บทที่ 488 ไม่สงบ

บัลลังก์พญาหงส์

เห็นถาวจวินหลันคิดมาก หลี่เย่ก็หันกลับมาปลอบประโลมนางแทน “เจ้าก็ไม่ต้องกลัว เรื่องนี้จวนตวนชินอ๋องไม่เสียเปรียบ ต่อให้เสียเปรียบแล้ว ใครก็ไม่ทีทางระบายอารมณ์กับพวกเราเป็นแน่ กลับเป็นว่าจะหาสิ่งชดเชยเราด้วยซ้ำไป” 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่พูดเช่นนี้ ก็พยักหน้าไม่พูดเรื่องนี้อีก พูดแค่เพียงเรื่องยิบย่อยทั่วไปเพื่อเปลี่ยนเรื่อง 

 

 

แน่นอนว่านางย่อมต้องรู้ว่าไม่พูดเรื่องนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยผ่านไป เรื่องนี้เกรงว่าคงจะกระทบไปหลายวัน รอจนตกดึกหลี่เย่ก็สะดุ้งตื่นจากภวังค์ฝันทีหนึ่ง แล้วนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งไม่พูดไม่จา ในใจของนางก็ยิ่งเข้าใจว่า หลี่เย่ก็คงผ่านอุปสรรคนี้ไปได้ยากเช่นเดียวกัน 

 

 

แม้จะบอกว่าการปลอบประโลมไม่ได้มีผลแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลี่เย่จะไม่สนใจ 

 

 

ถาวจวินหลันเองก็ไม่พูดจา นั่งนิ่งๆ กว่าค่อนคืนเป็นเพื่อนหลี่เย่ ทั้งสองคนอิงแอบอยู่ข้างกัน รอจนอารมณ์เริ่มสงบ ถาวจวินหลันก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว รู้เพียงแค่ตื่นมาวันรุ่งขึ้นก็มีผ้าห่มคลุมอยู่บนร่างเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่เห็นร่างของหลี่เย่ พอเรียกคนเข้ามาปรนนิบัติตนเองล้างหน้าล้างตา อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ถาวจวินหลันก็ถามชุนฮุ่ยว่า “ท่านอ๋องไปตั้งแต่เมื่อไร?” 

 

 

ชุนฮุ่ยรีบเอาเศษธูปหอมที่เหลืออยู่ในกรงรมควันออกมาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนสลับธูปหอมอีกกลิ่นหนึ่งเข้าไป แล้วใช้ไม้จิ้มเงินพลิกถ่านที่อยู่ด้านล่างขึ้นมา พลางตอบว่า “ฟ้าเพิ่งจะสว่างไม่นานก็ออกจากจวนไปเจ้าค่ะ พี่หงหลัวให้ห้องครัวเล็กเตรียมทำบะหมี่ถ้วยหนึ่งเอาไว้ ท่านอ๋องทานแล้วถึงได้เดินทางออกไปเจ้าค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้าอย่างพอใจ อากาศหนาวเพียงนี้ หากออกไปโดยไม่ได้กินข้าว ถูกลมเย็นพัดเข้าหาแล้วยังรู้สึกหิวย่อมต้องไม่ดีเป็นแน่ บะหมี่นั้นอุ่น กินเข้าไปแล้วก็อุ่นไปทั้งร่าง แม้ว่าจะมาถึงศาลาว่าการแล้วก็ยังไม่รู้สึกหนาว หงหลัวคิดอย่างรอบคอบ สมแล้วที่เป็นอันดับหนึ่งในเรือนเฉินเซียง 

 

 

เมื่อล้างหน้าสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ถาวจวินหลันเพิ่งจะทานข้าวเช้าเสร็จ ภายในวังหลวงก็มีราชโองการสั่งลงมา บอกว่าไทเฮาให้นางเข้าไปในวังหลวงปรนนิบัติยามป่วย และคิดถึงซวนเอ๋อร์ ให้นางพาซวนเอ๋อร์เข้าไปด้วย 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้แปลกใจ หากไทเฮาจะมีเรื่องอยากกำชับกับนางเล็กน้อย อย่างไรเรื่องนี้ก็จะต้องจัดการให้ดี มิเช่นนั้นเกิดเรื่องไม่เหมาะสมก็คงทำให้คนเห็นเป็นเรื่องขบขันแน่นอน 

