DND.801 – ชื่อเสียงของอสูร
เช้าวันถัดมาซือหยูออกจากเขาอสูรไปยังหอเพลิงคลั่ง ตลอดทาง ทุกคนมองเขาด้วยสายตาที่หวาดกลัวและนับถือ
ความขมขื่นเอ่อล้นในใจฉายาอสูรสูงสุดที่กล้าขืนใจทุกคนนั้นดูจะกระจายไปทั้งตำหนักแล้ว…
“ว้าว!เจ้าเห็นไหม? เขาเป็นอสูรคนที่ห้า อสูรเรือนกลาง!”
“เขาได้รับการยอมรับจากอสูรทั้งสี่จนได้เป็นอสูรคนใหม่”
“หนีเร็ว!ถ้าเขาอยู่ที่นี่ พวกเจ้าต้องซ่อนน้องสาวกับภรรยาเอาไว้!”
ซือหยูผู้หูตาดีแทบจะกระอักเลือดออกมาเพราะความแค้นเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นเขาเดินไปยังหอเพลิงคลั่งด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เมื่อเขาประทับตราเข้าหอก็มีจ้าวหอเสวี่ยเหลียนยืนต้อนรับด้วยรอยยิ้มบางๆ
“โอ้!ในที่สุดอสูรเรือนกลางก็มาที่นี่! เป็นเกียรติแก่หอเพลิงคลั่งของข้ายิ่งนัก”
จ้าวหอเพลิงคลั่งผู้ยั่วยวนหัวเราะจนตัวสั่นนี่เป็นวันที่นางได้รู้ข่าวเรื่องการเป็นราชาเรือนกลางของซือหยู
ซือหยูกลอกตา
“หยุดพูดเหลวไหลซักที!วัตถุดิบอยู่ไหน?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งยังอยากจะล้อเลียนซือหยูต่อไปนางพอเขาไปยังห้องส่วนตัวที่ลึกสุด
“มาทางนี้…นี่เป็นห้องที่ตำหนักให้รางวัลกับข้าไม่ต้องจ่ายคะแนนในการใช้ห้องนี้”
“วัตถุดิบอยู่ในนั้นหมดแล้วและเผื่อเกิดเรื่องผิดพลาด ข้าเลยซื้อวัตถุดิบมาสี่สิบชุดให้เจ้า จะปรุงเท่าไหร่ก็แล้วแต่เจ้าเลย”
เมื่อซือหยูเข้าห้องเขาก็รีบปรุงยาเขาเคยปรุงโอสถระดับสามสำเร็จมาก่อนแล้ว การปรุงโอสถชีพโกลาหลในตอนนี้ค่อนข้างง่ายสำหรับเขา
เขาเริ่มปรุงโอสถอย่างชำนิชำนาญเม็ดต่อเม็ดขณะที่จ้าวหอเพลิงคลั่งก็สลายกลิ่นโอสถที่ปะทุออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนนางยิ้มแย้ม
ตกกลางคืนซือหยูที่เหนื่อยล้าเดินออกมาจากหอเพลิงคลั่ง ระหว่างทาง เขาส่งโอสถยี่สิบเม็ดให้นาง
จ้าวหอเพลิงคลั่งดีใจเมื่อมองโอสถ
“เจ้าหนูข้าหวังพึ่งเจ้าแค่คนเดียวนะ ข้าจะรวยหรือไม่ก็อยู่ที่เจ้าแล้ว”
ขณะที่พูดนางก็ยื่นหน้าไปเพื่อจะจูบแก้มซือหยูอีกครั้ง แต่ซือหยูนั้นหลบอย่างรวดเร็ว จ้าวหอยิ้มหวานกล่าวลาซือหยูโดยไม่พูดอะไร
ซือหยูกลับไปยังเขาอสูรระหว่างทาง เขาผ่านหอยอดสวรรค์ เมื่อมองด้านในก็พบชางก่วนหยุนซื่อกับเพื่อนฝูงของเขามากมาย
สหายเหล่านี้รวมถึงเพื่อนดื่มที่ให้ชางก่วนหยุนซื่อค้ำหนี้ให้ยังมีชายร่างกำยำอีกคน เขาสวมสร้อยคอมีหนามหนาพร้อมกับท่อนบนเปลือยเปล่า ใบหน้าดูดุร้าย เพียงมองครั้งเดียวก็บอกได้ว่าเขามิใช่คนน้ำใจดี!
