ตอนที่ 656 ความตายของหลู่โชว

แพทย์เทวะ หัตถ์ปีศาจ

ตอนที่ 656 ความตายของหลู่โชว

 

เจ้านายและบ่าวรับใช้กลับไปที่สนามหน้าบ้าน เฟิงหยูเฮงไม่ได้พูดอะไร นางคิดถึงสถานการณ์ตลอดเวลา แม้แต่วังซวนและหวงซวนก็ยังนึกถึงฉากก่อนหน้านี้

 

หลังจากได้ยินข้อสงสัยของเฟิงหยูเฮง ทั้งสองก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพี่น้องเหล่านั้นแต่พวกเขาไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาเห็นอะไร

 

ขณะที่พวกเขาเดิน บ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งไปตามทางด้วยความหวาดกลัว วิ่งไปทิศทางของพวกเขา ตอนแรกนางชนหวงซวน หวงซวนขมวดคิ้วและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ? ทําไมถึงถึงดูเร่งรีบขนาดนี้ ? เจ้ามาจากเรือนไหน ?”

 

บ่าวรับใช้ตกใจในตอนแรก เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมอง นางเห็นเฟิงหยูเฮง นางก็รีบยื่นมือออกจากแขนของนาง นางกําลังถือจานขนมอยู่ในมือของนาง นางตอบว่า “เรียนคุณหนู บ่าวรับใช้คนนี้ดูแลเรื่อนของคุณชายใหญ่ แม่นมของท่านฮูหยินให้ข้าไปที่ครัวเพื่อเอาขนมสองสามชิ้นเจ้าค่ะ โดยบอกว่านางเป็นห่วงว่าท่านฮูหยินคนใหม่จะหิวมาก และไม่สามารถทนรอคุณชาย ใหญ่กลับไปตอนกลางคืน ข้ากลัวว่าท่านฮูหยินคนใหม่จะรู้สึกอับอายจากการที่ผู้คนได้ยินเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจึงรีบเจ้าค่ะ ทําให้ข้าชนแม่นางเจ้าค่ะ ได้โปรดอย่าตําหนิข้าเลยเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า กลัวเจ้าสาวจะหิวนั้นมีเหตุผล ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไร และอนุญาตให้ บ่าวรับใช้ไปได้

 

ลานด้านหน้ายังคงมีชีวิตชีวา โต๊ะไหนเหยาซูไปดื่มขอบคุณจะเห็นว่าเขาถูกรั้งตัวไว้เป็นเวลานาน กลับไปที่ที่นั่งของนาง มีคนแตะไหล่ของนางจากด้านหลังในขณะที่นางนั่งลง นางหันหลังกลับและเห็นว่ามันเป็นซวนเทียนเก้อ

 

“เจ้ามาถึงที่นี่เมื่อไหร่” นางดึงซวนเทียนเก้อมานั่งข้างนาง “ข้าไม่เห็นเจ้าตอนที่พวกเขาอยู่ในห้องจัดพิธีแต่งงาน”

 

“ข้าเพิ่งมาถึงที่น” ซวนเทียนเก้อกล่าวว่า “มีบางเรื่องที่บ้าน ทําให้ข้ามาช้า ข้าไม่เห็นช่วงเวลาที่มีชีวิตชีวาที่สุด เป็นอย่างไรบ้างเจ้าสาวงดงามหรือไม่ ? ”

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขึ้น “เจ้าจะมีเหตุผลมากกว่านี้ได้หรือไม่ เจ้าสาวมีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวตลอดเวลา ข้าจะเห็นได้อย่างไรว่านางงดงามหรือไม่”

 

ซวนเทียนเก้อยิ้มเยาะ “เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าสามารถรู้ได้ว่านางจะไม่งดงามเป็นพิเศษ รากฐานของตระกูลหลู่เป็นเช่นนั้น ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเจ้าบ่าวของตระกูลเหยาสนใจบุตร สาวของตระกูลหลู่ได้อย่างไร ข้าได้ยินมาว่าเป็นเจ้าบ่าวที่ต้องการสิ่งนี้”

 

เฟิงหยูเฮงยังไม่เข้าใจสิ่งนี้ และกล่าวว่า “เป็นไปได้มากว่านางตรงตามที่เขาชอบ”

 

ซวนเทียนเก้อยักไหล่ และไม่ได้ดําเนินการกับหัวข้อนี้ นางถามเฟิงหยูเองว่า “ข้าเห็นน้องสี่ ของเจ้ามาทําไมข้าไม่เห็นเซียงหรู ?”

