เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกขำ สั่นศีรษะแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ภายในร้าน
ไม่นานพวกพนักงานก็ยกน้ำชาออกมา จากนั้นก็เอามาวางไว้ด้านหน้าของพวกเขาทั้งสองคนด้วยความระมัดระวัง
เถ้าแก่อีกสี่ร้านก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเถ้าแก่เข้ามา พอเข้าประตูมาก็รีบคำนับทั้งสองคนทันที
เมิ่งฉีโบกมือ เถ้าแก่ผู้หนึ่งลองถามหยั่งเชิงขึ้นว่า “คุณชายขอรับ ร้านของท่านให้พวกเราเช่าต่อได้หรือไม่ขอรับ” พูดจบก็กลัวว่าเขาจะไม่ยินยอม จึงรีบพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า “พวกเราจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเป็นเวลาหนึ่งปีก็ได้ขอรับ”
“ค่าเช่าเดิมของพวกเจ้าครบกำหนดแล้วหรือ” เมิ่งฉีถามขึ้น
เถ้าแก่ร้านทั้งหลายไม่เข้าใจความหมายของเขา ต่างก็มองหน้ากัน เถ้าแก่คนเดิมจึงตอบกลับว่า “เรียนคุณชาย ยังไม่ครบกำหนดขอรับ”
“ยังเหลืออีกประมาณกี่เดือนหรือ”
“สิ้นปีนี้ก็ครบกำหนดขอรับ ยังเหลือเวลาไม่มากนัก” เถ้าแก่ผู้นั้นตอบ
เมิ่งฉีพยักหน้า ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ
เถ้าแก่ทั้งหลายต่างก็มองดูเขาด้วยความอกสั่นขวัญแขวน พวกเขาทำการค้าขายที่ร้านนี้มานานหลายปีแล้ว ค่อยๆ สั่งสมความนิยมของผู้คนจนได้ถึงขนาดนี้แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นลูกค้าเก่า อีกอย่างเหลืออีกแค่สามเดือนก็ถึงสิ้นปีแล้ว ตอนนั้นเป็นช่วงนี้กิจการเฟื่องฟูค้าขายได้ดี ถ้าย้ายออกไปอยู่ที่อื่นในตอนนี้ สำหรับพวกเขาแล้วถือว่านี่เป็นการขาดทุนมากมาย เพราะฉะนั้นวันนี้ตอนที่ไม่เห็นคนที่มาซื้อร้านไป แถมพวกเขายังตามหาคนไม่พบอีก ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ เมื่อกี้นี้พอได้ยินเถ้าแก่ร้านแพรไหมบอกว่าคุณชายที่ซื้อร้านได้มาถึงแล้ว พวกเขาแทบจะทนรอไม่ไหวที่จะมาขอร้องเขาสักหน ถึงพวกเขาจำเป็นต้องย้ายออกก็ต้องรอให้ผ่านพ้นวันสิ้นปีไปก่อน คิดไม่ถึงว่าเมิ่งฉีจะถามคำถามเช่นนี้กับพวกเขา ทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร รู้สึกไม่สบายใจมาก
เมิ่งฉีวางถ้วยน้ำชาในมือลง กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็รอตอนสิ้นปีค่อยทำสัญญาเช่าเก็บเงินค่าเช่าจากพวกเจ้าก็แล้วกัน สามเดือนนี้พวกเจ้าก็ใช้กันต่อเถอะ”
เถ้าแก่ร้านทั้งห้าต่างก็นิ่งอึ้ง ยืนเหม่อลอยนานหลายอึดใจ เถ้าแก่ร้านแพรไหมเป็นคนที่ได้สติขึ้นมาก่อนจึงสะกิดทุกคน “ยังไม่ขอบคุณคุณชายอีก!”