 

 

“เจ้ากลับไปรายงานไทเฮา บอกว่าข้าจะตามไป” พอพูดจบ ถาวจวินหลันก็หันไปสั่งให้คนจัดการซวนเอ๋อร์ให้เรียบร้อย ในเมื่อจะเข้าวังหลวง ซวนเอ๋อร์ก็จะต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย 

 

 

เพราะคำนึงถึงบรรยากาศภายในวังหลวงไม่ค่อยดีเท่าไร ถาวจวินหลันจึงไม่กล้าให้ซวนเอ๋อร์สวมเสื้อผ้าสีสดมากเกินไป เสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน สวมกางเกงสีแดงไหม และยังมีรองเท้ายาวสีดำหนังกวางอีกคู่หนึ่ง ทั้งร่างนั้นมีเพียงแค่เครื่องประดับหยกที่บริเวณเอวและสร้อยคอเท่านั้น และยังมีปะการังสีแดงที่สลักเป็นรูปกิเลนน้อยบนหมวกผิวสุนัขจิ้งจอก 

 

 

เมื่อซวนเอ๋อร์ได้ยินว่าจะต้องเข้าวังหลวง ก็ถามอย่างลังเล “น้องสาวไปด้วยหรือไม่ขอรับ?” 

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “หนาวเกินไป น้องไม่ได้ไปด้วย มิเช่นนั้นคงแข็งเป็นแน่ พวกเราไปแค่สองคน” 

 

 

ซวนเอ๋อร์พยักหน้า ทำท่าทางเป็นผู้ใหญ่เข้าไปหอมแก้มลาหมิงจู แล้วถึงเดินตามถาวจวินหลันออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์ 

 

 

ถาวจวินหลันอุ้มซวนเอ๋อร์ขึ้นไปบนเกี้ยว รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบ พูดตามจริงแล้ว นางไม่อยากเข้าไปในวังหลวงเวลานี้ บรรยากาศภายในวังหลวงไม่ค่อยดี นางกลัวว่าจะทำให้ซวนเอ๋อร์ตกใจ และกลัวว่าถึงเวลานั้นตนเองจะตกที่นั่งลำบากและเสียหน้า 

 

 

แต่ไทเฮาเรียกพบ ไฉนเลยนางจะปฏิเสธได้? พูดไปแล้ว ไม่ว่าจะยืดหัวออกไปหรือหดหัวลงมาก็ล้วนเจอแต่คมดาบ ไม่สู้ว่าเด็ดขาดให้เร็วเลยจะดีกว่า 

 

 

พอเข้าไปภายในวังหลวง ด้วยไทเฮาเอ็นดูซวนเอ๋อร์ ดังนั้นจึงให้คนคอยท่าไว้ ส่งเกี้ยวอุ่นของตนเองไปรอ ดังนั้นตลอดทางจึงไม่ถูกลมเย็นเท่าไรนัก แล้วตรงเข้าไปยังประตูใหญ่ของวังหย่งโซ่ว 

 

 

ด้วยร่างกายของไทเฮาไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นจึงนอนเอนตัวอยู่บนตั่งนอน บนร่างนั้นยังมีผ้าไหมห่มเอาไว้ ถาวจวินหลันมองแวบหนึ่งก็รู้ว่าครั้งนี้วุ่นวายครั้งใหญ่แล้ว สีหน้าของไทเฮาไม่ค่อยน่าดูนัก ท่าทางก็ดูเชื่องช้า เหมือนว่าแก่ลงไปหลายปีนัก 

 

 