 

เฟิงหยูเฮงบอกนางว่า “นางควรจะมา แต่เซียงหรูส่งคนมาในตอนเช้าพร้อมกับข้อความ ที่บอกว่าองค์ชายสี่มีงานปักที่พระองค์ทําไม่ถูกต้อง และนางถูกเรียกตัวไปที่ตําหนักปิงตอนเช้าวันนี้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรอะไรนางก็ไม่ยอม ข้ากลัวว่านางจะมาไม่ทันตามกําหนดสําหรับงานเลี้ยงนี้”

 

“ฮะ !” ความปรารถนาของซวนเทียนเก้อที่จะนินทาลุกฮือขึ้นมา “เจ้าคิดว่าพี่สี่ชอบเซียงหรูหรือไม่ ? ”

 

เฟิงหยูเฮงตกใจ และจําได้ว่าองค์ชายสีโกรธมากเมื่อหลู่เหยาแกล้งเซียงหรู แต่จะพูดถึงความชอบ… “นั่นมันไม่น่าจะเป็นไปได้ใช่หรือไม่ ? ”

 

“ทําไมมันถึงจะเป็นไปไม่ได้ !” ซวนเทียนเก้อเล่าต่อ “เจ้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมานาน เจ้าคงไม่รู้ พี่สี่เรียนรู้การเย็บปักอย่างจริงจัง บางครั้งเขาจะเรียกคุณหนูสามตระกูลเฟิงไปที่ตําหนักวิ่งเพื่อสอน หลังจากสอนเสด็จพี่เสร็จ นางจะกินข้าวด้วย ไม่เพียงแค่นี้ เสด็จพี่ใช้ความคิดริเริ่มในการจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับคุณหนูสามตระกูลเฟิงทุกเดือน แม้ว่ามันจะ ถูกส่งกลับมาสองสามครั้ง แต่ด้วยความอุตสาหะของตําหนักปิง เซียงหรูก็ยอมรับมัน หากพระองค์ไม่มีความรู้สึกดีต่อเชียงหรู เสด็จพี่จะจริงจังหรือไม่ ? 

 

เฟิงหยูเฮงรู้สึกสับสน “พระองค์ถูกจําคุกไปแล้ว พระองค์ยังมีเงินอยู่หรือ ? มันไม่ได้ถูกยึดทั้งหมดหรอกหรือ ? ”

 

ซวนเทียนเก้อยิ้มเยาะ “เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าอูฐที่อดตายยังใหญ่กว่าม้า ? * ไม่ว่าอย่างไร เสด็จพี่ก็เป็นองค์ชายและการยึดสิ่งของของเสด็จพี่เป็นเพียงการแสดง เสด็จพี่ใช้เงินได้ต่อ ตําหนักปิงมีรากฐานที่สร้างมานานหลายปี มันจะล่มสลายด้วยคําเพียงไม่กี่คําได้อย่างไร”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างหงุดหงิด “แต่เซียงหรูอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับองค์ชายสี่”

 

“ฮะ! นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องกังวล เท่าที่ข้าเห็นเชียงหรูไม่ได้ปฏิเสธเสด็จพี่อย่างเด็ดขาด บางทีมันอาจจะเกิดขึ้นจริง ๆ ” ซวนเทียนเก้อหัวเราะ แต่นางก็เริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อยหลังจากหัวเราะ ไปครู่หนึ่ง “พี่สี่ยังถูกขังอยู่ในตอนนี้ ข้าสงสัยว่ามันจะดีหรือไม่ดีสําหรับเซียงหรูถ้าท่านพี่ขอ บนางจริง ๆ เซียงหรูเป็นน้องสาวของเจ้าหากเจ้าต้องการให้นางแต่งงานกับคนที่ดีกว่านี้ เจ้าย่อมสามารถทําได้”

