่ะ ไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับอีก
“ขอรับ”
ผู้อาวุโสตำหนักนอกสองท่านและผู้ดำเนินงานตำหนักนอกสามสิบท่านต่างพากันรับคำสั่ง
จากนั้นพวกเขาก็แบ่งเป็นสี่กองกำลังอย่างรวดเร็ว แต่ละกองนำโดยผู้อาวุโสตำหนักนอกหรือไม่ก็ผู้ดำเนินงานขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่ง พวกเขาแยกย้ายกันเร่งทะยานไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มตรวจสอบและไล่ล่าทันที
“ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นี้มีสถานะอันใดกัน เหมือนทุกคนจะฟังคำสั่งเขากันหมด” ประมุขรัฐปีกทองลอบพึมพำ
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืนอยู่เหนือราชวังโดยมิได้สนใจประมุขรัฐปีกทองเลย หากแต่สำแดงแผนภาพคลื่นจานของศาสตร์ลับขั้นจักรวาลออกมา เขาบำเพ็ญอยู่ในตำหนักกาลเวลาเกือบสองพันล้านปี ทำให้ผลสำเร็จทางด้านแผนภาพคลื่นจานของเขาไม่ย่อหย่อนไปกว่าสิบสามกระบี่ผลาญโลกาเลย
“วิ้ง…”
น้ำวนอันไร้รูปร่างซึ่งมีตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศูนย์กลางแผ่กำจายออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง
การตรวจสอบภายในโลกทิพย์นั้นทำได้ยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งศัตรูที่เจ้าเล่ห์ทั้งหลายก็จะจงใจเก็บงำกลิ่นอายเอาไว้ ดังนั้นวิธีตรวจสอบธรรมดาก็จะไร้ประโยชน์ โดยทั่วไปการตรวจสอบตามปกติก็จะใช้ ‘บริเวณกฎเกณฑ์’ ภายใต้การกดดันของโลกทิพย์…โดยทั่วไปบริเวณกฎเกณฑ์ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็ปกคลุมบริเวณเพียงแค่หมื่นลี้ ต่อให้เป็นแกนนำขั้นอลวน บริเวณกฎเกณฑ์ก็ปกคลุมเพียงแค่ล้านลี้เท่านั้น
นี่ก็คือขอบเขตการตรวจสอบตามปกติของพวกเขา นอกเสียจากจะรู้เคล็ดลับการตรวจตราที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง! ส่วนแผนภาพคลื่นจานของศาสตร์ลับขั้นจักรวาลนั้นเป็นศาสตร์ลับขั้นจักรวาลวิถีระลอกคลื่นเพียงหนึ่งเดียวของวังทวีสูญและเป็นศาสตร์ที่เชี่ยวชาญทางด้านการตรวจตราที่สุดของวังทวีสูญอย่างไร้ข้อกังขา
“เขากำลังทำอะไรน่ะ” ประมุขรัฐปีกทองสงสัยขึ้นมา เขาถึงขั้นไม่มีวิชาที่จะตรวจสอบตงป๋อเสวี่ยอิงได้
น้ำวนระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับกับระลอกคลื่นปกติในโลก มันตรวจสอบอย่างไร้สุ้มเสียง เพียงพริบตาเดียวก็ครอบคลุมขอบเขตถึงห้าแสนกว่าลี้ และนี่ก็คือขีดจำกัดที่เขาสามารถตรวจสอบได้ในขณะนี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างยืนอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตซึ่งอยู่ห่างออกไปห้าแสนกว่าลี้เขาล้วนแต่ตรวจสอบโดยละเอียดยิ่งนัก คิดจะหลบหลีกให้พ้นจากการตรวจสอบของแผนภาพคลื่นจานของเขานั้นเป็นเพียงความฝันโดยแท้
……………………………….