บทที่ 689 ติดกับ!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่ระเบิดขึ้น ทะเลสีแดงพวยพุ่งออกมาโอบล้อมกระสวยเอาไว้ราวกับเป็นคลื่นยักษ์ ก่อนจะกลืนกระสวยลำจ้อยเข้าไปในพริบตา!

ราวกับว่าทะเลสีแดงกำลังค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นมือขนาดยักษ์ มือนั้นจับกระสวยไว้จากข้างใต้ก่อนที่มันจะได้ออกตัวด้วยความเร็วสูงเพื่อหนีการสกัดกั้นไป!

จากนั้นทะเลสีแดงก็ค่อยๆ ไหลมารวมตัวกัน ราวกับว่าจะแช่แข็งตัวเองและกระสวย รวมไปถึงอวกาศบริเวณนั้นทั้งหมดให้กลายสภาพเป็นน้ำแข็งไปกระนั้น

ขณะที่สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แพร่กระจายไปทั่วทะเลแดงก่อนจะตรงมายังกระสวย!

กระสวยสั่นอย่างรุนแรง ทำให้เฟิ่งชิวหรันและหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ด้านในถึงกับสะเทือนตาม ความตื่นตระหนกฉายชัดอยู่ในสีหน้าของทั้งคู่ พวกเขาสังเกตว่ากระสวยส่งเสียงแกรกกรากเพราะแรงกดดันมหาศาลที่บีบรัดเอาไว้ และมีทีท่าเหมือนว่าจะแตกสลาย ในไม่ช้ากระสวยต้องถูกขยี้จนเป็นผุยผงอย่างแน่นอน

แม้ว่ามันจะเป็นวัตถุเวทระดับสูงยิ่ง แต่ก็ไม่อาจต้านทานพลังของเรือบินรบนับหมื่นลำได้ ดังนั้นจึงพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ

“สั่งให้กระสวยทำลายตัวเองเถิดขอรับ!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่มีเวลาพูดอะไรอย่างอื่นแล้ว ชายหนุ่มตะโกน ก่อนจะกระโจนขึ้นไปในอากาศ เส้นปราณโลหิตพวยพุ่งออกมาจากร่าง เกราะจักรพรรดิก่อตัวขึ้นรอบกายอันใหญ่โตของเขาอีกครั้ง เทพสงครามร่างอ้วนท้วนก็ปรากฏตัวให้เห็นอีกครา หวังเป่าเล่อปล่อยพลังปราณทั้งหมดของตนออกมา ชายหนุ่มเตรียมตัวพร้อมทั้งการป้องกันและการโจมตี

ความไม่แน่ใจปรากฏขึ้นบนสายตาของเฟิ่งชิวหรัน นิสัยที่ไม่เด็ดขาดของนางไม่ได้เปลี่ยนความเป็นจริงที่ว่านางเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่แข็งแกร่ง และผ่านประสบการณ์การสู้รบมาอย่างโชกโชน บทสนทนาระหว่างนางและหลี่ซิงเหวินเองก็มีส่วนช่วยเช่นกัน นางชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ความมุ่งมั่นจะปรากฏชัดในแววตา มือทั้งสองประกบเข้าหากันสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ก่อนจะประกบเข้าหาผนังกระสวย

พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่เคลื่อนที่เข้ามาประชิดกระสวยจากสี่ทิศ และก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาล้อมกระสวยที่ติดอยู่ท่ามกลางทะเลแดงได้สำเร็จ ยานพาหนะลำนั้นก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา แสงนั้นสุกสว่างจนกลบความสว่างของดวงดาวในอวกาศไปเสียสิ้น จนแทบจะทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องตาบอดไป

ราวกับว่ากระสวยได้แปรสภาพเป็นดวงอาทิตย์ขนาดย่อมซึ่งเผาไหม้ตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนที่จะ…ระเบิด!

แรงกระแทกอันรุนแรงกระจายไปทั่วอวกาศราวกับเป็นหิมะถล่ม เปรียบได้กับท้องฟ้าถล่มหรือแผ่นดินทลายก็ไม่ปาน กระแสพลังวิญญาณพวยพุ่งออกมาไม่ต่างจากคลื่นยักษ์ที่ถาโถม ระลอกพลังอันรุนแรงนั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!

แรงระเบิดเปี่ยมไปด้วยจิตสัมผัสแห่งความตายและความบ้าคลั่งที่ฉีกทะเลสีแดงจนเปิดออกในบัดดล ราวกับเป็นการจุดระเบิดในภูเขาหิมะกระนั้น!

วัตถุดิบระดับสูงที่ใช้ในการหลอมกระสวยส่งให้ความเสียหายเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ทำให้เกิดแรงระเบิดที่รุนแรงยิ่งกว่าแรงระเบิดทั่วไปหลายเท่านัก!

