ตอนที่ 629 ไม่ต้องขอบคุณเราหรอก / ตอนที่ 630 เด็กน้อยคนหนึ่งจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

ตอนที่ 629 ไม่ต้องขอบคุณเราหรอก

 

 

อิ๋งโจวเองก็คาดไม่ถึงเลยว่าคนไข้ของตนคือน่าอวี้ และคิดไม่ถึงอีกเช่นกันว่าน่าอวี้จะเข้าวังแล้ว คลื่นลมที่อยู่ในนั้น เขาเองกลับไปที่เมืองหรู่หนานแล้วก็เลยไม่ทราบเรื่อง เพียงแค่คาดไม่ถึงว่าจะได้พบกันอีกครั้งด้วยวิธีการเช่นนี้

 

 

น่าอวี้นั่งอย่างสำรวม ด้านซ้ายคือฮ่องเต้ หากไม่พูดถึงเรื่องอื่น สองท่านเมื่อนั่งเคียงกันซ้ายขวาแล้ว ช่างสง่างามน่าเกรงขามดั่งฮ่องเต้และฮองเฮา หากมิใช่หลี่เต๋อจิ่งเอ่ยออกมาว่าแม่นางน่าอวี้ ภาพตรงหน้านี้ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เป็นเหมือนที่คิดไว้จริงๆ

 

 

สายตาของน่าอวี้กวาดผ่านอิ๋งโจวไป แต่ไม่ได้หยุดนาน ฮ่องเต้มองพิจารณาสองคนกลับไปกลับมา สีหน้าของน่าอวี้นั้นดูอะไรไม่ออก แต่อิ๋งโจวผู้นี้กลับมีท่าทีประหลาดใจทั้งยังสำรวมนัก มองผ่านความกดดัน ฮ่องเต้ยังพอมองเห็นรางๆ ถึงความลืมตัวตนที่ลุ่มหลง หากบอกว่าสองคนนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ให้ตายพระองค์ก็ไม่เชื่อ ท่าทีเช่นนี้เหมือนกับไม่เคยเจอกันหรือไร

 

 

หลี่เต๋อจิ่งไอแห้งๆ เสียสองที ดึงชายเสื้อของอิ๋งโจว อิ๋งโจวถึงจะตั้งสติได้ หันหน้าไปหาฮ่องเต้แล้วถวายบังคม “กระหม่อม…ถวายบังคมฮ่องเต้ ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”

 

 

ฮ่องเต้สะบัดชายเสื้อ กลิ่นหอมของกำยานเหอเต๋อบนกายพระองค์กรุ่นกำจายไปทั่ว “ลุกขึ้นเถอะ” คนในห้องนี้ล้วนมีอายุมากกว่าพระองค์ทั้งสิ้น ฮ่องเต้เองก็ต้องทำตนให้สุขุมไว้ แม้ว่าในใจจะกังขา แต่จะตรัสถามออกมาอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ พระมารดาสอนตั้งแต่เล็กว่า หากอยากจะรู้คำตอบเรื่องใดมีหลายวิธีนัก หากถามออกมาตรงๆ ก็เป็นวิธีที่โง่งมเกินไป พระองค์ไม่รีบ สิ่งที่มีมากคือความอดทน

 

 

“วิชาแพทย์ของตระกูลอิ๋งสืบทอดมารุ่นต่อรุ่น บิดาของเจ้าอิ๋งฉางนั้นเคยเป็นหมอในวังหลวง ทั้งยังได้รับสมญานามว่า ‘หมอเทวดาฟ้าประทาน’ เราได้ยินมาว่าหลายปีมานี้ก็ยังเดินทางรักษาไปทั่ว เรารู้ว่าวิชาการแพทย์ของเจ้าก็สูงส่งนัก ในเมื่อเรียกเจ้าเข้าวัง ก็หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้เราผิดหวัง รักษาแม่นางน่าอวี้ด้วยวิชาแพทย์ของเจ้าจนสุดความสามารถ”

 

 

อิ๋งโจวคุกเข่าลงกับพื้น ความคิดตีกันหมุนไปมาเป็นร้อยหนในเวลาเดียว เหตุผลต่างๆ ล้วนไม่ทันถามให้ละเอียด สักพักจึงก้มศีรษะลงตอบไป “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”

 

 

น่าอวี้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้เอ่ยอันใดสักประโยค อิ๋งโจววางผ้าคลุมลงบนข้อมือนางเพื่อตรวจชีพจร ชีพจรนางเชื่อมต่อกับหัวใจ ใจนางเต้นแรงดั่งกลองสงคราม

 

 

ฮ่องเต้นั่งมองเงียบๆ อยู่ด้านข้าง รอจนอิ๋งโจวตรวจนางเสร็จ ก็เรียกหลี่เต๋อจิ่งไปจัดยามาตามที่เขาบอก ทั้งยังให้คนพาเขาไปพักในห้องหับอย่างดี ตั้งแต่ต้นจนจบน่าอวี้ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดกับอิ๋งโจวเลยสักคำ