เถ้าแก่ร้านที่เหลือจึงรู้สึกตัว หลังจากที่ดีอกดีใจกันแล้วก็ก้มลงโค้งคำนับให้เมิ่งฉีเป็นการใหญ่ กล่าวขึ้นต่อว่า “ขอบคุณคุณชาย ขอบคุณคุณชายขอรับ”
เมิ่งฉีโบกมือ คิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็มีเสียงเอะอะต่อว่าของชายคนหนึ่งดังออกมาจากข้างนอกร้าน “คนที่อยู่ข้างในร้านทั้งหมดโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้ บิดารู้ว่าเจ้าอยู่ข้างในนั้น”
เมิ่งฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ทุกคนภายในร้านต่างก็มองหน้ากัน
เถ้าแก่ร้านแพรไหมมองออกไปข้างนอกแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “คุณชาย คนที่จะซื้อร้านวันนั้นขอรับ ตอนนี้พาคนมาหลายคนอยู่ที่ข้างนอก”
เมิ่งฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากันแวบหนึ่ง ลุกขึ้นพร้อมกันแล้วก็เดินออกไปด้านนอก
เถ้าแก่ร้านทุกคนกับพนักงานภายในร้านก็เดินตามออกมา
ชิงหลวนกับจู๋หลีเกร็งตัว เดินออกมาบังหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวตบไหล่พวกนางทั้งสองเบาๆ บอกเป็นนัยให้พวกนางผ่อนคลาย พูดเสียงเบาขึ้นว่า “แค่พวกกระจอกไม่กี่คน ไม่ต้องกลัว”
เมิ่งฉีเห็นผู้ชายคนนั้นเป็นเหมือนป้าที่ปากคอเราะราย มาต่อว่าด่าทอที่หน้าร้าน ข้างๆ ยังมีชายฉกรรจ์อีกหลายคนที่มีใบหน้าโหดเ**้ยม ในมือยังถือไม้พลอง
พอเห็นเมิ่งฉีออกมาชายคนนั้นก็ชี้หน้าด่าทอทันที “เจ้าคนบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกอย่างเจ้า ถือดีอะไรถึงกล้ามาแย่งร้านที่บิดาต้องการ เจ้าไม่รู้จักถามอะไรก่อน ถนนทุกเส้นแถวนี้มีใครบ้างที่กล้าหาเรื่องบิดา”
เถ้าแก่ร้านแพรไหมกระซิบที่ข้างหูเมิ่งฉีว่า “คนผู้นี้ก็คือพ่อค้าคนกลางที่เลื่องชื่อในย่านนี้ หาเงินโดยการซื้อร้านมาขายต่อ นิสัยดุร้ายมาก ดังนั้นร้านค้าทั้งหมดในถนนแถวนี้ต่างก็ต้องผ่านน้ำมือเขา ส่วนคนพวกนั้นก็คืออันธพาลที่เขาจ้างมาเพื่อช่วยเขาทำร้ายคนที่มาแย่งกิจการโดยเฉพาะน่ะขอรับ”
เมิ่งฉีมีสีหน้าเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
คนผู้นั้นต่อว่าอย่างได้ใจขึ้นต่อ “บิดารอเจ้าหลายวันแล้ว เจ้าลูกเต่าที่เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดอง วันนี้บิดาจับเจ้าได้แล้ว บิดาจะให้ทางเลือกแก่เจ้าสองทาง หนึ่งคือต้องขายร้านนี้ให้ข้าด้วยราคาต่ำแต่โดยดี บิดาจะปล่อยเจ้าไป”
“แล้วทางเลือกอีกทางหนึ่งล่ะ” เมิ่งฉีถามขึ้นเสียงต่ำ
น้ำเสียงของชายคนนั้นยิ่งกำเริบเสิบสานขึ้น “อีกทางเลือกหนึ่งก็คือข้าจะส่งคนมาก่อกวนที่ร้านของเจ้าทุกวัน ให้เจ้าเลิกคิดที่จะทำกิจการอย่างสงบสุขตลอดไป”
นานแล้วที่ไม่มีคนมาโอหังอวดดีต่อหน้า เมิ่งเชี่ยนรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ยกสองแขนขึ้นมากอดอก ถามขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า “ถ้าพวกเราไม่เลือกทั่งสองทางล่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นวันนี้บิดาจะตีพวกเจ้าจนต้องตามเก็บฟันไปทั่วพื้น!” ชายคนนั้นอ้าปากหัวเราะ แล้วพูดขึ้นอย่างอวดดีบ้าระห่ำ