ทะเลสีแดงที่กำลังจะกลายเป็นน้ำแข็งสั่นสะท้านก่อนระเบิดในพริบตา กลายเป็นส่วนหนึ่งของแรงระเบิดจากกระสวย แรงกระแทกยังหยุดผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่เอาไว้ได้อีกด้วย พวกเขาต้องเปลี่ยนทิศทางเพื่อหลบแรงกระแทก เรือบินรบไม่อาจเปลี่ยนทิศได้เร็วเท่าจึงต้องรับแรงระเบิดเข้าไปเต็มๆ

กระบวนเรือบินรบเกิดโกลาหลขึ้นมาเมื่อกระสวยทำลายตัวเอง ตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันจึงฉวยโอกาสหนีไป

เฟิ่งชิวหรันควบคุมให้แรงระเบิดส่วนมากกระจายออกไปด้านนอก ส่งผลให้ทั้งตัวนางเองและหวังเป่าเล่อแทบไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด นางมีพลังปราณระดับเชื่อมวิญญาณคุ้มกันอยู่ ส่วนหวังเป่าเล่อก็มีเกราะจักรพรรดิ เมื่อทั้งสองรอดจากแรงกระแทกระลอกต่อๆ มาแล้ว ก็พากันพักฟื้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพุ่งออกไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด โดยมีแรงผลักระเบิดของกระสวยเป็นตัวส่ง และฉวยโอกาสตอนที่เรือบินรบของศัตรูเสียขบวน เคลื่อนที่มุ่งตรงไปข้างหน้าราวกับเป็นลูกศรที่ออกจากแล่ง!

ความเร็วของพวกเขา บวกกับแรงผลักจากระเบิด ทำให้ทั้งคู่ดูเสมือนภาพเลือนลาง พวกเขาผ่าทะลุทะเลสีแดง สร้างแรงกระเพื่อมในอวกาศ ก่อนจะมาโผล่อยู่อีกด้านหนึ่งของกระบวนเรือบินรบของศัตรู!

บรรดาผู้ฝึกตนบนเรือบินรบเหล่านั้นต่างก็มองเห็นการหลบหนีของทั้งคู่เต็มตา ทว่าแต่ละคนต่างยังวุ่นวายและมึนงงกับแรงระเบิด ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่เองก็ด้วย พวกเขาต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กันเมื่อเห็นศัตรูหนีรอดเงื้อมมือไปได้หวุดหวิด!

โอกาส…ที่พวกเขาจะรอดจากการสกัดกั้นนี้ไปได้มีเพียงแค่เสี้ยวเดียว ไม่มีใครคาดคิดว่าทั้งคู่จะรอดไป ต้องมีใครสักคนตัดสินใจระเบิดกระสวยทันทีที่เรือบินรบเริ่มเข้ามาล้อม มันอาจดูเป็นการตัดสินใจที่ง่าย แต่คงมีไม่กี่คนที่จะสามารถตัดสินใจเรื่องเช่นนี้ได้ภายในเสี้ยววินาที

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้การหลบหนีครั้งนี้สำเร็จคือความรวดเร็วในการการตัดสินใจที่จะระเบิดกระสวยทิ้ง!

บรรดาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่ที่ถูกแรงระเบิดผลักออกไปนั้นต่างเคยเป็นผู้ฝึกคนขั้นจุติวิญญาณของสำนักวังเต๋าไพศาลด้วยกันทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นคือชื่อหลิน ผู้ซึ่งอยู่ฝ่ายเฟิ่งชิวหรันและยังมีความบาดหมางกับหวังเป่าเล่อมาก่อน

เขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่เป็นเจ้าของร่างให้ปรสิตตระกูลไม่รู้สิ้น ระดับพลังปราณของเขาก็ได้รับการส่งเสริมจนบรรลุถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ เขาหรี่ตาลงก่อนจ้องมองไปยังทิศทางที่หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันมุ่งหน้าไป เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะเร่งรีบติดตาม เพียงแค่ยิ้มเยาะออกมา

ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว แต่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกสามคนก็ต่างยิ้มเยาะด้วยเช่นกัน พวกเขาบรรลุสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณได้หลังจากที่กลายมาเป็นเจ้าของร่างให้ปรสิตตระกูลไม่รู้สิ้น สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังอวกาศห่างไกลที่เฟิ่งชิวหรันและหวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไป ความเวิ้งว้างอันดำมืดและเย็นเยียบเริ่มบิดเบี้ยวและหมุนวน!

สายตาของหวังเป่าเล่อแสดงความตกใจ เฟิ่งชิวหรันเองก็หรี่นัยน์ตาลง ทั้งสองพยายามเปลี่ยนเส้นทาง แต่ก็สายเกินไป รอยแยกในอวกาศที่ขวางอยู่ตรงหน้าแปรสภาพเป็นพายุหมุนขนาดยักษ์!

มันดูคล้ายหลุมดำที่นำพาไปสู่สถานที่ที่ไม่รู้จัก การหมุนวนไม่รู้จบดูเหมือนจะไปเปิดประตูอวกาศเข้า หมอกสีแดงสดสองก้อนทะลักออกมาจากภายใน!