 

 

ฮ่องเต้ที่แสร้งนั่งมาครู่ใหญ่ ความอดทนแบบเด็กๆ นั้นถูกฝนจนหมดลงแล้ว ถามด้วยความขุ่นข้องว่า “พวกเจ้าเคยเจอกันมาก่อนที่จวนอ๋องสินะ ก่อนหน้านี้ไม่เคยให้เขารักษาเจ้ามาก่อนหรือ”

 

 

น่าอวี้ทราบทันทีว่าฮ่องเต้ตั้งใจจะหลอกถาม เมื่อครู่ที่พบหน้า ก็ทรงจ้องพวกเขาทั้งสองจนทะลุเป็นอุโมงค์ คงดูออกแล้วกระมังว่าก่อนหน้านี้เคยรู้จักกัน นางเองก็ไม่ได้มีเจตนาปิดบัง ยอมรับอย่างเปิดเผย “ก่อนหน้านี้เคยรักษากับท่านหมออิ๋งโจวจริง แต่แก่นโรคนี้หม่อมฉันได้มาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ต่อให้ท่านหมออิ๋งโจวเป็นหมอเทวดามือดี ก็ทำได้เพียงต่อชีวิตให้หม่อมฉันมีชีวิตต่อไปอีกไม่กี่วันเท่านั้น ไม่ได้รักษาที่แก่นโรค ขออภัยที่ทำให้พระองค์ต้องลำบากแล้ว”

 

 

ฮ่องเต้ตรัสว่า “ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องขอบคุณเรา เราบอกแล้ว ที่เก็บเจ้าไว้เพราะว่าเจ้ายังมีประโยชน์”

 

 

มีประโยชน์? นางเองก็อยากรู้ว่าตนนั้นมีประโยชน์อันใด เดิมคิดว่าเข้าวังครานี้เกรงว่าจะร้ายมากกว่าดี คงมีชีวิตไม่เกินสองวัน แต่ตอนนี้เรื่องราวดำเนินไปไกลกว่าที่นางคิด คลื่นที่ยังไม่สงบก็โถมซัดเข้ามาอีก ชาตินี้ของนาง ดูเหมือนว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีวันใดที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ แม้แต่จะตายยังไม่สามารถตายอย่างสงบได้เลย

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 630 เด็กน้อยคนหนึ่งจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน

 

 

ทางด้านซู่อ๋องนั้นเวลาผ่านไปนานมากแล้วก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่ฮ่องเต้กลับยังไม่สนพระทัย ตั้งแต่จำความได้ เสด็จแม่ของเขาก็ได้สั่งสอนเขาว่า กำเนิดจากความยาก มอดม้วยด้วยสุขสันต์ ความพยายามทำให้เราแจ้งเกิด ใครหลงความสบายจึงวายวอด ถ้าเรื่องซู่อ๋องยังจัดการไม่ได้ เขาก็ไม่สามารถนั่งบัลลังก์กษัตริย์อย่างสงบได้ เขาต้องถือโอกาสใช้ช่วงเวลาที่ซู่อ๋องกำลังยุ่งอยู่กับการรับสมัครทหาร การจัดหาซื้อม้า และช่วงพักผ่อนของกองกำลังทหารนี้จัดการให้สำเร็จ สั่งให้คนไปแย่งเอาคูเมืองที่ถูกข้าศึกตีได้และด่านซานเหมินชิงกลับมา จากเดิมทีที่มีกองกำลังทหารอยู่แล้วให้เพิ่มทหารอารักขาเข้าไปอีกเท่าหนึ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การวางแผนทั้งหมดของซู่อ๋องก็สูญเปล่าไปหมด

 

 

ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่ทั้งสองฝ่ายกำลังตกอยู่ในสภาพที่จะต้องเอากันให้ตายไปข้างหนึ่ง เฝิงเยี่ยไป๋กลับไม่อยู่ ที่จริงแล้วอวี่เหวินลู่เป็นกังวลใจยิ่งกว่าเฉาเต๋อหลุนเสียอีก เขาไม่สามารถเข้าไปข้างในวังหลวง มีเรื่องราวอะไรเขาก็ไม่สามารถรู้เรื่องได้ทันที หน้าตาอย่างเขานี้ก็ไม่สามารถออกไปอย่างเปิดเผยได้ แอบออกไปตอนกวางวันจะทำให้ถูกคนสังเกตเห็นได้ง่าย พอตอนกลางคืนการรักษาป้องกันในวังหลวงก็มากกว่าตอนกลางวันสองเท่า การสับเปลี่ยนเวรยามอารักขา อย่าพูดถึงคนปกติเลย แม้แต่เป็นแมลงวันตัวหนึ่งบินมาที่ประตูวังหลวงก็คงถูกขัดขวางไว้ บางทียังไม่ทันได้มองเห็นประตูก็ถูกเอาชีวิตไปก่อนแล้ว

