ตอนที่ 535 - โลหิตสีทอง (2)

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 535 – โลหิตสีทอง (2)

เถี่ยต้าโพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น ด้วยความยินดี นับตั้งแต่เขาเข้าร่วมสำนักคากัต เจี้ยนเฉินนั้นก็นับได้ว่าเป็นพี่น้องของเขา เถี่ยต้าหวนนึกถึงความทรงจำของเขาและเจี้ยนเฉินที่มันสลักลึกเข้าไปในกระดูกของร่างกายของเขา หลังจากการแข่งขันการล่าสัตว์อสูรในป่า ดังนั้นพวกเขาไม่มีวันจะลืมมัน

เมื่อเจี้ยนเฉินนั้นราวกับกำลังถูกปกคลุมด้วยภูผา สิ่งที่ปรากฏ มันก็ราวกับอ้อมกอดของหมีดำ เขาก็รู้สึกถึงพลังงานจำนวนมากที่หดรัดตัวเขาไว้ เขาตระหนักว่านี่คือแรงของเถี่ยต้า เจี้ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่าน กำลังของเถี่ยต้านั้นแข็งแรงกว่าเขาในอดีต แม้จะมีร่างกายบรรพกาล เขายังพบว่ามันค่อนข้างยากที่จะหลุดจากอ้อมกอดนี้

ผลักดันแขนของเถี่ยต้าเบา ๆ เจี้ยนเฉินมองชายที่มีร่างที่เหมือนกับหมี เถี่ยต้า เจ้าสูงขึ้นมาก เจ้าเติบโตมากตั้งแต่ก่อนนั้น

เถี่ยต้าได้สงบลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น เขาเกาท้ายทอย แม้กระทั่งข้าก็ไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ในกรณีนี้ ข้าได้เติบโตมากใน 2 ปี ตามที่เขาพูด ดวงตาดูเหมือนว่าเขานึกถึงบางสิ่งบางอย่างและก็กังวลในสายตาของเขา

เจี้ยนเฉินจับความกังวลในแววตาของเขาได้ ทันใดนั้น เขาถามทันทีในความกังวล เถี่ยต้า ถ้าเจ้ามีปัญหาอะไร ให้บอกกับข้า และข้าจะช่วยให้เจ้าผ่านมันไปได้

มันเป็นอะไร ไม่มีอะไรเลย เจียงหยางเซียงเทียน นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ามาที่บ้านของข้า มานั่งและพูดคุยกันเถิด เถี่ยต้าดันไหล่เจี้ยนเฉินด้วยมือและเริ่มที่จะนำเขาไปบ้านไม้ใกล้เคียง ก่อนที่พวกเขาจะก้าวออกไป เถี่ยต้าก็ตระหนักได้ว่า เขาได้ลืมหมิงตงโดยสิ้นเชิง เขาหัวเราะเล็กน้อยถึงและกล่าวเสียงต่ำกับเจี้ยนเฉิน เจียงหยางเซียงเทียน นั่นคงเป็นสหายของเจ้า

เจี้ยนเฉินหัวเราะ และแนะนำเขา นี่คือหมิงตง สหายสนิทของข้า

เถี่ยต้าหันมองไปที่หมิงตง ถ้าเจ้าเป็นพี่ชายของเจียงหยางเซียงเทียน เจ้าก็เป็นพีชายของข้า พี่หมิงตง ไปกันเถิด

เถี่ยต้า พาสหายเข้ามาในหมู่บ้านของเรา

เจ้ายักษ์ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนเจ้า

เจ้าน้องชายตัวยักษ์ สองคนนั้นเป็นใคร ?