ชางก่วนหยุนซื่อกับคนที่เหลือกำลังเจรจากับเขาหลายครั้งในเรื่องบางอย่างซือหยูสงสัย…เขากำลังค้ำประกันหนี้ให้คนที่เหลืออยู่รึ?
ซือหยูขมวดคิ้วเบาๆเขาหวังให้ชางก่วนหยุนซื่อระวังตัวในการช่วยเหลือผู้คน ไม่เอาตัวไปอยู่ในปัญหา ซือหยูจึงเดินต่อไปพร้อมกับส่ายหัว
เมื่อซือหยูกลับมาถึงเขาอสูรเขาพบว่าอสูรทั้งสี่บ่มเพาะพลังอยู่ในเรือน ภูเขาลูกนี้มิได้มีเสียงเอะอะและน่าตื่นตาอย่างตอนที่พวกเขารวมตัวกันเมื่อคืนก่อน เมื่อกลับมาถึงห้องเขาก็พบว่าจื่อเสวียนไม่อยู่ นางทิ้งจดหมายเอาไว้
มันเป็นจดหมายสั้นๆ
“ข้าจะไปค้นหาในตำหนักสักครู่หนึ่ง…”
นางยังไม่คิดจะยอมแพ้นางอยากจะหาตัวซือหยูให้เจอโดยเร็ว ซือหยูยิ้มและหลับตา
เขาอยากจะบ่มเพาะพลังแต่ในตอนนั้นเองก็มีความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมานานส่งมาถึงจิตใจ
กิเลนน้อย?ซือหยูที่สงสัยเข้าสู่มุกวิญญาณเก้าหยก เมื่อเข้าไปกิเลนน้อยก็โผเข้าหาเขา มันเริ่มถูหัวกับอกของซือหยู
ตั้งแต่ที่การต่อสู้ทำลายล้างโลกเกิดขึ้นในเฉินหลงกิเลนน้อยนั้นอยู่ในมุกวิญญาณเก้าหยกอยู่เสมอ มันหลับใหลมาโดยตลอด มันจะต้องเบื่อมากแน่ๆ!
“ข้าอยากจะออกไปเล่น…”
กิเลนน้อยพูดกับซือหยูพลางเอาขาวางบนไหล่ของเขา
ซือหยูตกตะลึงนี่เป็นครั้งแรกที่กิเลนน้อยพูดประโยคได้เต็มๆ เมื่อเขามองดูดีๆก็พบว่าตัวมันใหญ่กว่าเดิม เขาที่อุ้มมันอยู่ก็รู้สึกว่ามันตัวหนักขึ้น
มันเติบโตขึ้นหรือ?ซือหยูตกใจมาก
“เจ้าพูดได้เรอะ?”
ซือหยูถามด้วยความสงสัย
กิเลนน้อยพยักหน้า
“ข้าพูดได้!เจ้านาย ข้าอยากจะออกไปเล่นนะ”
แม้มันจะพูดได้แต่ดูเหมือนว่าจิตใจยังคงเป็นเด็ก
“ข้าอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยยอดฝีมือถ้าเจ้าผลีผลามออกไป เจ้าก็จะถูกพวกนั้นเจอตัวเข้า สถานการณ์พิเศษเช่นนี้มิอาจให้เจ้าออกไปได้ เจ้าเข้าใจไหม?”
