“คุณอยากอ่านตอนนี้หรือ?” หวู่เฉินชะงักไปกับคำพูดนั้น

เขาไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มคิดจะทำอะไร

ทุกคนกำลังหารือกันเรื่องที่จะเอาตัวรอดจากผืนทรายแห่งมิติและเข้าสู่พระราชวังเพื่อตามหาเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน แต่ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ คุณกลับบอกผมว่าคุณอยากอ่านหนังสือ*…*

จะเสนอแนะอะไรที่มันเหมาะสมกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง?

“ปรมาจารย์จาง เรากำลังตกที่นั่งลำบากนะ เราเข้าพระราชวังไม่ได้ ถอยกลับก็ไม่ได้ด้วย ทำไมเราไม่หารือกันว่าจะไปจากที่นี่ได้อย่างไร มันน่าจะดีกว่า” หวู่เฉินแนะนำอย่างกระอักกระอ่วน

พูดตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะหลัวลั่วชิงชอบหมอนี่ เขาคงจะตบอีกฝ่ายให้ตายไปแล้ว!

ถือว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์ ก็เลยทำอะไรตามใจอย่างนั้นสิ*?*

“ผมพูดแบบนั้นก็เพื่อจะพาพวกเราออกจากสถานการณ์นี้” จางเซวียนตอบ “ผมเคยเห็นตระกูลหลัวใช้ความสามารถของสายเลือดและศาสตร์ลับแห่งมิติของพวกเขามาแล้ว ขอแค่คุณมอบหนังสือเกี่ยวกับมิติที่คุณมีอยู่ให้ผม ผมคิดว่าผมพอจะประมวลเทคนิควรยุทธที่มีรูปแบบเดียวกัน คือมีองค์ประกอบของแก่นสารแห่งมิติ และสามารถแก้ไขสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ได้!”

“คุณจะฝึกฝนวรยุทธตอนนี้หรือไง?” หวู่เฉินแทบกระอักเลือด

ที่แท้หมอนี่ก็คิดแบบนี้นี่เอง…

เขาช่างฝันกลางวันได้เก่งจริงๆ!

หวู่เฉินสูดหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังพุ่งปรี๊ดก่อนจะสงบลงและพูดว่า “ปรมาจารย์จาง ผมรู้ว่าคุณเป็นคนปราดเปรื่อง แต่กฎเกณฑ์แห่งมิตินั้นคือกฎเกณฑ์ที่ยากที่สุดในบรรดากฎเกณฑ์ทั้งหลายแหล่ของโลกใบนี้ โดยเฉพาะสำหรับแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ มีอัจฉริยะมากมายนับไม่ถ้วนที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อศึกษาศาสตร์นี้ แต่ก็ไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย…ผมเกรงว่าคุณมาเริ่มฝึกฝนวรยุทธเอาตอนนี้คงจะสายไป!”

ถ้าการทําความเข้าใจกฎเกณฑ์แห่งมิติมันง่ายดาย ตระกูลหลัวคงไม่มีสถานภาพสูงส่งในทวีปแห่งปรมาจารย์อย่างทุกวันนี้

มาคิดจะศึกษาเล่าเรียนหลังจากที่ตัวเองติดกับแล้ว*…คุณคิดว่าแก่นสารแห่งมิตินั้นเหมือนกะหล่ำปลีที่มีขายข้างถนน จะหยิบฉวยเอาเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการหรือไง?*

ขณะที่หวู่เฉินกำลังจะพูดต่อ ก็ได้ยินเสียงเบาๆของหลัวลั่วชิงดังขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“ถ้าจางเซวียนพูดแบบนั้น เขาก็คงพิจารณาดีแล้ว มอบหนังสือให้เขาไปเถอะ”

“ขอรับ นายหญิง!”

ในเมื่อหลัวลั่วชิงเอ่ยปาก หวู่เฉินก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาสะบัดข้อมือและนำหนังสือกองใหญ่ที่รวบรวมไว้ตลอดระยะเวลาหลายปีออกมา มันกองทับซ้อนกันขึ้นไปจนเหมือนกับภูเขาขนาดย่อมๆ

ขณะที่นำหนังสือเหล่านั้นเอามา เขาก็อดฮึดฮัดในใจไม่ได้ สงสัยเหลือเกินว่าหมอนั่นใช้เวทมนตร์ชนิดไหน นายหญิงจึงเชื่อใจเขามากขนาดนี้*!*

จางเซวียนไม่รู้ว่าหวู่เฉินคิดอะไร เขารีบกวาดสายตาผ่านกองหนังสือและถ่ายโอนมันเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า ขณะที่กำลังประมวลหนังสือเหล่านั้นเป็นศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้า ก็ทำทีหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากในกองมาเปิดอ่านเป็นการกลบเกลื่อน