ตอนนี้ชาวบ้านทุกคนได้ล้อมรอบทั้งสามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทุกคนเรียกเขาอย่างสนิทสนมและรักใคร่

รอยยิ้มที่ลึกซึ้ง เถี่ยต้าประทับใจทุกคนที่ได้รับการต้อนรับเขา หลังจากทุกคน พวกเขายังคงอยู่บนเส้นทางของพวกเขาไปที่บ้านของเถี่ยต้า

ภายในบ้านของเขา ไม่ใหญ่เกินไปและจะแยกออกเป็น 6 ส่วน ห้องครัว ห้องอาหาร และห้องนอน นอกเหนือจากห้องพักของตัวเอง พ่อแม่ของเขาที่ใช้ร่วมกันหนึ่ง ปู่ย่าตายายของเขาที่ใช้ร่วมกัน และสุดท้ายถูกครอบครองโดยท่านปู่ของเขาที่มีอายุราวสักร้อยปีแล้ว ที่ซึ่งบ่มเพาะพลังเซียน

เจี้ยนเฉินและหมิงตงนั่งลงบนโต๊ะ เถี่ยต้าเอาสุราข้าวสามัญออกมา 1 ขวด และเนื้อแช่แข็งให้กับทั้งสองคน

เจียงหยางเซียงเทียน หมิงตง บ้านของข้านั้นไม่อุดมสมบูรณ์เฉกเช่นคนในเมือง ดังนั้นข้าเพียงสามารถนำออกมานี้ให้ เห็นอาหารและสุราที่น่าเศร้า เถี่ยต้าทำได้แต่เพียงฝืนยิ้มด้วยความละอายใจ

หมิงตงและเจี้ยนเฉินไม่ได้จู้จี้ เคลื่อนร่างของเขา เขาโบกมือขึ้นและกล่าวคำไม่กี่คำที่สุภาพ ทั้งสามเริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการกิน แม้มีอาหารจะมีรสชาติธรรมดา นี่ก็ดีที่สุดที่เถี่ยต้าจะสามารถนำมันออกมาได้

วางชิ้นของเนื้อสัตว์นานาชนิดเข้าไปในปากของเขา เจี้ยนเฉินจ้องมองเถี่ยต้าและพูดด้วยเสียงค่อนข้างชัดเจน เถี่ยต้า ข้าได้ยินว่า เจ้าออกจากสำนักคากัต เมื่อสองปีที่ผ่านมาและไม่เคยกลับไป เกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อเจ้ากลับบ้าน ?

ทันใดนั้น ดวงตาของเถี่ยต้าเป็นประกายในความหวาดกลัว กับคำพูดของเจี้ยนเฉิน ปากของเขาเปิดขึ้น มีแม้เพียงเล็กน้อยของเสียงที่ได้ยิน

กลืนชิ้นสุดท้ายของเนื้อในปากของเขา เจี้ยนเฉินจ้องเขม็งไปที่เถี่ยต้าและถามด้วยเสียงเงียบสงบ เถี่ยต้า บอกมา สถานการณ์ใดที่เจ้าได้เผชิญ ? หากไม่เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่ต้องนับถือว่าข้าเป็นพี่น้องของเจ้า

ทันใดนั้นเถี่ยต้าโบกมือของเขา ไม่ ไม่ เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เจ้าเป็นพี่น้องที่ดีที่สุดที่ข้าเคยมี

แล้วสิ่งใด เป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าเดือดร้อนใจ พูดมันออกมา ข้าอาจช่วยเจ้าได้ แรงกดดันจากเจี้ยนเฉิน สุดท้ายแล้วความจริงที่ว่า มันมีปัญหาบางสิ่งเกิดขึ้นกับเถี่ยต้า เถี่ยต้านั้นเป็นหนึ่งในสหายของเจี้ยนเฉิน หากว่าเขานั้นเผชิญกับปัญหา เจี้ยนเฉินก็ไม่กล้าที่จะนั่งดูดาย

เถี่ยต้า ไม่ต้องกังวล พูดออกมา ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งใด เจี้ยนเฉินไม่ใช่คนพเนจร เขาเป็นบุคคลในสำนักคากัต ภายในอาณาจักรเกอซุน ไม่มีอะไรที่เจี้ยนเฉินแก้ไขไม่ได้ หมิงตงกล่าวออกมา เห็นสายตาก็เพียงพอสำหรับหมิงตง และถือว่าเขาเป็นสหายที่ดี ผู้ที่ซื่อสัตย์ บ่อยครั้งจะเต็มใจช่วยเหลือผู้อื่น และส่วนมากจะไม่หักหลัง

