บทที่ 595 ก้นของเสือ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 595 ก้นของเสือ

อ๋องตวนไม่ยอมรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงประทับนั่งอยู่ด้านบนอย่างเฉยเมย: “อ๋องตวน เจ้าหรือข้าที่เป็นฝ่าบาทของเมืองต้าเหลียง?”

อ๋องตวนหดหู่ใจ: “ฝ่าบาท แน่นอนว่าเป็นพระองค์พะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมหล่ะ? เจ้ากำลังคิดที่จะให้ข้าลากเจ้าออกไปโบยหนึ่งร้อยกระดานหรือ?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงพระทัยแข็งซะแล้ว หากไม่จัดการอ๋องตวนให้ดีจะไหวได้เช่นไร พระองค์ก็ไม่รู้ว่าพระองค์ที่ทรงเป็นฝ่าบาทนี้เป็นเสือหรือว่าเป็นแมวซะแล้ว!

อ๋องตวนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดแต่กลับไม่กล้าแสดงออกมา: “กระหม่อมมิกล้าพะย่ะค่ะ แต่หากว่าฝ่าบาททรงโบยแล้วถึงจะหายกริ้วเช่นนั้นก็ทรงโบยเถอะ กระหม่อมไม่ต้องการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ร้านค้าของกระหม่อมมีสามร้อยกว่าร้าน ในตอนนี้ก็ได้อยู่ทั่วทุกหนแห่งในเมืองต้าเหลียง รอจนถึงเวลาปลายฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าแม้ว่าจะไม่มีภาษีผุ้คนให้เก็บ กระหม่อมก็สามารถที่จะนำเงินมาเลี้ยงกองทัพให้พอเพียงได้ ขอฝ่าบาททรงเห็นแก่ที่เงินส่วนใหญ่ของกระหม่อมยังสามารถหลั่งไหลเข้าในท้องพระคลังให้กระหม่อมได้เป็นอ๋องผู้มีอิสระเสรีด้วยพะย่ะค่ะ”

“ดูเหมือนว่าก้นที่ถูกโบยของเจ้าจะไม่เป็นไรแล้ว เจ้ากล้าที่จะขอเป็นอ๋องอิสระเสรีอันใดกับข้า ข้ายังไม่มีที่ใดให้ไปข้ายังต้องการจะเป็นจักรพรรดิอิสระเสรีหน่ะ”

เมื่อองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงกริ้วขึ้นมานั้นไม่มีผู้ใดที่สามารถยับยั้งได้

เห็นอ๋องเย่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูก็ยิ่งทรงกริ้วมากขึ้น

หนึ่งคนสองคนก็เป็นเช่นนี้ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตบโต๊ะ: “ข้าจะเก็บก้นไว้ให้เจ้า เบิกตัวพระชายาตวนเข้ามาน้อมทักทายพระมเหสีหวาในวัง เมื่อวานข้าอยู่ที่สนามล่าสัตว์กลับมาก็ค่ำซะแล้ว

พระมเหสีทรงเป็นกังวลยิ่งนักจนข้าสุดจะทนไม่ไหวจึงได้เบิกตัวพระชายาตวนเข้าวังเพื่อน้อมทักทายและอยู่เป็นเพื่อนสักสองสามวัน ”

ทันทีที่องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสเช่นนี้ จู่ๆอ๋องตวนก็ไม่กล้าบอกกล่าวว่าถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรม เงยหน้าขึ้นมององค์จักรพรรดิอวี้ตี้: “ทูลฝ่าบาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ใช่การช่วยเหลือราชกิจของราชสำนักหรือไม่?”

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกว่าอ๋องตวนเปิดใจแล้วและมองไปยังอ๋องตวนสองครั้งด้วยความรู้สึกอันน่ารังเกียจ: “ใช่”

“เช่นนั้นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของรัชทายาทกับขุนนางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้ใดใหญ่?” อ๋องตวนต้องถามให้กระจ่างเพื่อมิให้มีคนบิดพริ้ว

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงรำคาญ: “แล้วเจ้าว่าหล่ะ? บ้านเมืองใหญ่หรือว่าขุนนางใหญ่?”