ซือหยูพูดกับมันด้วยภาษาอสูร
กิเลนน้อยทำหน้าบึ้งและสะบัดตัวอย่างซุกซน
“ข้าอยากไปข้างนอก!ข้าอยากไปข้างนอก”
เมื่อเจอกับการออดอ้อนซือหยูไม่มีทางเลือกอีก เขาทำได้แต่ปลอบมัน
“ก็ได้แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่มีผนึกอะไรในเรือนที่ข้าอยู่ตอนนี้ ข้าจะให้เจ้าออกไปพรุ่งนี้”
กิเลนน้อยพอใจเมื่อได้ฟังในคืนเดียวกันก็มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในตำหนักนอก
ไม่รู้ว่าใครนำโอสถชีพโกลาหลยี่สิบเม็ดมาขายพร้อมกันในคืนเดียวจากนั้นจึงขายด้วยราคาแพงถึงเจ็ดสิบคะแนนต่อเม็ด!
คนที่ได้ข่าวเร็วรีบไปหาเขาและซื้อทั้งหมดด้วยความโลภหลายคนที่ได้ยินข่าวทีหลังนั้นไม่พอใจอย่างมาก เพราะพวกเขาก็อยากจะได้เหมือนกัน
ณห้องแห่งหนึ่งในคืนนั้น
นักเลงหลงมองโอสถชีพโกลาหลในมืออย่างไม่สบายใจมีสตรีนั่งอยู่ด้านหลังเขา นางคือเสวี่ยฉี
นางเหลือบตามอง
“เจ้าได้เบาะแสหรือไม่?”
นักเลงหลงยิ้ม
“ศิษย์พี่เล่นตลกงั้นรึ?ต่อให้ข้าประเมินโอสถได้ ข้าจะกล้าทำให้เห็นหรือ?”
เสวี่ยฉีจ้องหน้าเขา
นักเลงหลงประหม่าเขามองโอสถอย่างละเอียด
“ถึงข้าจะไม่ค่อยรู้เรื่องโอสถมากข้าก็รู้ว่ามีเบาะแสสักเล็กน้อย โอสถนี้ไม่ได้ปรุงจากฝ่ายปรุงยา”
“แล้วอะไรอีก?”
เสวี่ยฉีเร่งให้เขาพูดต่อ
นักเลงหลงกล่าวต่อไป
“โอสถนี้เม็ดเป็นทรงกลมสมบูรณ์แบบราวกับสร้างจากสวรรค์คนที่ทำจะต้องเป็นนักปรุงยามากฝีมือที่ควบคุมเพลิงและหลอมโอสถได้ยอดเยี่ยม และหากโอสถมีกลิ่นแรงอย่างนี้ มันก็ต้องปรุงโดยวิชาปรุงยาระดับสูง”
เสวี่ยฉีพยักหน้าเมื่อได้ฟังจากนั้นนางจึงส่ายหน้า
“เจ้าพูดถูกแต่เจ้าไม่ได้พูดถึงอีกเรื่องหนึ่ง…”
นักเลงหลงโค้งคำนับ
“ข้าอยากรู้โปรดบอกเล่าแก่ข้าที…”
เสวี่ยฉีรับโอสถมาถือใบหน้ายั่วยวนของนางแทนที่ด้วยความจริงจัง
“สิ่งที่พิเศษที่สุดของโอสถนี้คือความบริสุทธิ์ของวัตถุดิบมันบริสุทธิ์มากจนถ้าไม่เห็นกับตาก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนบนโลกชำระล้างโอสถได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้”
“ต่อให้เขาเป็นนักปรุงยาผู้ยิ่งใหญ่มันก็ยากมากที่เขาจะนำสิ่งเจือปนทั้งหมดออกจากวัตถุดิบ แม้จะมีหลักการ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ในการทำจริง วัตถุดิบเกิดจากสิ่งเจือปนอยู่แล้ว การทำให้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้”
นางสรุป
“ข้าคิดว่ามิใช่มนุษย์ที่ชำระล้างมันมันคงจะเป็นวิธีพิเศษมากกว่า”
นักเลงหลงสับสนในคำพูดของนาง
“ในโลกนี้มีสมบัติวิเศษที่ชำระล้างวัตถุดิบได้ด้วยเรอะ?”