 

เฟิงหยูเฮงถามนางว่า “เจ้ากําลังพูดถึงใครที่ดีกว่านี้ ? ”

 

ซวนเทียนเก้อตกใจแล้วคิดเล็กน้อย กล่าวว่า “สถานะอันสูงส่งเป็นขององค์ชาย แต่องค์ชาย…มีองค์ชายที่ดีเหลืออยู่ไม่มาก องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองนั้นแก่มาก และมีพระชายาแล้ว ถ้าเซียงหรูแต่งเข้าตําหนักของพวกเขาตามสถานะของตระกูลของนาง นางจะไม่มีสถานะมากนัก แต่ด้วยสถานะของเจ้า คงไม่มีใครกล้าพอที่จะประมาทนาง องค์ชายสามตายไปแล้ว และองค์ชายสี ถูกขังอยู่ องค์ชายห้ากําลังจะแต่งงานกับคุณหนูสีตระกูลเฟิง ในขณะที่องค์ชายหกและองค์ชาย แปดออกนอกเมืองหลวง องค์ชายเก้าเป็นของเจ้า การคํานวณแบบนี้มีเหลือเพียงองค์ชายเจ็ดคนเดียว”

 

ซวนเทียนเก้อหน้ามืดครึ้ม เหมือนว่าองค์ชายเหล่านี้จะไม่น่าเชื่อถือมาก !

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัวและกล่าวว่า “ข้าไม่เคยเชื่อเลยว่าการแต่งงานกับตระกูลขุนนางจะดีแน่นอน พี่เก้าของเจ้าเป็นตัวอย่าง ถ้าเขาอยากจะแต่งอนุเข้าตําหนัก ข้าจะไม่แต่งงานกับเขา”

 

“หืม ?” ซวนเทียนเก้อตกตะลึง “เจ้าต้องบอกว่าเจ้าต้องการให้เซียงหรูหาชายที่จะอุทิศตนให้กับนางตลอดชีวิตหรือ ? อาเฮง เจ้าต้องรู้ว่ามันยากมากที่จะหาผู้ชายแบบนั้นในโลกนี้ !”

 

“ไม่มีข้อกําหนดเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกัน แต่มันจะเป็นการดีที่สุดถ้านางสามารถแต่งงานกับคนที่เข้ากับความต้องการของนางได้” จากนั้นนางตบมือซวนเทียนเก้อ “เอาล่ะ หยุดมองคนอื่น สําหรับเจ้า เจ้าอายุมากกว่าข้าไม่กี่ปี แม้ว่าเสด็จพ่อจะยกย่องเจ้า แต่ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะไม่สามารถอยู่ได้นานกว่านี้ ? เจ้าจะจบลงด้วยการเป็นหญิงชราและยังไม่ได้แต่งงาน”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซวนเทียนเก้อก็รู้สึกหดหูใจและพูดอย่างไร้ความสุข “ข้ายังไม่อยากแต่งงานเลย” ขณะที่นางกล่าว นางถอนหายใจ “สิ่งที่ข้ากลัวไม่ใช่เสด็จลุงที่คอยดูแลข้า ฝ่าบาทกลับไม่คิด ว่าข้าควรจะแต่งงานอย่างไร ท้ายที่สุดข้าเป็นองค์หญิงเพียงคนเดียวของราชวงศ์ต้าชุน หลีกเลี่ยง ไม่ได้ที่ข้าจะต้องแต่งงานด้วยเหตุผลทางการเมือง มันเป็นแค่เรื่องของวิธีและสถานที่”

 

หัวข้อกําลังตกต่ําและไม่ต้องการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป ดังนั้นทั้งสองจึงไป เล่นกับเพิ่งซื้อหรูและซวนเฟยหยู จากนั้นพวกเขาคุยกันเรื่องเปยฟูหรงซักพัก ขณะที่เหยาซูกําลังดื่มสุรา พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากทางไปสู่เรือนด้านใน บ่าวรับใช้จํานวนหนึ่งวิ่งออกมาด้วยความตื่นตระหนก และมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะหยุดจ้องมองบนโต๊ะที่เฟิงหยูเฮงนั่งอยู่

