บทที่ 76 ข้าคิดว่าข้ารักเจ้า

Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี

“นั่นสินะ ช่วงนี้สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวจึงลืมไปเลย เตรียมการไปถึงไหนแล้ว”

“ติดสินบนไว้เรียบร้อยแล้วเพคะ คราวนี้น่าจะเป็นไปตามแผน”

“ใช่แล้ว…ต้องเป็นเช่นนั้นสิ”

โรสมอนด์พยักหน้าด้วยสีหน้าพอใจ คราวนี้นางจะไม่ยั่วโทสะแค่จักรพรรดินี แต่ยังรวมถึงลูซิโอ ถ้าได้เห็นผู้ชายคนนั้นถูกหักหน้าบ้างก็คงไม่เลว

“อย่าให้มีอะไรผิดพลาด หากพลาดเหมือนตอนงานเลี้ยงรับรองภริยาคณะทูตอีกข้าไม่อยู่เฉยแน่”

“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย เรื่องนี้ไม่มีใครจับได้แน่นอน”

คลารามั่นอกมั่นใจและอันที่จริงโรสมอนด์ก็มั่นใจกับเรื่องคราวนี้มากเช่นกัน โรสมอนด์ยิ้มอย่างคาดหวัง ในใจก็เริ่มคิดว่าต้องทำอย่างไรจึงจะทำลายงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพให้ย่อยยับได้มากยิ่งขึ้น

***

“…”

ลูซิโอค่อยๆ ลืมตาก่อนจะยกศีรษะขึ้นและมองไปรอบๆ สภาพแวดล้อมรอบตัวทำให้เขาแน่ใจว่าตนนอนอยู่บนเตียงของตัวเองในตำหนักกลาง ลูซิโอพึมพำอย่างเลื่อนลอย

“…ฝันไปหรืออย่างไร”

เมื่อคืนเขามัวเมาด้วยฤทธิ์ยาจนไม่อาจแยกแยะความฝันกับความจริง สุดท้ายแล้วเขาก็ยังไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดกันแน่ ลูซิโอมุ่นหัวคิ้วด้วยคิดไม่ตก ในตอนนั้นเองนางกำนัลคนหนึ่งก็เข้ามา

“ฝ่าบาท เสวยน้ำหน่อยไหมเพคะ”

“…เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน” เขาถามอย่างสับสน “เมื่อคืนเราอยู่ที่ใด”

“…เอ่อ” นางกำนัลมีท่าทีลำบากใจก่อนจะตอบออกมาในที่สุด “พระองค์ร่วมหอกับพระจักรพรรดินีที่ตำหนักอีสเตเพคะ”

“เราหรือ?”

“เพคะ ฝ่าบาท เมื่อเช้าองครักษ์ตำหนักกลางพาพระองค์กลับมาที่นี่เพคะ”

“…แล้วจักรพรรดินีอยู่ที่ใด”

“…”

สำหรับคำถามนี้ นางกำนัลได้แต่ปิดปากเงียบ แต่ไม่นานนางก็ตอบตามสัตย์จริง

“ประทับอยู่ที่ตำหนักจักรพรรดินีเพคะ”

“…”

สีหน้าของลูซิโอดูราวกับได้รับความสะเทือนใจเล็กน้อย แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ เขาตอบรับก่อนจะให้นางกำนัลออกไป ครู่หนึ่งให้หลังเขาจึงจิบน้ำอุ่นๆ ที่นางกำนัลยกมาให้เมื่อครู่และตกอยู่ในภวังค์ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกผิด

“…ข้ามันบ้าไปแล้ว”

แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกของเขา แต่ก็เป็นครั้งแรกของแพทริเซีย เขาควรจะถนอมอีกฝ่ายให้มากกว่านี้… เขาตำหนิตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งยังทุบศีรษะด้วยกำปั้น ข้ามันก็แค่ขยะชิ้นหนึ่ง

“เฮ้อ…”