เสวี่ยฉีส่ายหน้า
“นี่เป็นเรื่องที่ข้ายังไม่เข้าใจถึงจะอาวุธและสมบัติในโลกทั้งหมด ข้าก็ไม่เคยได้ยินเรื่องสมบัติชำระล้างเลยสักครั้ง ต่อให้มีอยู่าจริง หลักการที่ใช้งานก็ไม่ควรจะอยู่ในขอบเขตที่มนุษย์เข้าใจได้”
“เพราะเรื่องนี้ข้าเลยเดาว่าเป็นฝีมือของนักปรุงยาระดับสูง”
นักเลงหลงสูดหายใจเข้าลึก
“เช่นนั้น…เราควรจะไปติดต่อกับนักปรุงยาผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้หรือไม่”
เสวี่ยฉีส่ายหน้า
“คนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้หาใช่ผู้ที่คนอย่างเราจะเข้าหาได้แต่เจ้าพยายามเข้าหาคนขายโอสถและเกลี้ยกล่อมให้ส่งโอสถให้กับเราได้ แล้วเราจะเป็นคนขายแทน”
นักเลงหลงหัวเราะเบาๆ
“เรียบง่ายนัก!ถึงคนขายโอสถจะพยายามส่งให้ใครไม่รู้เป็นคนขาย แต่ก็ไม่มีใครในตำหนักนอกที่หลอกข้าได้! หึ…ข้ารู้…”
เสวี่ยฉีเลิกคิ้วเล็กน้อย
“หืม?ใครล่ะ?”
“จ้าวหอเพลิงคลั่งเสวี่ยเหลียน!”
นักเลงหลงกล่าว
“แต่มันก็เป็นเพราะจ้าวหอเพลิงคลั่งไม่คิดจะปกปิดตัวตนและไม่หวาดกลัวใครข้าเลยรู้ได้ว่าเป็นนาง”
เสวี่ยฉีชักสีหน้าเมื่อได้ฟังนางเงียบไปนานก่อนจะถาม
“ถ้าเป็นฝีมือนางข้าก็ต้องไปที่นั่นด้วยตัวเองแล้ว พวกเจ้าทำอะไรผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หรอก”
ณห้องแห่งหนึ่งในอีกสถานที่ ชายร่างกำยำที่สวมสร้อยหนามได้ยืนหลังภูติระดับแปดคนหนึ่งอย่างเจียมตัว
“พี่ฉิงเฟิงเราควรจะไปหาเจ้าของโอสถหรือไม่? พวกเขาน่าจะยังมีโอสถอยู่อีก”
ถ้าซือหยูอยู่ที่นี่เขาก็จะจำได้ทันทีว่าภูติระดับแปดผู้นี้คือเฉาฉิงเฟิงที่ลอบกัดเขามาสองครั้งแล้ว!
เฉาฉิงเฟิงถือโอสถในมือและตอบ
“เราต้องทำแน่โอสถชีพโกลาหลเป็นสินค้าหายาก ถ้าได้ความช่วยเหลือจากคนปรุง เราก็จะได้ครอบครองตลาดแน่นอน เหล่าศิษย์พี่ตำหนักในจะต้องดีใจแน่! เราจะไปจัดการพรุ่งนี้!”