แต่โชคร้ายที่หนังสือเล่มที่เขาหยิบมานั้นมีแต่จะทำให้อารมณ์ของหวู่เฉินเดือดพล่านขึ้นอีก เขาแทบกระอักเลือดออกมา

บนปกหนังสือเขียนไว้ว่า ‘กฎเกณฑ์แห่งมิติสำหรับมือใหม่’

มาอ่านกฎเกณฑ์พื้นฐานของมิติเอาตอนนี้*…ผมคงแก่ตายเสียก่อนว่าคุณจะเข้าถึงแก่นสารของมิติ!*

ถึงหวู่เฉินจะขัดใจสักแค่ไหน แต่ในเมื่อหลัวลั่วชิงให้ท้ายจางเซวียน เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องระงับความหงุดหงิดไว้

ส่วนจางเซวียน ขณะที่พลิกดูกฎเกณฑ์แห่งมิติสำหรับมือใหม่ สมาธิของเขาก็เพ่งอยู่กับหอสมุดเทียบฟ้า

ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาประมวลหนังสือมากมายที่หวู่เฉินมอบให้เขาเพื่อให้กลายเป็นศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้า เขาได้กำจัดข้อบกพร่องของมันออกไปจำนวนหนึ่ง ด้วยปริมาณหนังสือที่มีอยู่มากมายในตอนนี้ จางเซวียนจึงประมวลศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติขั้น 4 ได้สำเร็จ และมีความสมบูรณ์แบบถึงระดับของเคล็ดวิชาเทียบฟ้า

“ขั้นการสรรค์สร้างนั้นอยู่กับแนวคิดของการสร้างมิติลี้ลับที่มีความมั่นคง หากใครสักคนสามารถสร้างมิติขึ้นได้ แปลว่าเขาสามารถจะทำให้พื้นที่ที่เกิดขึ้นมีความมั่นคงได้เช่นกัน…”

จางเซวียนปล่อยให้รายละเอียดของหนังสือซึมซาบเข้าสู่หัวสมองของเขา จากนั้นก็หลับตาลงช้าๆ

ทั้ง 5 ขั้นของศาสตร์การปลดปล่อยมิติเทียบฟ้ามีชื่อว่าการบีบอัด การทะลุมิติ การควบคุม การสรรค์สร้าง และการทำลาย

ความคิดแรกของเขาเมื่อได้เห็นหลักการเหล่านี้ก็คือนักปราชญ์โบราณชิวอู๋น่าจะเรียงลำดับไว้ผิด พูดกันตามตรง ผู้ศึกษาควรจะทำความเข้าใจการทำลายก่อนจะทำความเข้าใจการสรรค์สร้าง ไม่ใช่หรือ?

แต่เมื่อเขาเริ่มเข้าใจสาระสำคัญของการสรรค์สร้างที่อยู่ในศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้า ก็ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีความผิดพลาดอะไร

 

ขั้นตอนการสรรค์สร้างนั้นให้รายละเอียดของการสร้างมิติ โดยจำกัดอยู่แค่การสร้างมิติลี้ลับที่มีขนาดเล็กมากกว่าจะเป็นมิติที่มีความเสถียรแบบทั่วไปอย่างทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่สำหรับการทำลายนั้นเป็นอีกระดับหนึ่ง มันเกี่ยวข้องกับการฉีกกระชากมิติเพื่อให้ก้าวไปสู่อิสระที่แท้จริง

พูดให้ง่ายขึ้นก็คือ นักรบที่ทำความเข้าใจถึงขั้นการทำลายจะไม่เพียงแต่ทะลุมิติได้อย่างอิสระด้วยจิตวิญญาณของพวกเขา แม้แต่ร่างกายก็สามารถทะลุผ่านมิติได้อย่างง่ายดายด้วย!

มีแต่ผู้ที่เข้าถึงขั้นนั้นถึงจะได้ชื่อว่าเข้าถึงขั้นสุดยอดแห่งมิติ มีอิสระและความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง

แต่การจะสำเร็จความเข้าใจถึงขั้นการทำลายก็เป็นเรื่องยากมาก แม้แต่นักปราชญ์โบราณชิวอู๋ก็ยังมีความเข้าใจในขั้นการทำลายเพียงบางส่วนเท่านั้นตอนที่เขาทิ้งศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเอาไว้ โดยเข้าถึงเพียงขั้นการประสบความสำเร็จในภาพรวม

โชคดีที่จางเซวียนไม่ได้ต้องการฝึกฝนถึงขั้นที่ 5 ลำพังแค่ขั้นที่ 4 ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาพ้นจากสถานการณ์อันยากลำบากนี้แล้ว

จางเซวียนสูดหายใจลึก เขาศึกษารายละเอียดของศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าขั้น 4 อีกครั้งก่อนจะเริ่มฝึกฝนวรยุทธ

ฟิ้ววววว!