ต้องรู้ว่าไทเฮาอายุเยอะมากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าบำรุงร่างกายดี คนปกติจะมีอายุยืนถึงขนาดนี้ได้ที่ไหนกัน? เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น พูดตามจริงแล้ว ไทเฮาดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก 

 

 

ถาวจวินหลันพาซวนเอ๋อร์ไปทำความเคารพ แล้วก็ดันซวนเอ๋อร์ออกไป “ซวนเอ๋อร์ เจ้าไปทำความเคารพเสด็จทวดเสีย” 

 

 

อย่างไรซวนเอ๋อร์ก็ยังเด็ก เห็นไทเฮามีท่าทีเช่นนี้ก็ตกใจเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งไม่กล้าเดินขึ้นไปข้างหน้า เพียงแค่กำชุดของถาวจวินหลันเอาไว้แน่นไม่กล้าปล่อยมือ  

 

 

ถาวจวินหลันประหม่าเล็กน้อย และรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา ไทเฮาเห็นเช่นนี้ จะต้องรู้สึกไม่ดีแน่นอน แม้จะบอกว่าไม่ลงมือทำอะไรซวนเอ๋อร์ แต่ก็ต้องไม่มีความสุขแน่นอนใช่หรือไม่? 

 

 

ถาวจวินหลันจึงพูดเร่งอีก แต่ซวนเอ๋อร์ยังคงไม่ขยับ 

 

 

กลับเป็นไทเฮาที่เอ่ยปากแทน “อย่าทำให้เขาตกใจเลย ให้คนพาเขาออกไปเล่นเถิด” 

 

 

ถาวจวินหลันมองไปยังซวนเอ๋อร์ ส่งสายตาไปให้ปี้เจียวอย่างจนใจ เรียกให้นางอุ้มซวนเอ๋อร์ไปที่อื่น 

 

 

“ไทเฮาเพคะ” รอจนซวนเอ๋อร์เดินออกไป ถาวจวินหลันก็เรียกไทเฮาเสียงเบา และไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรต่อไป หยุดไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรร่างกายของท่านก็สำคัญที่สุดนะเพคะ” 

 

 

ไทเฮาฝืนยิ้ม “มีอะไรสำคัญ แก่ขนาดนี้แล้ว ขัดหูขัดตาคนอื่นมานานแล้ว” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเวิ้งว้าง รีบแย้งกลับไปว่า “ไทเฮาหมายความว่าอย่างไรเพคะ? ท่านอายุยืนนาน ไม่รู้มีคนมากมายเท่าไรชื่นชมยินดีนะเพคะ” 

 

 

ไทเฮาเพียงแค่พยักหน้า “ใครจะดีใจหรือไม่ดีใจ ในใจของข้ารู้ดี วันนี้ที่เรียกให้เจ้ามาก็ด้วยมีเรื่องอยากกำชับเล็กน้อย” 

 

 

“ไทเฮาท่านพูดมาเถิดเพคะ หม่อมฉันฟังอยู่” ไทเฮาเป็นเช่นนี้แม้ว่าจะไม่พอใจไทเฮามากเพียงใด ก็สลายหายไปในพริบตา พูดกันตามจริงแล้วนางไม่หวังให้เกิดอะไรขึ้นกับไทเฮา สำหรับหลี่เย่แล้ว ไทเฮาไม่เพียงแค่เป็นเสด็จย่าที่รักและเอ็นดูเขาเท่านั้น ทั้งยังเป็นที่พึ่งพิงอีกด้วย ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ นางเองก็หวังให้ไทเฮามีอายุยืนอยู่ดี       

 

 

ไทเฮาถอนหายใจ เสียงเบาลงหลายส่วน “เรื่องของจวงผิน เจ้าคงจะรู้แล้วใช่หรือไม่” 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “ทราบแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าวางแผนรับมืออย่างไร?” ไทเฮาถามอีก 

 

 