เถี่ยต้าเหมือนว่าเขายังไม่ได้ตัดสินใจ และดูเหมือนจะลังเล หลังจากลังเลสักพัก ท้ายที่สุดเขาก็นั่งลงและเอ่ยว่า เจียงหยางเซียงเทียน หมิงตง มันไม่สะดวกที่จะพูดที่นี่ ขอไปขึ้นภูเขาก่อน

ย่อมได้

โดยไม่ลังเล เจี้ยนเฉินและหมิงตงลุกขึ้นยืน ติดตามเถี่ยต้าไปยังเส้นทางเนินเขา หลังจากที่พวกเขาได้เดินหลายกิโลเมตรในระดับความลึกของเทือกเขา พวกเขาก็หยุดลง

เถี่ยต้า ด้วยเหตุอันใด เราต้องมาไกลจากหมู่บ้านของเจ้า ? หมิงตงถามจากความอยากรู้

ความเป็นไปในตอนนี้ของเถี่ยต้าคือกังวลมาก กับคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ในความกังวลลึก หันมองไปทางซ้ายขวาอย่างรอบคอบ และจากนั้นมีท่าทีระมัดระวัง เขาดูว่ามีใครเข้ามาใกล้หรือไม่ ก่อนที่จะผ่อนลมหายใจออกมา หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาถามเจี้ยนเฉินอย่างเป็นกังวล เจียงหยางเซียงเทียน โลหิตของมนุษย์เป็นสีอะไร ?

นั่นจะต้องตอบหรือไม่ แน่นอนมันเป็นสีแดง ทำไมเจ้าต้องถามออกเช่นนั้น เจี้ยนเฉินถามออกทันที

นอกเหนือจาก สีแดง มันมีสีอื่นอีกหรือไม่ ? ” เถี่ยต้าถาม

ใช่ มีแต่เฉพาะสัตว์อสูรเท่านั้นที่จะมีสีดังกล่าว เจี้ยนเฉินตอบกลับ

“แล้วจะสีโลหิตนั้นจะปรากฏภายในมนุษย์ได้หรือไม่ ? เถี่ยต้ายังคงกังวลในจุดนี้

หมิงตงตอบคำถามทันทีที่เถี่ยต้าถาม อะไร นั่นแน่นอน อย่างน้อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมันเป็นเช่นนั้น แล้วหมิงตงรับรู้สิ่งที่แปลกประหลาดใจ เขาหันกลับมองเถี่ยต้าและถาม เถี่ยต้า ทำไมต้องเจ้าต้องถามคำถามที่แปลกประหลาดเช่นนั้น เว้นแต่…

เจี้ยนเฉินตระหนักถึงสถานการณ์และรู้สึกสับสนเช่นกัน

กุมหัวของเขาในความเจ็บปวด คิ้วเถี่ยต้าขมวดมุ่นพร้อมกับความกังวล เจียงหยางเซียงเทียน หมิงตง ข้าจะกล่าวความลับของข้า เจ้าไม่สามารถบอกนี้ผู้อื่น พ่อแม่ของข้าก็ไม่ได้รู้เกี่ยวกับความลับนี้

เจี้ยนเฉินและหมิงตงต่างก็พยักหน้าลงพร้อมกัน

เจ้าสองคนสงสัยหรือไม่ หากโลหิตของข้ามันไม่เป็นสีแดง แต่มันเป็นสีอื่นซึ่งอาจจะพบในสัตว์อสูร รวมกับร่างกายของข้า เจ้าจะคิดว่าข้าอาจไม่ใช่มนุษย์ เถี่ยต้าพูดอย่างปวดร้าว

หมิงตงและเจี้ยนเฉินมองที่อื่น เกิดความสะดุ้งระหว่างทั้งสอง คำพูดของเถี่ยต้าเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงขึ้นกลางใจของทั้งสองและตกตะลึงกันชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นใคร ย่อมตอบด้วยความมั่นใจ ว่ามนุษย์มีโลหิตสีอะไร โดยไม่ต้องสงสัย มันคือสีแดง โดยไม่มีโอกาสใด ๆ ของมัน ที่เป็นอย่างอื่นไปได้ สีอื่น ๆ ไม่ว่าจะปรากฏในสัตว์อสูรก็ไม่เคยที่จะเห็นในมนุษย์ก่อน