 

พื้นที่นี้มีเจ้านายของตระกูลเหยาเป็นจํานวนมาก บ่าวรับใช้สองคนทะเลาะกันด้วยใบหน้าที่น่ากลัว หนึ่งในนั้นเริ่มร้องไห้

 

ในเวลานี้ซูชื่อนั่งอยู่และไม่สามารถช่วยได้ นางขมวดคิ้วและด่าว่า “มันเป็นงานแต่งงานที่เป็นมงคล พวกเจ้าทําอะไร ? “

 

เนื่องจากเสียงกรีดร้องฉับพลัน ผู้คนส่วนใหญ่จึงมองไปในทิศทางของพวกเขา บ่าวรับใช้คนหนึ่งบอกซูชื่อ “ท่านฮูหยินใหญ่ มีคนตายในสนามเจ้าค่ะ !”

 

“อะไรนะ ? ” ซูชื่อตกใจมาก ข่าวฉับพลันนี้ทําให้นางไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของนางได้ เสียงของนางดังขึ้นเล็กน้อยทําให้คนที่ไม่สังเกตมาก่อนอดที่จอมองไม่ได้

 

เฟิงหยูเฮงได้ยินข่าวนี้และขมวดคิ้วเล็กน้อย นางดูเหมือนจะเดาอะไรบางอย่าง และรีบสั่งให้บ่าวรับใช้ของนางอย่างรวดเร็ว “วังชวนไปดูกับพวกนาง” หลังจากพูดอย่างนี้ นางวางมือไว้ บนหลังมือของซูชื่อและกล่าวอย่างใจเย็น “ท่านป้าไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ไปตรวจสอบก่อน” หลังจากพูดอย่างนี้ นางโบกมือให้บ่าวรับใช้ที่ส่งเสียงกรีดร้องออกมา ผู้ติดตามสองคนเข้ามาแล้วนางก็ ถามหนึ่งในนั้น “บอกรายละเอียดมาว่าเกิดอะไรขึ้น ? ”

 

ผู้ติดตามนั้นช่างมีความกล้าหาญกว่าบ่าวรับใช้ เมื่อได้ยินเพิงหยูเฮงถาม พวกนางเปิดเผยสิ่ง ที่พวกนางเห็นอย่างรวดเร็ว “พวกข้าเดินรอบคฤหาสน์ตามปกติ เราพบศพบนเส้นทางไปยังเรือนหอ เป็นผู้ชายและเขาดูไม่คุ้นเคย เขาไม่ใช่คนจากคฤหาสน์ของตระกูลเหยาเจ้าค่ะ”

 

“โอ้ ? ” นางยังคงคาดเดาอยู่ แต่นางก็ไม่เข้าใจ ถ้าเป็นคนผู้นั้น เขาจะตายได้อย่างไรในเวลาเพียงไม่กี่นาที ? “ร่างกายของเขามีบาดแผลหรือไม่ ? ”

 

บ่าวรับใช้พยักหน้า “มีเลือดออกที่คอของเขา ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างเจาะคอของเขาเจ้าค่ะ

 

“เกิดอะไรขึ้น ? ” ในเวลานี้เหยาจิงจูนก็เดินมาด้วย บ่าวรับใช้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง จึงจุน โกรธและหันไปเดินตามทางของปัญหา

 

เฟิงหยูเฮงเห็นสิ่งนี้และไม่ได้ซ่อนมันอีกต่อไป นางประคองซูชื่อและนาคนอื่นไปด้วย

 

เมื่อได้ยินว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น แขกย่อมตามไปดูเป็นธรรมดา นอกจากท่านฮูหยินที่กลัวบรรดาคุณหนูและเด็ก ๆ ทุกคนต่างก็เดินเข้าไปในสวนหลังบ้าน

 