…
เช้าวันถัดมาซือหยูไปที่หอเพลิงคลั่งอีกครั้ง จ้าวหอเพลิงคลั่งผู้เร่าร้อนยิ้มเบาๆต้อนรับและมอบวัตถุดิบยี่สิบชุดกับเขา
นางให้ส่วนแบ่งของรายได้กับเขาจากเมื่อวานด้วยหลังจากที่ประมาณการส่วนแบ่งแล้ว นางก็แอบให้ส่วนแบ่งซือหยูที่ไม่ตรงกับจำนวนนัก
“ไม่มีคะแนนขาดหายใช่ไหม?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งที่อารมณ์ดีในวันนี้ถามซือหยู
“ท่านขายในราคาหกสิบคะแนนจริงๆน่ะรึ?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มอย่างสดใส
DND.802 – เลียรองเท้า
“ราคาตลาดเปลี่ยนแปลงเสมอบางครั้งราคาตก บางครั้งราคาสูง ข้าไม่มีอำนาจควบคุมหรอก”
หลังจากที่ซือหยูสอบถามมาเขาพบว่านางขายโอสถทั้งหมดในราคาเจ็ดสิบคะแนน ปฏิเสธไม่ได้ว่านางได้คะแนนจำนวนมากเพิ่มมา
“ก็ได้…ตราบเท่าที่เจ้าการันตีว่าราคาจะไม่ต่ำกว่าหกสิบคะแนนในอนาคตข้าก็ไม่ว่าอะไร”
ซือหยูไม่คิดจะติดใจเรื่องเล็กน้อยเขาเข้าไปยังห้องปรุงยาและปิดประตู
จากนั้นเขาจึงปล่อยกิเลนน้อยออกมาเมื่อรู้สึกปลอดภัยกิเลนน้อยกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างตื่นเต้น
ซือหยูตั้งหม้อและกล่าว
“อย่าออกจากห้องนี้ห้องนี้มีผนึกปิดกั้นเอาไว้ สัมผัสของผู้คนเข้ามาไม่ได้ ต่อให้คนที่ทรงพลังก็ยากจะสัมผัสถึงเจ้า แต่จะไม่เป็นเช่นนั้นถ้าเจ้าออกจากห้อง”
กิเลนน้อยพยักหน้าดวงตาสีม่วงของมันมองหม้อปรุงและวัตถุดิบด้วยความสงสัย
“เจ้านายทำอะไรน่ะ?”
ซือหยูตอบโดยไม่คิดอะไร
“ปรุงยา”
กิเลนน้อยครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้นมาอีก
“ข้าก็อยากปรุงยา!”
ซือหยูเกือบจะหัวเราะแต่หลังจากที่เขาเก็บไปคิดก็หยิบเอาตำราวิชาปรุงยาลับสวรรค์ให้กับมัน
“เอาไปสิอ่านดูเงียบๆล่ะ”
คงจะน่าฉงนสำหรับซือยหูถ้ากิเลนน้อยอ่านเข้าใจได้ซือหยูเพียงแค่ให้วิชากับมันเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น เขาหวังเพียงว่ามันจะไม่กวนตอนเขาปรุงยา!
กิเลนน้อยกระดิกหางอย่างตื่นเต้นมันคาบม้วนวิชาและไปที่มุมหนึ่งอขงห้อง มันใช้ขาคลี่ม้วนตำราออกวางลงบนพื้น มันจ้องมองด้วยดวงตากลมโตและอ่านด้วยความสนใจ
ซือหยูตกใจเมื่อเห็นมันทำแบบนั้นเขาไม่เคยรู้เลยว่ากิเลนน้อยอ่านภาษามนุษย์ได้ด้วย! แต่เวลาเขามีจำกัด เขาสนใจกิเลนน้อยไม่ได้นานนัก เขาเริ่มปรุงยาต่อไป
แต่ไม่นานหลังจากเริ่มปรุงยาก็มีเสียงรบกวนดังมาจากด้านนอก…
ชายร่างกำยำที่สวมสร้อยหนามพูดกับจ้าวหอ
“จ้าวหอท่านควรจะรู้จักข้าดี ไม่มีกิจการใดในตลาดมืดของตำหนักนอกที่ตระกูลเฉาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าได้ยินว่าท่านมีโอสถชีพโกลาหลขายจำนวนมาก ข้ามาเพื่อที่จะช่วยขายมัน”
จ้าวหอเพลิงคลั่งไม่สนใจข้อเสนอของเขา
“ข้ามีช่องทางของตัวเองทำไมข้าถึงต้องการเจ้าล่ะ? ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ไปซะ”
ชายร่างกำยำหัวเราะเบาๆ
“ท่านจ้าวหอเล่นตลกอะไร?ท่านไม่อยากจะให้คนระดับสูงรู้มิใช่รึว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับตลาดมืด และท่านก็ไม่อยากให้ฝ่ายปรุงยารู้เรื่องตัวตนของนักปรุงยาของท่านด้วย! หากฝ่ายปรุงยาเอาตัวนักปรุงยาผู้นั้นไป ทั้งท่านและข้าก็จะไม่ได้โอสถมาเลย!”