จะเป็นอะไรไหมนะลูซิโอกลุ้มใจ สีหน้าเคร่งเครียด เขาควรไปที่ตำหนักจักรพรรดินีหรือไม่ ถึงไปเขาก็คงไม่มีหน้าจะพบแพทริเซีย แต่ถ้าไม่ไปเขาซึ่งถูกเกลียดอยู่แล้วก็คงถูกเกลียดมากขึ้นไปอีก ลูซิโอนั่งนิ่งกว่าชั่วโมงเพื่อตัดสินใจว่าจะเลือกทางใด สุดท้ายเมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะไป เขาก็ลุกขึ้นเต็มความสูง

***

ความตั้งใจอันใหญ่ยิ่งที่จะนอนพักผ่อนตลอดทั้งบ่ายของแพทริเซียสุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า นางมีงานที่ต้องสะสางมากมายจนไม่อาจเสียเวลาทั้งวันไปกับความเจ็บปวดที่ได้รับชั่วข้ามคืน นอกจากนี้งานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพก็ใกล้เข้ามาทุกที

แม้จะบอกไว้ก่อนแล้วว่าจะไม่สนใจ ให้นางกำนัลจัดการกันเอง และจะเตรียมงานอย่างส่งๆ แต่กระนั้นงานที่นางต้องทำตามหน้าที่ก็ยังคงมีอยู่ สุดท้ายภาระงานของนางจึงแทบไม่ลดลงเลย

ระหว่างที่แพทริเซียกำลังตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อช็อกโกแลตที่จะใช้ในงานฉลองฯ นางกำนัลก็นำข่าวมาแจ้ง

“ฝ่าบาท พระจักรพรรดิเสด็จเพคะ”

“…”

แพทริเซียมุ่นหัวคิ้ว เรื่องเมื่อวานน่าจะทำให้ความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดอยู่แล้วยิ่งน่าอึดอัดมากกว่าเดิม นางไม่เข้าใจว่าจักรพรรดิมีเจตนาอันใดจึงทำให้มันแย่ลงไปอีก ใจนางอยากจะขับไล่ไสส่ง แต่ก็อดกลั้นไว้และกล่าวเชิญ

“…เชิญเสด็จ”

สิ้นเสียง จักรพรรดิก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางปกติ ทันใดนั้นแพทริเซียก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ข้าเจ็บปวดถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านถึง! หากจะพูดกันตามตรงแน่นอนว่าลูซิโอไม่อาจทำอะไรกับเรื่องนั้นได้ แพทริเซียจึงใช้ความเยือกเย็นเข้าข่มและระงับอารมณ์ไว้

“ถวายบังคมฝ่าบาท สุริยันและประมุขแห่งจักรวรรดิอันเกรียงไกร ขอมาวินอสจงมีแต่ความรุ่งเรือง” นางทำความเคารพอีกฝ่าย

“ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไร”

คำแรกก็ถามเรื่องสภาพร่างกายเลยหรือ แพทริเซียเอ่ยด้วยสีหน้าแปลกๆ

“…ขอประทานอภัยที่ต้องกราบทูลว่า หากจะบอกว่าไม่เป็นไรก็คงเป็นเรื่องโกหกเพคะ”

“เช่นนั้นให้ตามหมอ…”

“…ไม่ต้องถึงขั้นนั้นเพคะ”

ทำเช่นนั้นไยมิใช่ประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเมื่อคืนเป็นครั้งแรกของเราสองคน ลูซิโอคล้ายเพิ่งรู้ตัวว่าตนพูดไม่คิดจึงเอ่ยขอโทษ

“…ขอโทษ เป็นเราคิดไม่ถ้วนถี่”

“เรื่องที่พระองค์ต้องขอโทษ…หม่อมฉันคิดว่าไม่มีนะเพคะ” นางฝังกลบเรื่องเมื่อคืนด้วยน้ำเสียงเฉยชา “คนที่เข้าไปในอ้อมกอดของพระองค์ก่อนเป็นหม่อมฉันเองมิใช่หรือ พระองค์หาได้บังคับข่มเหง และอย่างที่พระองค์ทรงทราบ พวกเราต่างเป็นสามีภรรยากัน”