“กระหม่อมเข้าใจแล้ว ทูลฝ่าบาทกระหม่อมยินยอมที่จะรับการแต่งตั้ง สำหรับเรื่องที่เสด็จแม่ตกพระทัยนั้นรอให้กระหม่อมออกจากตำหนักบำรุงฤทัยก็จะไปเยี่ยมเสด็จแม่ พรุ่งนี้กระหม่อมจะพาพระชายาตวนเข้าวังมาน้อมทักทายเสด็จแม่ หากว่าไม่มีเรื่องอันใดก็ขอทูลลากลับจวนก่อน สองสามวันนี้ร่างกายพระชายาเหน็ดเหนื่อยอยู่ตลอดโดยไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะเดิน กำลังคิดที่จะเดินขยับกายไปหาพระชายาเย่เพื่อให้พระชายาเย่ดู”

อ๋องตวนกล่าวจบองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงหาประเด็นสำคัญแล้วทรงถามว่า: “กล่าวเช่นนี้พรุ่งนี้เจ้าจะเข้าประชุมขุนนางแล้วหรือ?”

อ๋องตวนนั้นเพื่อให้อวิ๋นหลัวฉวนอยู่เคียงข้างเขาก็เรียนรู้ได้อย่างไหลลื่นซะแล้ว

“พะย่ะค่ะ กระหม่อมรับพระบัญชา”

เป็นการยากที่องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จะทรงพอพระทัย คนผู้นั้นต้องมีจุดอ่อนและจุดอ่อนของอ๋องตวนก็คืออวิ๋นหลัวฉวน

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ทรงรู้ว่าอ๋องตวนและอวิ๋นหลัวฉวนเดินด้วยกันมาถึงวันนี้ได้เช่นไร สรุปแล้วทำให้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงรู้สึกประหลาดพระทัย

ท่านอ๋องผู้เยือกเย็นเสมือนหยกและแม่ทัพหญิงผู้อยู่ในสนามรบเช่นไรก็ไม่ถือว่าคู่ควรกัน

แต่สามารถเดินด้วยกันมาจนถึงวันนี้ได้ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงยินดีเช่นกัน

มีอวิ๋นหลัวฉวนแล้วถือว่าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงสามารถกุมอ๋องตวนได้แล้ว

ก็เช่นเดียวกับอ๋องเย่ เดิมทีเขาเป็นม้าตัวหนึ่งให้ทำสิ่งใดก็จะไม่ทำสิ่งนั้นรู้แต่สี่ขาเตะออกเพื่อความสุขและทำร้ายผู้คนไปทั่ว ตอนนี้ดีแล้วมีฉีเฟยอวิ๋นอ๋องเย่ก็เหมือนดังกับขาม้าสี่ข้างดูราวกับเสือติดปีก วิ่งขึ้นมารวดเร็วยิ่งนักแต่ต้องการจัดการเขาก็ยิ่งง่ายดายด้วย

โซ่ตรวนก็คือโซ่ตรวน ตะปูอยู่ในเนื้อ เช่นนั้นจะเหมือนกันได้หรือ วิ่งขึ้นมานั้นหนักอึ้ง!