 

 

ฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้ไม่อาจดูถูกได้ อายุยังน้อยแต่ฉลาดกว่าบิดาของเขา และยังกลัวตาย ด้านนอกตำหนักที่บรรทม มีทหารมาล้อมรอบอย่างแข็งขันข้างในสามชั้นข้างนอกสามชั้น บนหลังคาตำหนักก็มีทหารอารักขาค่อยเฝ้าตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ทำไปเพื่อไม่ให้ผู้ก่อการร้ายไม่มีทางที่จะลงมือทำอะไรได้

 

 

ข้อมูลที่น่าเชื่อถือหนึ่งเดียวก็คือการที่ฮ่องเต้เอาน่าอวี้เข้ามาอยู่ในวังหลวง น่าอวี้เป็นคนที่เขาหาตำแหน่งให้ไปเป็นสายสืบอยู่ข้างกายเฝิ่งเยี่ยไป๋ ส่งไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ตอนนี้กลับมาปรากฏตัวในวังหลวง ฮ่องเต้ก็ยังต้อนรับชนิดให้กินดีอยู่ดี สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่คาดคิดไม่ถึง

 

 

อวี่เหวินลู่พูดเรื่องนี้กับเว่ยเฉินยางแล้ว เฉินยางได้ยินเข้าก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรมากนัก ไม่สนใจ ใช้ช้อนคนโจ๊กไปมา แต่ไม่ได้ตักใส่ปากแม้แต่คำเดียว

 

 

“ฮ่องเต้น้อยจะต้องคิดไม่ดีเป็นแน่ น่าอวี้รู้เรื่องภายในจวนซู่อ๋องไม่น้อย ท่านคิดว่าถ้านางจัดการให้ข้าออกไปได้ หมายความว่าไม่ใช่เพียงแค่ข้าคนเดียว แต่ทั้งจวนอ๋องก็ต้องถูกฮ่องเต้น้อยจัดการด้วย เจ้าคิดว่าลูกชายของเจ้าถูกฮ่องเต้จับตัวไปแล้ว ถ้าหากเจ้าเข้าไป เช่นนั้นคง …”

 

 

พอพูดถึงตรงนี้แล้วจะหยุดก็ไม่ทันเสียแล้ว คำพูดที่ไม่ควรพูดล้วนพูดไปหมดแล้ว ปฏิกิริยาแรกของเขาคือรีบไปปิดประตู ปิดประตูไป พอหมุนตัวกลับมาได้นิดเดียว เห็นเว่ยเฉินยางหน้าเครียดตรงเข้ามา “แท้ที่จริงแล้วพวกท่านรู้เรื่องกันหมดเลย ปิดบังเพียงข้าคนเดียว?”

 

 

“ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าใจเย็นๆ ก่อน อย่าเพิ่งวู่วาม มีอะไรจะพูดเรานั่งลงคุยกันดีๆ จะได้หรือไม่” เขาแทบอยากจะตีปากของตัวเอง ปากพอได้พูดก็พูดออกมาจนหมด ตอนที่ผู้หญิงอารมณ์ดีก็ดี ตอนที่อารมณ์ไม่ดีสามารถสู้จนถึงที่สุด ตอนนี้นางเป็นอย่างนี้ ถ้าหากปล่อยออกไป มีทางเดียวคือต้องตายเป็นแน่

 

 

ตอนที่เสี่ยวจินอวี๋หายตัวไปเฉินยางก็รู้สึกสังหรณ์ใจ ในวังหลวงนี้คนที่เป็นห่วงเฝิงเยี่ยไป๋มากที่สุดไม่ใช่ฮ่องเต้หรือ? แต่คิดอีกได้ว่า ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสวรรคตไปแล้ว ฮ่องเต้ในตอนนี้ก็เป็นเด็กคนหนึ่ง เด็กน้อยคนหนึ่งจะสามารถทำเรื่องอย่างนี้ได้อย่างไรกัน ต่อมาพอเฉาเต๋อหลุนทราบเรื่องเข้าก็ไม่ไดทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ นางยังประจบเฝิงเยี่ยไป๋ไม่ให้ไปทำกับบุคคลอื่น แต่ตอนนี้ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะอวี่เหวินลู่พูดมากเกินไป นางก็คงไม่กล้าไปไกลมาก คาดไม่ถึงว่าเด็กคนหนึ่งจะแผนสูง จะวางแผนได้ถึงเพียงนี้ เรื่องขโมยเด็กสามารถทำให้นางเดือดร้อนได้

 

 

ตอนนี้นางจะเรียกได้ว่าไฟสุมหัวอยู่ ไม่มีอะไรจะพูด ยังดีที่อวี่เหวินลู่ขัดขวางไว้ ตอนนี้จะพูดอะไรไปนางก็ฟังไม่เข้าใจ คงต้องรอให้ใจเย็นลงกว่านี้ก่อน แล้วค่อยอธิบายกับนางจะดีกว่า