แม้แพทริเซียจะกล่าวเช่นนั้น แต่สีหน้าของนางก็ดูไม่ค่อยดีนัก

“เพราะฉะนั้น ไม่เป็นไรหรอกเพคะ ฝ่าบาท หากเรื่องเมื่อวานทำให้ไม่สบายพระทัย ทรงลืมมันไปเสียก็ได้”

“…เจ้าจะลืมหรือ”

“หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ หม่อมฉันก็จะลืมเพคะ”

สีหน้าของลูซิโอดูเจ็บปวดกับคำพูดนั้น แพทริเซียสะดุ้งเฮือกชั่ววูบ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้นางไม่อาจลดความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีลงได้

“หากเราบอกให้ลืม เจ้าก็จะลืม ช่วงเวลานั้นมันคงไม่สำคัญกับเจ้าเลยสินะ”

“ฝ่าบาทหาได้กอดหม่อมฉันด้วยความรัก เพียงแต่เป็นไปด้วยฤทธิ์ยา หม่อมฉันจึงไม่คิดว่าเรื่องเมื่อคืนมีความหมายอันใดต่อทั้งพระองค์และหม่อมฉันเพคะ”

“…แต่มันเป็นคืนแรก”

“นั่นมีความหมายอันใด” แพทริเซียพูดอย่างเย็นชา “สำหรับหม่อมฉันมันเป็นเพียงค่ำคืนแห่งความทุกข์ทรมานครั้งแรกเท่านั้นเพคะ”

“…ดูเหมือนเจ้าตั้งใจจะทำให้เราเจ็บปวด”

“เช่นนี้ก็แย่สิเพคะ ฝ่าบาท” นางหัวเราะอย่างขบขันราวกับฟังเรื่องไร้สาระ “ผู้ที่เป็นฝ่ายสร้างบาดแผลให้หม่อมฉันก่อนก็คือพระองค์ และผู้ที่ยอมรับว่าได้กระทำเช่นนั้นจริงก็คือพระองค์ ในขณะเดียวกัน… ผู้ที่ยอมให้พระองค์กอดเพื่อดูแคลนพระองค์มากยิ่งขึ้นก็คือหม่อมฉัน”

“…”

“เพราะฉะนั้น ลืมมันไปเสียเถิดเพคะ ลืมเรื่องเมื่อคืน ลืมทุกอย่าง”

“…ตอนที่กอดเจ้าเมื่อวานเราคิดอะไรตื้นๆ”

“…”

“คิดว่าเจ้าจะเห็นเราในสายตาบ้างหรือไม่ หลังจากร่วมหอกันแล้วเจ้าจะเปิดใจให้เราสักนิดได้หรือไม่”

“ว่ากันว่าสตรีมิอาจร่วมรักกับบุรุษโดยไร้ใจ… ไม่รู้สิเพคะ แต่เมื่อคืนหม่อมฉันกลับสามารถ” แพทริเซียกีดกันหัวใจของเขาอย่างแน่นหนา “เหล่าสตรีในย่านเริงรมย์เองก็ร่วมรักเพียงกายหาได้รวมใจ หากฝ่าบาทไม่สบายพระทัยก็ทรงคิดเสียว่า…”

“ไยเจ้าต้องลดเกียรติของตนด้วยความคิดเช่นนั้น หรือเจ้าคิดว่านั่นจะทำให้เราเจ็บปวดยิ่งขึ้น?”

“…”

“หากเป็นดังนั้นก็นับว่าเจ้าทำสำเร็จแล้ว เพราะเราฟังแล้วปวดใจยิ่ง”

“ทำไมหรือเพคะ” แพทริเซียถามตาใส “เหตุใดพระองค์ถึงปวดพระทัย”

ได้ยินคำถามของแพทริเซีย ลูซิโอก็ลังเล แต่สุดท้ายเขาก็เอ่ยปาก

“เรา…”

“…”

ไม่นะ อย่า

“เราคิดว่า…”

หุบปากนั้นเสีย อย่าพูดมากไปกว่านี้

“เราคิดว่าเรารักเจ้า”