หมอกทั้งสองก้อนยาวหลายร้อยเมตร มันพุ่งตรงเข้ามาหาหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันทันทีที่ปรากฏ พลางแผ่พลังที่กดพลังปราณของทั้งคู่เอาไว้ พวกเขาไม่อาจหลบหนีได้เลย

หมอกแดงนั้นเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เฟิ่งชิวหรันก้าวถอยหลัง ใบหน้าซีดขาว ก่อนจะตบไปที่กระเป๋าคลังเก็บและหยิบกระดิ่งออกมา อักขระสีขาวทะลักออกมาจากกระดิ่งเมื่อนางเขย่ามันอย่างรุนแรง ก่อนจะไหลเข้ามารวมตัวกันเป็นกำแพงยาวหลายร้อยเมตรและเริ่มฟาดฟันพัดหมอกออกไปเพื่อซื้อเวลาให้ทั้งสองได้หนี

กำแพงยักษ์ที่เกิดจากอักขระโบราณพุ่งผ่านหมอกแดงปริศนาไป ทว่าหมอกนั้นกลับไหลบ่าเข้าท่วมตัวเฟิ่งชิวหรันที่กำลังตกใจสุดขีด ก่อนจะกลืนนางลงไปและขังนางเอาไว้

หวังเป่าเล่อไม่รอช้า ร่างกายของชายหนุ่มพร่าเลือนก่อนจะแยกตัวออกไปเป็นร่างอวตาร ร่างอวตารหยุดนิ่ง เหมือนจะถูกพลังเกินต้านของหมอกแดงกดเอาไว้ และหยุดอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ ไม่มีเวลาให้ชายหนุ่มใช้ลูกไม้เดิมๆ คือการสลับที่กับร่างอวตาร

เป้าหมายเดียวที่เขาเรียกร่างอวตารออกมาคือเพื่อระเบิดมันนั่นเอง!

ร่างอวตารพุ่งเข้าใส่หมอกแดงทันทีที่ออกมาจากกายหวังเป่าเล่อ และก่อนที่หมอกแดงจะกลืนหวังเป่าเล่อเข้าไป ร่างอวตารก็ระเบิดตัวเอง!

แรงระเบิดรุนแรนเป็นอย่างยิ่ง มันกวาดผ่านอวกาศราวกับเป็นพายุหมุนรุนแรง พัดเอาหมอกสีแดงให้สั่นไหวก่อนจะเคลื่อนไหวช้าลงในทันที

หวังเป่าเล่อฉวยโอกาสนั้นถอยหนีอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก เสียงสัญญาณเตือนภัยดังก้องอยู่ในศีรษะ ชายหนุ่มมองเห็นหมอกสีแดงก้อนที่สามที่กำลังลอยออกมาจากพายุหมุน ภาพนั้นทำเอาเขาขนหัวลุกซู่ ทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้นต่างเตรียมตัวมาดีจริงๆ ขณะที่เขากำลังจะหนีออกไปนั้นเอง ชื่อหลินและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกสามคนก็ใกล้เข้ามา พร้อมที่จะโจมตี

คลื่นพลังวิญญาณไหลบ่าท่วมอวกาศ ก่อให้เกิดทั้งพายุหมุนและลมแรงพัดพาไปทั่ว หวังเป่าเล่อเริ่มท่องบทสวด แต่ก็ไม่เป็นผล เขามีเกราะจักรพรรดิอยู่ แถมยังมีดวงดาวใกล้ๆ ที่มอบพลังให้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ชายหนุ่มไม่อาจรับมือผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณพร้อมกันสี่คนได้ เกราะของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่ชายหนุ่มกระเด็นไปข้างหลัง เลือดกระเซ็นออกมาจากปาก หมอกสีแดงสองก้อนพุ่งเข้าใส่ก่อนจะกลืนเขาเข้าไป!

บนท้องฟ้ามีหมอกสีแดงอยู่สองก้อน ก้อนหนึ่งใหญ่กว่าอีกก้อน พวกมันหมุนวนอยู่ไปมา ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

“เรียกรวมผลผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคน นี่คือประกาศจากผู้อาวุโสสูงสุด จงเปิดใช้วงแหวนปราณและเล็งเป้าไปที่คนทรยศหวังเป่าเล่อเสีย จงทำลายวิญญาณของเขาให้สิ้น!”

“จงปลดคาถาที่สะกดผู้อาวุโสสูงสุดเฟิ่งชิวหรันเสีย เพื่อที่นางจะได้ฟื้นคืนสติกลับมา!” เสียงของชื่อหลินดังขึ้นในใจของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนในเรือบินรบบริเวณใกล้เคียง พวกเขาตัวสั่นก่อนจะนั่งลงในทันที และปล่อยพลังปราณออกมาเต็มกำลัง แสงสีแดงปรากฏขึ้นจากเรือบินรบทุกลำอีกครั้ง และฉายลงมาบนหมอกสีแดงจนทุกสิ่งกลายเป็นสีแดงสด!

………………………….