ในช่วงนี้วังซวนกลับมา พยักหน้าให้เฟิงหยูเฮง ดังนั้นนางจึงเข้าใจ

 

ไม่นานพวกเขาก็มาถึงสถานที่ที่เกิดเหตุ แน่นอนเขาคือคนที่มาตามหาหลู่เหยา เขากลายเป็นศพ นอนบนพื้น เลือดยังไหลออกมาจากลําคอของเขา

 

สมาชิกของตระกูลเหยาเดินไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบ ซวนเทียนหมิงย้ายไปที่ด้านข้างของเฟิงหยูเฮง และถามอย่างเงียบ ๆ “เจ้ารู้จักคนนี้หรือไม่”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวกับเขาอย่างเงียบๆ “ถ้าข้าเดาไม่ผิดคงจะเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลหลู่”

 

“บุตรชายคนโตของตระกูลหลู่ ? ” ซวนเทียนหมิงไม่ประทับใจคนผู้นี้มากนัก หลังจากคิดไปครู่หนึ่ง เขาส่ายหัวและถามด้วยความสับสน “ทําไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ ? และตายที่คฤหาสน์ของตระกูลเหยา ?”

 

ทุกคนกําลังคิดถึงคําถามเหล่านี้กับตัวเอง สําหรับเหยาจิงจุน เขาเริ่มถามทุกคนแล้วว่า “จําชายคนนี้ได้หรือไม่ ?”

 

ชายผู้กล้าหาญก้าวไปข้างหน้า และมองอย่างระมัดระวัง ในที่สุดเขาก็ชี้ไปที่ศพด้วยความประหลาดใจ และกล่าวว่า “นี่…นี่คือบุตรชายคนโตของตระกูลหลู่ หลู่โชว !”

 

“หลู่โชว ? ” เหยาจิงจุนเคยได้ยินนี้มาก่อน ท้ายที่สุดแล้วตระกูลเหยาและตระกูลหญ่กําลังจะแต่งงานกัน เขาค่อนข้างชัดเจนว่าใครเป็นใครในตระกูลหลู่ เป็นหมู่โชวที่ชอบออกจากเมืองหลวง ดังนั้นเขาไม่เคยพบเมื่อเห็นว่าบุคคลที่ถูกชี้ไปได้รับการยอมรับว่าเป็นหลู่โชว ความสงสัยในใจของ เขาก็ยิ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้น “บ่าวรับใช้” เขาสั่งเสียงหนัก “ไปที่เรือนหอและนาบ่าวรับใช้ที่มากับเจ้าสาวจากคฤหาสน์หลู่มาด้วย”

 

เร็วมาก บ่าวรับใช้ 2 คนและแม่นมที่อยู่กับหลู่เหยาถูกนําตัวมา เมื่อพวกเขาเห็นว่ามีศพ พวกเขาก็ตกใจหน้าซีด บ่าวรับใช้คนหนึ่งเป็นลม

 

เหยาจิงจุนถามด้วยน้ําเสียงต่ํา “เจ้าจําคนผู้นี้ได้หรือไม่ ?”

 

แม่นมแกร่งที่มีสติมากที่สุดตอบอย่างรวดเร็ว “เรียนท่านใต้เท้า… เขาเป็นบุตรชายคนโตของ คฤหาสน์หลู่ ชื่อหลู่โชวเจ้าค่ะ”

 

เมื่อได้ยินแบบนี้ ใครบางคนจากตระกูลหลู่ยืนยันความเป็นตัวตนของผู้เสียชีวิตเหยาซู่เป็นกังวลเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ไม่ได้บอกหรือว่าบุตรชายคนโตของตระกูลหลู่นั้นออกจาก เมืองหลวงแล้วจะไม่มางาน ? เขาไม่ได้อยู่ในรายชื่อแขกที่ลงทะเบียน เขาปรากฏตัวที่นี้ได้อย่างไร?”

 

บ่าวรับใช้ของตระกูลหลู่ไม่รู้วิธีตอบ แต่แม่นมคิดอย่างรวดเร็วและนางมองเฟิงหยูเฮง