เป็นไปไม่ได้ ที่โลหิตของมนุษย์จะเป็นสีอื่น เถี่ยต้า เจ้าแน่ใจหรือ บางทีเจ้าอาจดูผิดไปก็ได้ หลังจากที่ตกตะลึง หมิงตงกล่าวออกด้วยความไม่อาจเชื่อ

ไม่ใช่เช่นนั้น แม้ข้าจะหยาบคาย แต่ข้าก็มีดวงตาที่แหลมคมพอจะเห็นเลือดของตัวเอง ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า แล้วตัดแขนของข้าและดูด้วยตัวเอง เถี่ยต้ากล่าวในความปวดร้าว สีของเลือดของเขาบ่งบอกได้อย่างชัดเจน ถึงบางสิ่งบางอย่างที่รุนแรง และทำให้เขาเชื่อว่า เขามีสายเลือดของสัตว์อสูร

หมิงตงไม่ลังเลที่จะหยิบใบไม้ใกล้เคียงซึ่งก็ตกลงไปพื้น มีการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันของมือของเขา ใบหั่นทันทีผ่านแขนเถี่ยต้า แต่ทว่าผิวยังคงไม่เสียหาย

อย่างรวดเร็ว หมิงตงหลุดปากออกมา บ้าเอ๊ย ทำไมผิวหนังเจ้าหนาขนาดนั้น ? ” ดังนั้น แม้ว่าหมิงตงใช้ใบไม้ต้นเดียว มันประกอบด้วยจำนวนมากของพลังเซียนที่ทำให้มันคมเหลือใจกว่าเป็นดาบเหล็ก ถ้าอาวุธคมไม่สามารถที่จะตัดแขนเถี่ยต้า เพียงเพราะเถี่ยต้านั้นแข็งแกร่งนัก

แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะประเมินด้วยสายตา ในขณะที่เขารู้ตั้งแต่นานมาแล้วว่า แรงกายของเถี่ยต้านั้นเยอะมาก เขาไม่คิดว่า มันจะถึงระดับสูงเช่นนั้น

ปกติเจอเหยื่อเช่นสัตว์ป่าบางอย่าง พวกมันจะไม่สามารถทำร้ายข้าได้ ไม่ว่าพวกมันจะกัดเท่าใดก็ตาม เถี่ยต้าตอบกลับทันที

ให้ข้าลองอีก หมิงตงก็คิดที่จะลองอีกครั้ง กับใบอื่น เขาเริ่มที่จะถ่ายเทพลังเซียนจำนวนมากลงในใบไม้ก่อนที่ลองตัดแขนเถี่ยต้าอีกครั้ง

ครานี้ การตัดมีความแข็งแรงกว่าก่อน แต่แม้กระนั้นแล้ว เฉพาะส่วนผิวของผิวถูกทำลาย กลับไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียวให้เห็น

ผิวของเจ้านั้นหนาเกินไป จริงมันเป็นเฉกเช่นสัตว์อสูรระดับ 5 ถ้าไม่มีอาวุธเซียนของข้าแล้ว ข้าสงสัยข้าคงไม่สามารถเรียกเลือดจากเจ้าได้อย่างแน่นอน หมิงตงกล่าวออกในความตกตะลึง

ให้ข้าลอง ! ” เจี้ยนเฉินยกแขนของเถี่ยต้าขึ้น และอนุญาตให้เส้นแสงของปราณกระบี่สีม่วง-ฟ้า พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขา เขาแล้วค่อย ๆ ตัดลงบนผิวเขา

เบื้องหน้าปราณของจิตวิญญาณกระบี่สีม่วง-ฟ้า ร่างกายแข็งแกร่งอย่างมากของเถี่ยต้ากลายเป็นเหมือนชิ้นส่วนของเต้าหู้ ผิวของเขาเปิดเผยด้วยการตัด และโลหิตสีทองค่อย ๆ ไหลออกมาจากบาดแผลมัน

เห็นโลหิตสีทองพุ่งออกมา เจี้ยนเฉินและหมิงตงต่างตกตะลึง พวกเขาได้แต่มองดูเลือดด้วยความตกตะลึง โลหิตของเถี่ยต้าไม่ได้เป็นสีแดง แต่กลับเป็นสีทอง