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงคิดมีแต่ทางได้ไม่มีทางเสียและมองอ๋องเย่กับอ๋องตวนด้วยอารมณ์อันดียิ่ง

“อ๋องตวน เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ” หลังจากองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสเรียบร้อยแล้วก็มองไปยังอ๋องเย่ อ๋องตวนลุกขึ้นมองดูหนานกงเย่อย่างหดหู่ใจ เรื่องนี้นั้นเป็นความผิดของเขา

หนานกงเย่กล่าวอย่างเฉยเมยว่า: “กระหม่อมคารวะฝ่าบาทพะย่ะค่ะ”

ในราสำนักไร้ซึ่งบิดาและบุตร ยิ่งไม่มีพี่น้อง เช่นไรก็ต้องเกรงใจสักสามส่วน

แต่ก็เป็นแค่สามส่วน หนานกงเย่ผู้นี้เขาเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ต่อหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ซึ่งเป็นเจ้านายผู้ขนาบข้าง

อ๋องตวนทรงปฏิบัติตามกฎระเบียบตั้งแต่เด็กรู้ว่าควรทำเช่นไร แต่หนานกงเย่นั้นชอบที่จะทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น อย่าว่าแต่ไม่มีคนนอกถึงแม้ว่าจะมีในตัวเขาก็ไม่ได้มีระเบียบมากมายนัก

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงทอดพระเนตรไป: “ตั้งแต่วันนี้อ๋องตวนก็เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เจ้าทั้งสองต้องเคารพและรักซึ่งกันและกันพร้อมทั้งจัดการเรื่องราวให้ดี”

“กระหม่อมรับพระบัญชา” หนานกงเย่ตอบอย่างรวดเร็วและอ๋องตวนก็เหลืองมองเขา

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถามว่า: “พักผ่อนเรียบร้อยแล้วหรือ?”

“ทูลตอบฝ่าบาท พักผ่อนดีแล้วพะย่ะค่ะ”

“ที่ชายแดนนั้นเป็นเช่นไรบ้าง เหตุใดเจ้าถึงกลับมาเร็วเช่นนี้” เมื่อวานองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงครุ่นคิดอยู่ทั้งคืน ในตอนนี้มู่เหมียนนั้นยังนอนอยู่บนเตียงและในใจรู้ว่าหนานกงเย่กลับมาเพราะพระองค์

“ได้รับข่าวลับมาว่ามีคนต้องการทำร้ายฝ่าบาทจึงได้ย้อนกลับมา ชายแดนถูกเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้วและเชื่อว่าไม่นานก็จะมีการรายงานเร่งด่วน”

“หาเรื่อง ในเวลานี้ไม่ควรกลับมาแต่กลับกลายเป็นการให้โอกาสผู้คนเหล่านั้นแทนซะแล้ว” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงลุกขึ้น ก้าวเสด็จลงจากบันไดสูงและทรงก้าวทีละก้าวๆไปยังตรงหน้าหนานกงเย่และอ๋องตวน

“ในตอนนี้อ๋องตวนอยู่นี่เจ้าไปอย่างวางใจได้ ข้าก็จะรอเจ้ากลับมาอยู่ในวังอย่างระแวดระวัง การสู้รบของเมืองอู๋โยวเป็นเรื่องอันน่าวิตกกังวลใหญ่หลวงในใจข้า

ข้าไม่ได้สู้รบมาหลายปีแล้วและยังจำเวลาที่พาพวกเจ้าออกไปเป็นครั้งแรกได้ พวกเจ้านั้นยังเป็นเด็กและตะโกนตามอยู่ด้านหลังข้า

ข้าแก่แล้วและออกไปไม่ได้แล้ว แต่ว่าพวกเจ้านั้นได้อาศัยเวลาที่สามารถออกไปได้ไปดู

ในเมื่อเริ่มสู้รบแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้นั้นไม่สามารถพ่ายแพ้ได้! ”

หนานกงเย่หลับตาลง เดิมทีเรื่องราวที่จริงจังเรื่องหนึ่ง เขาเปิดปากก็กลายเป็นเรื่องราบเรียบ: “ก็แค่สู้รบกันเท่านั้น”

” ……” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถูกทำให้กริ้วจนอัดอั้นอยู่ในลำคอ

“ความหมายของเจ้าคือการรบครั้งนี้จะไม่พ่ายแพ้”