และแล้วกล่องแพนโดราก็เปิดออก

รัก

ตอนที่เขาพูดคำนี้ออกมาแพทริเซียอดที่จะเย้ยหยันในใจไม่ได้

“รักหรือเพคะ”

“…”

“ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันพระองค์ยังรักมาร์เชอเนสอยู่เลยมิใช่หรือ”

“…”

“หม่อมฉันก็เป็นความรักประเภทนั้นหรือเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ทรงกำลังเข้าพระทัยผิดแล้ว” แพทริเซียกล่าวด้วยแววตาเศร้า “ฝ่าบาทกำลังเห็นหม่อมฉันเป็นเหมือนมาร์เชอเนสเพคะ หม่อมฉันที่เวทนาในแผลใจของพระองค์”

ตัวข้าที่ถูกท่านหลอกด้วยแผลใจนั้นและเผยใจจริงให้ท่านราวกับคนโง่

“หากมิใช่หม่อมฉัน แต่เป็นใครสักคนที่ฟังเรื่องราวของพระองค์และร้องไห้เพื่อพระองค์ พระองค์จะรักคนผู้นั้นไหมเพคะ”

“…เรา”

ความพลาดพลั้งในอดีตนั้นแจ่มชัด จักรพรรดิจึงไม่อาจพูดจาส่งเดช สิ่งที่แพทริเซียกล่าวมาถูกต้องทุกถ้อยคำ

“ปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมเพคะ ผลงานก็มีให้เห็นอยู่ทนโท่”

“…”

“แล้วก็เรื่องเปิดใจ เปิดใจอย่างนั้นหรือ” นางยิ้มหยัน “หม่อมฉันเปิดใจแล้วเพคะ ในอดีต ตอนที่ได้ฟังเรื่องของพระองค์”

ตอนนั้นข้าไม่ควรฟังเลย

“เพราะฉะนั้นโปรดทรงอย่าคาดหวังอะไรไปมากกว่านี้ คำว่ารักนั้นก็อย่าได้ตรัสออกมาอีกเลยเพคะ”

ข้าควรจะรู้ตัวได้แล้วว่าความรู้สึกสงสารที่มีให้ท่านเป็นเพียงความโอหังและการให้ที่เสียเปล่า

“เมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราทั้งนั้น”

คำพูดนั้นเปรียบดั่งคมมีดที่แทงทะลุหัวใจของลูซิโอ

***

ในที่สุดงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพก็มาถึง แพทริเซียสวมชุดเดรสสีขาวปลอด แม้ว่านางกำนัลจะแนะให้นางสวมชุดที่มีสีสันกว่านี้สักหน่อย ทว่า แพทริเซียไม่ได้มีใจจะอวยพรวันเกิดถึงเพียงนั้น

“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอเกียรติภูมิจงสถิตแด่จักรวรรดิ”

“ไม่พบกันนานนะคะ เคานต์กรังเซีย”

แพทริเซียยืนนิ่งเหมือนตุ๊กตาคอยทักทายขุนนางนับไม่ถ้วน นางท่องจำชื่อขุนนางจนขึ้นใจ เพียงสะกิดเล็กน้อยก็นึกออก การพูดชื่อเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาช่วยขจัดความคิดต่างๆ ที่อยู่ในหัวและช่วยให้ลืมความกังวลไปจนหมดสิ้น แต่พร้อมกันนั้นมันก็ทำให้สติของนางไม่แจ่มชัดด้วยเช่นกัน ราวกับตุ๊กตาที่ไร้ความรู้สึก

“วันนี้พระองค์ดูอ่อนเพลียนะเพคะ ฝ่าบาท”

มีร์ยาทนไม่ได้จึงกล่าวกับนางคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงห่วงใย แต่แพทริเซียกลับตอบอย่างเฉยเมย

“แต่ข้าไม่เป็นอะไรเลยนะ มีร์ยา”

“พระองค์รับสั่งเช่นนั้นเสมอเพคะ”

“เพราะข้าเพิ่งมีรอบเดือนกระมัง”

แพทริเซียกระซิบกระซาบแผ่วเบา มีร์ยาพยักหน้าเข้าใจ

“หากได้ปลีกตัวไปพักเร็วหน่อยคงดีไม่น้อย จังหวะไม่ดีเลยนะเพคะ”