ถาวจวินหลันพูดแผนการของตนทั้งหมด “หม่อมฉันกำชับคนในจวนทั้งหมดแล้วว่าไม่ให้พูด อีกทั้งหม่อมฉันก็ได้ปรึกษากับท่านอ๋องเรื่องเรือนที่จัดเตรียมไว้แล้วเพคะ คิดจะให้จิ้งหลิงและกั่วเจี่ยเอ๋อร์ย้ายเข้าไป อย่างไรก็เป็นลูกสาวคนโตของท่านอ๋อง ควรที่จะสมหน้าตาเสียหน่อยเพคะ” 

 

 

ไทเฮาพยักหน้าติดๆ กัน มองถาวจวินหลันอย่างชื่นชม “เจ้าจัดการได้เหมาะสม” เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนว่าจัดเก็บเรือนไว้เพื่อกั่วเจี่ยเอ๋อร์ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกู้ซี ส่วนคนอื่นก็พูดได้ว่าจวนตวนชินอ๋องนั้นไม่ได้คิดจะรับคนใหม่เลยแม้แต่น้อย 

 

 

นานๆ ครั้งไทเฮาจะชื่นชมนาง ทว่าถาวจวินหลันกลับไม่ได้ดีใจแม้แต่น้อย เพียงแค่ฝืนยิ้ม “ไทเฮาชมเกินไปแล้วเพคะ” 

 

 

“จวงผินเป็นญาติผู้น้องของตวนชินอ๋อง ตอนนี้ได้รับการแต่งตั้งก็ถือเป็นเรื่องดี ในเมื่อเจ้าเข้าวังหลวงมาแล้ว ก็ไปแสดงความยินดีกับนางเถิด ให้คนอื่นเห็นว่าพวกเราลูกหลานตระกูลกู้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” ตอนที่ไทเฮาพูดเช่นนี้ก็ดูกระชุ่มกระชวยขึ้นมาเล็กน้อย หายใจเข้าไม่ทัน ไออยู่นาน 

 

 

ถาวจวินหลันตกใจรีบไปช่วยไทเฮา ความกังวลในใจยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไทเฮาเป็นเช่นนี้จะทนผ่านฤดูหนาวไปได้หรือไม่? ก่อนหน้านี้ตอนอากาศร้อน ไทเฮาก็ป่วยมาแล้วรอบหนึ่ง คราวนี้เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้อีกจะไม่น่ากังวลได้อย่างไร? 

 

 

พอไทเฮาสงบแล้ว ถาวจวินหลันก็ผ่อนลมหายใจ พลางพูดกล่อมว่า “ไทเฮารักษาร่างกายให้ดีเพคะ อย่าเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องเหล่านี้อีกเลย อย่างไรเรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว ไม่อาจเรียกคืนมาได้แล้วเพคะ” 

 

 

ไทเฮาใช้ผ้าเช็ดปากเบาๆ หัวเราะขมขื่น “แก่แล้ว ไร้ประโยชน์” 

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง ไทเฮาก็พูดอีกว่า “พูดตามจริงแล้ว เรื่องครั้งนี้ก็เพราะว่ากู้ซีถูกคนใส่ร้าย ข้าคิดมาตลอดว่าแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ที่ทำร้ายนาง” 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นไทเฮาวิเคราะห์เช่นนี้ แต่เดิมที่ไม่คิดจะแทรก ทว่าสุดท้ายก็อดพูดแทรกไม่ได้ “หม่อมฉันกลับไม่คิดเช่นนั้นเพคะ สุดท้ายแล้วจวงผินก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ใครจะคิดเช่นนี้เล่าเพคะ? พูดตามตรง ก็คงพุ่งเป้ามาที่ท่านอ๋อง เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ท่านอ๋องเสียหน้าไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของท่านอ๋องกับฮ่องเต้ก็คงได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันเพคะ” 

 

 

ที่ถาวจวินหลันไม่รู้ก็คือ นางทำให้คำพูดต่อไปของไทเฮาจุกอยู่ที่ลำคอ 

 

 