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ความคิดนี้ไม่เลวเลย คนอย่างเจ้ามีฟันเคี้ยวข้าวไปก็เปลืองข้าวเปล่าๆ”
ชายคนนั้นที่กำลังหัวเราะอยู่ก็สำลัก กล่าวขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าเด็กระยำ เจ้าว่าอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ส่งเสียงจุ๊จุ๊เบาๆ สองครั้งแล้วพูดขึ้นว่า “คำพูดสั้นๆ ง่ายๆ ก็ยังฟังไม่เข้าใจ โง่จริงๆ ข้าจะใจดีให้สาวใช้อธิบายให้เจ้าฟังอีกก็ได้” พูดบแล้วก็หันไปพูดกับชิงหลวนว่า “ชิงหลวน อธิบายความหมายของคำที่ข้าพูดเมื่อครู่ให้เขาฟังที”
ชิงหลวนกลั้นหัวเราะ อธิบายเสียงดังว่า “แม่นางเราหมายความว่าคนที่จะตามเก็บฟันไปทั่วพื้นก็คือเจ้า”
คนที่มามุงดูรอบๆ ต่างก็รู้ว่าชายผู้นั้นเป็นคนอย่างไร พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจายอกย้อนเขาเช่นนี้ก็รู้สึกว่ามีเหงื่อออกแทนนาง
ชายคนนั้นอับอายจนเกิดเป็นความโมโห เลือดขึ้นหน้า เรียกทุกคนอย่างโมโหว่า “ลงมือ ก่อนอื่นสั่งสอนเด็กระยำคนนี้เลย”
มีคนสองคนถือไม้พลองเข้ามาด้วยรอยยิ้ม พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า “แม่นางคนนี้ไม่เลวเลย แต่เสียดาย ผู้ชายอย่างพวกเรามิใช่พวกรักหยกถนอมบุปผา วันนี้จะทำให้เจ้ารู้ว่าการล่วงเกินพี่ใหญ่ของเรามีจุดจบเช่นไร”
แม้แต่ท่าทางการยืนของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม สั่งชิงหลวนกับจู๋หลีอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ตบปากไปคนละสีบที ตบปากพวกเขาให้แตกก่อนค่อยว่ากัน”
ชิงหลวนกับจู๋หลีขานรับคำสั่ง
ชายฉกรรจ์สองคนส่งเสียง “โอ้โห” ขึ้น “สาวน้อยมีฝีปากไม่เลวเลย เดิมที่พวกพี่ชายยังจะให้เจ้า…” ยังพูดไม่ทันขาดคำก็รู้สึกเห็นเงาผ่านสายตาไป ยังไม่รู้สึกตัวก็โดนตบหน้าหลายฉาด
ชายฉกรรจ์โอหังอยู่ที่นี่จนชินแล้ว ไม่เคยมีคนต่อต้านต่อหน้าของพวกเขามาก่อน ตอนนี้อยู่ๆ ก็โดนคนตบหน้าหลายฉาด กลับยืนโง่งมไปไม่รู้สึกตัวขึ้นในทันที ชิงหลวนกับจู๋หลีตบหน้าจนครบสิบครั้งอย่างง่ายดาย แล้วก็กระโดกลับเข้ามายืนข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยว
คนที่มามุงก็รอบๆ อึ้งกันไปหมด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชายคนที่ต่อว่าด่าทอ เขาไม่เห็นชัดด้วยซ้ำว่าชิงหลวนกับจู๋หลีสองคนนั้นมาอยู่ต่อหน้าของชายฉกรรจ์ได้อย่างไร ได้ยินเสียงดัง “เผียะๆๆ” ต่อเนื่องกันนานสักพัก หลังจากที่เสียงดังหยุดลงปากของชายฉกรรจ์ทั้งสองคนก็บวมแดงเจอขึ้นทันที
เถ้าแก่ทั้งหลายต่างก็ยืนมองอย่างโง่งม อ้าอากค้างมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เชื่อสายตา
หน้าร้านทุกร้านต่างก็เงียบกริบ
แม้แต่ถนนทั้งสายก็เงียบเชียบราวกับป่าช้า
นานกว่าครึ่งค่อนวันชายคนนั้นถึงรู้สึกตัว พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่เกือบจะทำลายแก้วหูของทุกคน “เด็กระยำ เจ้าหาเรื่องตายเข้าเสียแล้ว!”