จ้าวหอเพลิงคลั่งสีหน้าเยือกเย็นราวน้ำแข็ง
“เจ้าขู่ข้าเรอะ?”
“หึหึท่านจ้าวหอควรจะคิดให้ดีนะ พวกเราก็แค่อยากจะหาข้อตกลงที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย”
ชายกำยำหัวเราะเบาๆด้วยเสียงประหลาดเห็นได้ว่าเขาไม่ได้เกรงกลัวจ้าวหอเพลิงคลั่งเลย
“เจ้าคิดว่าพื้นหลังที่แข็งแกร่งจะทำให้เจ้ามาพูดกับจ้าวเทวะแบบนี้ได้หรือ?”
ชายกำยำตอบ
“จ้าวเทวะล้วนมีระดับสูงในตำหนักนอกแต่ไม่มีค่าให้กล่าวถึงในตำหนักในท่านอยากจะทำให้ผู้นำตลาดมืดในตำหนักในไม่พอใจสินะ?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งหรี่ตานางมิอาจโต้แย้งข้อนี้ได้
ชายกำยำพูดติดตลก
“ข้าไม่สนว่าท่านจะได้โอสถมาจากไหนพวกเราต้องการแค่โอสถเท่านั้น เราจะรับซื้อที่ห้าสิบห้าคะแนนต่อเม็ดแล้วเอาไปขายเอง นี่ไม่ใช่ข้อตกลงแย่ๆหรอกนะ!”
ทันใดนั้นเองพลังอันเยือกเย็นได้ส่งผ่านมาจากนอกหอ บุรุษและสตรีเดินเข้ามา ทั้งคู่คือเสวี่ยฉีและนักเลงหลงที่กำลังเมา! ชายร่างกำยำไม่รู้จักเสวี่ยฉีแต่เขารู้จักนักเลงหลงดี เพราะทั้งคู่เป็นคนจากตลาดมืด
ชายร่างกำยำเริ่มระมัดระวัง
“นักเลงหลงข้ากำลังเจรจาค้าขาย เจ้าไม่เคารพกฎระเบียบเลยหรือ?”
เสวี่ยฉีขมวดคิ้วและหันไปมองนักเลงหลง
“รออะไรของเจ้า?”
“หึหึ…”
นักเลงหลงหัวเราะอย่างประหลาดและฉีกยิ้ม
“เสือที่สองเจ้ากล้าแยกเขี้ยวใส่ข้างั้นหรือ? เจ้าลืมวันก่อนๆที่เป็นสุนัขรับใช้ข้าแล้วรึ?”
ในอดีตเสือสองนั้นเป็นลูกน้องของนักเลงหลงมาก่อน แต่เมื่อตระกูลเฉาเปิดตลาดมืดในตำหนักนอก เขาก็ทรยศและกลายเป็นคนที่ดูแลตลาดมืดของตระกูลเฉา
“เจ้าเรียกใครว่าสุนัข?”
เขาไม่ยอมแน่!
ผั่วะ!
แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดต่อก็มีฝ่ามือตบเขากระเด็นลอยออกไปจากหอเพลิงคลั่ง!พลังของนักเลงหลงนั้นเหนือกว่าเสือสองหลายเท่า เสียงกรีดร้องดังลั่นจากภายนอกหลังจากผ่านไปไม่นาน
เสวี่ยฉีถอนหายใจเมื่อมองจ้าวหอเพลิงคลั่ง
“ท่านอาจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่าใดกัน?โจรกระจอกแบบนี้ยังรังแกท่านได้! กลับตำหนักในกลับข้าเสียเถอะ”
จ้าวหอเพลิงคลั่งคืออาของเสวี่ยฉี!
ในตอนนั้นเสียงกรีดร้องจากด้านนอกหยุดลงแล้ว เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของนักเลงหลงดังสะท้อนไปมาตามด้วยเสียงร้องอันเจ็บปวด
ฟึ่บ!
ชายชุดสีน้ำเงินพุ่งเข้ามาในหอพร้อมกันเขามีใบหน้าดุที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
“เฉาฉิงเฟิง?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งขมวดคิ้ว
“เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
เฉาฉิงเฟิงประสานมือไพล่หลัง
“ข้ามาหาคนปรุงโอสถจ้าวหอ จงพาข้าไปหาเขาซะ มิเช่นนั้นข้าจะรายงานฝ่ายปรุงยา!”
เมื่อพบกับคำขู่สีหน้าของจ้าวหอเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง
“ตระกูลเฉาของเจ้าชอบรังแกผู้คนจริงๆนะ”
เฉาฉิงเฟิงมองรอบๆซือหยูเพิ่งจะปรุงโอสถเสร็จพอดี กลิ่นโอสถได้โชยขึ้นมา
“หึหึจ้าวหอไม่ต้องลำบากแล้ว ข้าจะเชิญนักปรุงยาผู้นี้ด้วยตัวเอง…”
เฉาฉิงเฟิงก้าวไปข้างหน้า
สีหน้าของเสวี่ยฉีกับจ้าวหอตึงเครียดทั้งสองเดินตามเขาไป
เฉาฉิงเฟิงยิ้มจางๆและลดมือประสานหมัดหน้าประตู
“สหายข้าเฉาฉิงเฟิง ข้าอยากจะเจรจาการค้ากับเจ้า”
เสวี่ยฉีมองเขาอย่างเหยียดหยามขณะพูดกับซือหยูที่อยู่หลังประตู
“ท่านผู้อาวุโสข้าศิษย์ในเสวี่ยฉี ขออภัยที่รบกวนตอนที่ท่านปรุงยา”
แววตาของซือหยูที่อยู่ในห้องส่วนตัวนั้นเยือกเย็นเฉาฉิงเฟิงผู้นี้ช่างกล้านักที่มาตามหาเขาในเวลาแบบนี้
“เจ้าต้องการอะไร?”
ซือหยูถามอย่างเย็นชา
เฉาฉิงเฟิงพูดอย่างมั่นใจ
“ข้ามาในฐานะตัวแทนตระกูลเฉาข้าอยากจะร่วมมือกับเจ้า เราจะซื้อโอสถชีพโกลาหลในราคาเม็ดละห้าสิบห้าคะแนน ข้อตกลงนี้คุ้มค่า เพราะฝ่ายปรุงยาตั้งราคาไว้แค่ห้าสิบคะแนน”
เสวี่ยฉีหัวเราะเยาะ
“ราคาต่ำสุดในตลาดมืออยู่ที่หกสิบคะแนนแต่ตระกูลเจ้าอยากจะซื้อแค่ห้าสิบห้าคะแนนรึ? น่าขันนัก ท่านผู้อาวุโส ใยไม่ไว้ใจให้โอสถกับข้าเล่า? ข้ารับประกันได้ว่าราคาที่ต่ำที่สุดจะเป็นหกสิบคะแนน โปรดตัดสินใจด้วย”
ทั้งสองเริ่มต่อสู้แย่งชิงโดยไม่สนใจจ้าวหอเพลิงคลั่งถ้าซือหยูให้โอสถกับคนใดคนหนึ่งไป จ้าวหอเพลิงคลั่งก็จะไม่เหลืออะไรเลย
“ตัดสินใจรึ?ได้”
เรื่องราวคือว่าเฉาฉิงเฟิงนั้นมาที่นี่เพื่อจะขอบางอย่างจากเขาเขาถึงกับพยายามกดดันซือหยูแต่ทำให้อยู่ในรูปคำขอร้อง สันดานตระกูลเฉานั้นสืบทอดมารุ่นสู่รุ่นจริงๆ!