ไทเฮาขยับตัว สุดท้ายแล้วก็พยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น” การวิเคราะห์นี้ถือว่าอธิบายได้ละเอียดในทุกแง่ เพียงแค่เป็นเช่นนี้ แต่เดิมคนที่ถูกสงสัยนั้นก็ต้องถูกคัดเลือกอีกครั้ง อย่างไรจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ก็ไม่เหมือนกัน 

 

 

อย่างเช่นถ้าพุ่งเป้ามาทางกู้ซีเพียงคนเดียว ถาวจวินหลันก็จะถูกสงสัยคนแรก แต่ถ้าหากพุ่งเป้ามาทางหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็จะถูกตัดออกไปในทันใด 

 

 

ไทเฮาครุ่นคิดนิ่งอยู่ในภวังค์ครู่ใหญ่ไม่พูดจา ถาวจวินหลันเองก็ครุ่นคิดอยู่ในใจ 

 

 

“ข้าให้คนเตรียมของขวัญเอาไว้ให้เจ้า เจ้าไปหาจวงผินเสียหน่อย” ไทเฮาได้สติกลับคืนมา เวลาก็ใกล้เย็นแล้ว จึงพูดว่า “ซวนเอ๋อร์ให้อยู่กับข้าที่นี่ ไม่ต้องเอาไปด้วย” 

 

 

ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะคิดรอบคอบเช่นนี้ จึงรีบพยักหน้ารับคำ ส่วนซวนเอ๋อร์นั้นนางไม่อยากพาไปด้วยจริงๆ 

 

 

แต่ก็ยังอดกำชับซวนเอ๋อร์เล็กน้อยไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าปี้เจียวกล่อมซวนเอ๋อร์อย่างไร ตอนที่ซวนเอ๋อร์เข้ามาอีกครั้งก็ไม่กลัวไทเฮาอีกแล้ว แต่กลับพุ่งเข้าไปเรียกเสด็จทวดอย่างสนิทสนม เรื่องนี้ทำให้ถาวจวินหลันแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง 

 

 

ไทเฮาเองก็เริ่มดีใจ เทียบกับรอยยิ้มฝืดเคืองก่อนหน้านี้แล้ว รอยยิ้มของไทเฮาตอนนี้ยิ่งจริงใจมากกว่าเดิม 

 

 

จางหมัวหมัวเองก็ถอนหายใจ หยอกล้อกับซวนเอ๋อร์ “ซวนเอ๋อร์อีกครู่หนึ่งไปดูไทเฮาทานยาดีหรือไม่? หากไทเฮาทานยาหมดแล้ว ข้าจะให้ซวนเอ๋อร์กินของว่าง” 

 

 

ซวนเอ๋อร์รับปากอย่างชัดถ้อยชัดคำ พลางพูดขอว่า “จะเอาดอกท้อทอด” 

 

 

ไทเฮารับปากทันที “เอาเถิดๆๆ ดอกท้อทอดก็ดอกท้อทอด” 

 

 

เห็นสถานการณ์เช่นนี้ถาวจวินหลันก็โล่งใจ จึงเดินออกไปด้วยความสบายใจ แม้จะบอกว่าจวงผินเพิ่งได้รับการแต่งตั้ง แต่เพราะว่าพระราชวังมีวังอยู่เยอะ ดังนั้นจึงมีวังของตนเองเลย 

 

 

ถาวจวินหลันเดินมาตามทาง ในใจก็ครุ่นคิดว่าควรพูดอะไรไม่ควรพูดอะไร 

 

 

แต่เมื่อคิดเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว นางก็ยังรู้สึกลังเล ไม่สบายใจอยู่ดี รอจนเดินมาถึงวังเสียนฝูของจวงผิน ถาวจวินหลันมองพระราชวังวิจิตรสวยงาม ฉับพลันในหัวก็คิดถึงเรื่องหนึ่งได้ ก่อนหน้านี้ไทเฮาคิดว่ามีคนมุ่งร้ายต่อกู้ซี และคนที่ไทเฮาสงสัยเป็นใครกัน?!