“ช่วยไม่ได้นี่นะ”

แพทริเซียไหว้วานมีร์ยาด้วยสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนเล็กน้อย “ช่วยไปหยิบค็อกเทลหวานๆ ให้ข้าสักแก้วได้หรือไม่”

“ได้เพคะ ฝ่าบาทโปรดรอสักครู่ หม่อมฉันจะรีบกลับมา”

“อืม ค่อยๆ เดินเถอะ”

มีร์ยาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ และเดินไปหยิบค็อกเทล ในระหว่างนั้นแพทริเซียมีอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อยจนซวนเซ คนผู้หนึ่งคว้าร่างนางไว้

“ระวังหน่อยสิ”

“…”

น้ำเสียงที่คุ้นเคยจนน่าขนลุกทำให้สีหน้าของแพทริเซียแข็งทื่อ นางค่อยๆ ยืดตัวให้ตรงก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเขา

“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญเพคะ”

“ทุกคนที่เราพบล้วนกล่าวเช่นนี้”

เขายิ้มขื่น สีหน้าแสดงออกชัดว่าเบื่อหน่ายเต็มที

“…”

แพทริเซียไม่กล่าวอันใด ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ตอนพบกับเขาครั้งแรกหลังจากใช้เวลาร่วมกันทั้งคืนก็ฉายวาบขึ้นมาในหัว ในตอนนั้นหากนึกถึงเรื่องในคืนนั้นขึ้นมา ความรู้สึกต่างๆ ก็จะหวนกลับมาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้นางกลับไม่รู้สึกอะไรแล้ว ทว่า กลับกลายเป็นติดค้างในใจว่าไม่น่าผลักเขาให้จนมุมเช่นนั้น…

“ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ สีหน้าดูซีดเซียวนัก”

“เครื่องสำอางไม่ค่อยติดผิวกระมังเพคะ”

“ว่าไปนั่น”

เขาแย้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แพทริเซียไม่ได้พูดอะไร นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้รอบเดือนของนางมามากผิดปกติ เมื่อทนไม่ไหว นางก็สารภาพไปตามตรง

“…รอบเดือนของหม่อมฉันมาพอดี”

“อ้อ” เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าประหม่าเล็กน้อย “คงลำบากแย่ เจ้าไปพักไม่ดีกว่าหรือ”

“ต้องทนเพคะ หม่อมฉันต้องรักษาหน้าที่”

“หากเร่งพิธีมอบดอกไม้ให้เร็วขึ้นเจ้าก็น่าจะไปพักได้แล้วกระมัง”

“…หม่อมฉันทนได้เพคะ ไม่ทำให้ฝ่าบาทและราชวงศ์ต้องเสียเกียรติ…”

“สุขภาพของจักรพรรดินีต้องมาก่อนสิ”

“…”

แพทริเซียไม่อาจพูดอะไรต่อได้ ลูซิโอกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มรื่นหู

“เราจะเปลี่ยนลำดับของงานสักหน่อย เสร็จจากพิธีมอบดอกไม้แล้วเจ้าก็ไปพักเสีย นี่เป็นคำสั่ง”

“…เพคะ”

สิ้นคำตอบของแพทริเซียคล้ายว่าสีหน้าของลูซิโอดูสดใสขึ้น เห็นดังนั้นใจของแพทริเซียก็ปั่นป่วน

“ว่าแต่วันนี้เจ้าก็อยู่คนเดียวสินะ”

“วันนี้มีร์ยาก็ไปหยิบค็อกเทลให้อีกเช่นเคยเพคะ ส่วนองครักษ์ของหม่อมฉันไปทำธุระส่วนตัว พี่สาวนั้นแจ้งว่ามีธุระจึงจะมาสายเล็กน้อย”

“พระจักรพรรดิ”

น้ำเสียงไม่น่าฟังดังแทรกขึ้นมา แพทริเซียได้ยินดังนั้นก็แทบจะเก็บซ่อนสีหน้าไว้ไม่อยู่