ซือหยูคิดว่าเขาต้องสั่งสอนเฉาฉิงเฟิงให้หลาบจำเมื่อต้องการขอบางอย่างจากใครเพราะเขาก็วางแผนสังหารซือหยูในเงามืดมาสองครั้งแล้ว เมื่อเขาแสดงตัวออกมาเองเช่นนี้ ซือหยูย่อมไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ
“แค่ห้าสิบห้าคะแนนเท่านั้นรึ?นายน้อยเฉา เจ้าตั้งใจจะรังแกข้าเพราะคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องราคาตลาดเพราะมีแต่พวกเจ้าที่จะเอาไปขายได้สินะ?”
ซือหยูทำเสียงให้เหมือนกับคนทีกำลังโมโห
เฉาฉิงเฟิงหัวเราะอย่างมั่นใจ
“มิได้!แต่เป็นเพราะชื่อเสียงของตระกูลเฉาของเรา”
“ชื่อเสียงตระกูลเฉารึ?”
ซือหยูหัวเราะ
“ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยิน!ข้าเพียงแต่ได้ยินว่าการทดสอบเมื่อไม่นาน คนตระกูลเจ้าทุกคนถูกฆ่าตายหมด จนถึงตอนนี้มือสังหารก็ยังลอยนวล! ถ้าตระกูลกระจอกเป็นต้นตอความโอหังมั่นใจของเจ้า ข้าก็ไม่คิดจะร่วมงานกันหรอก”
เฉาฉิงเฟิงชักสีหน้า
“ท่านควรจะระวังคำพูดให้ดีนะ”
ซือหยูถอนหายใจแรง
“ข้าจะพูดอะไรก็ย่อมได้ถ้าไม่อยากฟังก็ไสหัวไปซะ”
ในตอนนี้เฉาฉิงเฟิงหน้าแดงก่ำ แต่เขาก็กลืนความโกรธเข้าไป
“สหายคำพูดข้าอาจะไม่เหมาะนัก โปรดยกโทษให้ข้า ถ้าเจ้าคิดว่าราคายังต่ำ เราก็จะเพิ่มเป็นหกสิบคะแนนให้ได้”
ซือหยูพูดอย่างเย็นชา
“ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่อยากร่วมงานกับตระกูลเฉาหรอกนะจริงๆเม็ดละห้าสิบห้าคะแนนนั้นมากพอแล้ว…”
อะไรนะ?เสวี่ยฉีกับจ้าวหอเพลิงคลั่งตกตะลึง
เฉาฉิงเฟิงสีหน้าดีขึ้นเขาถาม
“สหายใยไม่พูดสิ่งที่เจ้าต้องการเล่า?”
“ง่ายดายนักหากเจ้าเป็นตัวแทนของทั้งตระกูล เจ้าแค่มาเลียรองเท้าข้าให้สะอาด เพียงเท่านั้นข้าก็จะปรุงยาให้เจ้า…”
ซือหยูพูดอย่างใจเย็น
หากเฉาฉิงเฟิงไม่รู้วิธีขอความช่วยเหลือจากใครซือหยูก็ต้องสั่งสอนให้รู้ว่ามันควรจะทำแบบไหน!