“ชนะหรือแพ้เป็นเรื่องธรรมดาของการทหาร หากยังทำการรบไม่เสร็จผู้ใดก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะชนะหรือแพ้” หนานกงเย่ยิ่งกล่าวก็ยิ่งโกรธมากขึ้น องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงเดินกลับไปอย่างรู้สึกรำคาญ

ต่อมาทั้งสามพี่น้องก็คุยเรื่องการรบกันต่อ เดิมทีอ๋องตวนคิดที่จะวางแผนขนเสบียงขึ้นไปก่อน แม้ว่าอ๋องตวนจะไม่สนใจการบ้านการเมืองแต่ตั้งแต่การรบที่ชายแดนตึงเครียดและเตรียมเปิดสงคราม อ๋องตวนก็รวบรวมเงินทองและเสบียงซึ่งตระเตรียมได้พอประมาณแล้วและพร้อมที่จะขนไป

ท้ายที่สุดหนานกงเย่จึงได้กล่าวว่า: “ไม่รีบ ส่งให้ทหารรักษาชายแดนผู้อื่นซะก่อน เสบียงได้จัดการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”

“……”อ๋องตวนและองค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้เรื่องหนานกงเย่ เขาบอกว่าไม่ต้องเช่นนั้นก็ต้องมีหนทางอื่นอีกด้วยเป็นแน่

แต่ทั้งสองคนนั้นสงสัย เสบียงของกองทัพห้าแสนคนได้ส่งไปยังชายแดนอื่นทั้งสิ้น เขาส่งเสบียงไปจากที่ใดกันแน่?

อ๋องตวนถามว่า: “เจ้าไปหาเงินมาจากที่ใดเพื่อขนเสบียงไป?”

“ไม่มีเงิน ข้าคิดที่จะขอยืมเสบียงเล็กน้อย”

“ยืม?” อ๋องตวนยิ่งแปลกใจไปใหญ่

หนานกงเย่พยักหน้า: “ถูกต้อง ขอยืมเสบียง”

จูเก๋อเลี่ยงยืมลูกธนูจากเรือฟางและเขาจะยืมเสบียงในยามค่ำคืน

อ๋องตวนและองค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองหน้ากันแล้วก็ถามหนานกงเย่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้แน่ใจว่าได้ขนเสบียงไปยังชายแดนอื่นแล้ว

“เหตุใดพี่รองถึงได้จู้จี้เช่นนี้ หรือว่าข้าจะไม่มีเรื่องใดแล้วพูดเรื่องไร้สาระ” หนานกงเย่ก็รู้สึกรำคาญซะแล้ว หน้าตาของอ๋องตวนนั้นหดหู่จึงได้หยุดกล่าวและรอดูเมื่อถึงเวลาแล้วหนานกงเย่ร้องไห้อ้อนวอนกับเขา

แต่อ๋องตวนก็มีความคิดอีกอย่างเอาไว้และเริ่มตระเตรียมเสบียงและเงินชุดที่สอง

“ยังมีเรื่องอีกหรือไม่?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถามเรื่องของชายแดนแล้วก็ทรงต้องการแยกย้าย หนานกงเย่ก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการลอบสังหารแต่มองดูองค์จักรพรรดิอวี้ตี้อยู่ตลอด มองดูจนองค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกอึดอัดโดยที่อ๋องตวนก็อัดอั้นอยู่เต็มอก มีเรื่องก็กล่าวมาโดยตรงเจ้ามองเขาแล้วจะมีประโยชน์หรือ สักครู่เขาไม่พอใจก็จะเอาเรื่องกับเจ้า

ก้นของเสือเจ้าแค่จับๆแล้วก็ช่างเถอะ เจ้ายังอยากจะตีอีกด้วยหรือ?

หมายเหตุ

จูเก๋อเลี่ยง ชื่อรองว่า ข่งหมิง สำเนียงฮกเกี้ยนว่า ขงเบ้ง เป็นรัฐบุรุษและนักยุทธศาสตร์

การทหารชาวจีน