พลังงานในร่างกายของเขาเริ่มหมุนเวียนไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ ในชั่วพริบตา ทั้งทางเดินพลังปราณและพลังปราณของเขาก็ดูจะหายวับไปในมิติลี้ลับ ทำให้ไม่มีทางที่ใครจะรับรู้ถึงมันได้อีก

“ผมเข้าใจแล้ว!”

เมื่อรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย จางเซวียนตาโตเพราะความเข้าใจอย่างล้ำลึกที่ปรากฏขึ้น

ถึงจางเซวียนจะหยุดการฝึกฝนวรยุทธของศาสตร์การปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าเมื่อมาถึงขั้น 3 แต่ความเข้าใจเรื่องมิติของเขาก็ล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆตามระดับวรยุทธที่สูงขึ้น แน่นอนว่าความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งมิติที่ล้ำลึกขึ้นซึ่งเป็นผลจากการยกระดับวรยุทธนั้นมีความแตกต่างจากความเข้าใจที่เขาได้จากการศึกษาศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้า แต่ความรู้ทั้ง 2 แขนงนี้ก็สามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันได้

ความกระจ่างที่เกิดขึ้นใหม่ในสมองของเขาทำให้เขามีความเข้าใจอย่างชัดเจนและมองทะลุถึงรากฐานของมิติได้อย่างถ่องแท้

“มิติที่สมบูรณ์ก็เหมือนกับรังผึ้งที่เชื่อมต่อโครงสร้างของมันเข้าด้วยกัน ต่อให้มีวัตถุบางอย่างร่วงลงไปบนนั้น โครงสร้างของมันก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งนี้คือคุณสมบัติที่ทำให้คนคนหนึ่งเคลื่อนที่ผ่านมิติได้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผืนทรายแห่งมิติก็เหมือนกับทรายดูดในธรรมชาติ ทันทีที่มันจะเชิญหน้ากับพละกำลังจากภายนอก ก็จะดึงดูดวัตถุแปลกปลอมนั้นเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มันเคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้…”

ความเข้าใจอย่างล้ำลึกในธรรมชาติของมิติทำให้จางเซวียนมองเห็นสภาพที่แท้จริงของผืนทรายแห่งมิติ

เหตุผลที่มิติมีความเสถียรก็เพราะมันถูกสร้างขึ้นจากองค์ประกอบเล็กๆที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เหมือนกับตอกที่ถูกสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นแผ่นใหญ่

ผืนทรายแห่งมิตินั้น แท้ที่จริงแล้วคือเศษเสี้ยวของมิติที่กระจัดกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบ ซึ่งการจะเดินทางข้ามมันก็เหมือนกับการพยายามเดินลุยน้ำ ไม่มีพื้นที่ที่แข็งพอจะให้เหยียบย่ำลงไปได้

ผู้ที่ต้องการข้ามมันจะต้องทำให้ผืนทรายแห่งมิติมีความมั่นคงเสียก่อนถึงจะเดินทางผ่านมันไปได้สำเร็จ

ขณะที่จางเซวียนกำลังทำความเข้าใจศาสตร์แห่งการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าขั้น 3 หวู่เฉินก็ส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด “นายหญิง พวกเรารอคอยอยู่อย่างนี้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย คนพวกนั้นคงเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้ว ถ้าพวกมันได้เครื่องรางลำดับแรกไป ก็ไม่มีอะไรที่เราจะทำได้อีก”

“แล้วเธอมีความคิดอื่นที่ดีกว่านี้นอกจากการรอคอยหรือ?” หลัวลั่วชิงมองหวู่เฉินด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความกังวลใจแม้แต่น้อย

“ถ้ามันจำเป็นจริงๆล่ะก็ ทำไมถึงไม่ให้ผม…” หวู่เฉินกัดฟันขณะพยายามจะเสนอแนะ

“ไม่ดีหรอก นั่นมีแต่จะทำให้ให้ใครๆระแวง และสถานการณ์ก็จะยุ่งยากขึ้น” หลัวลั่วชิงส่ายหน้า “เลิกกังวลเสียที แล้วเชื่อมั่นในตัวจางเซวียน ในเมื่อเขาพูดว่าเขามีความคิดแล้ว เขาก็จะต้องหาทางจนได้”

“ให้ผมเชื่อมั่นในตัวเขา…” หวู่เฉินพูดไม่ออกกับความไว้วางใจอย่างสุดตัวของหลัวลั่วชิง “เขาแค่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาศาสตร์แห่งมิติ และหนังสือที่ผมมอบให้เขานั้นส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงหลักการพื้นฐาน ใครจะไปรู้ว่าอีกกี่ปีเขาถึงจะเข้าใจแก่นสารของมิติ กว่าจะถึงตอนนั้น มันคงสายไปแล้ว…”

ฟิ้วววว!

ยังไม่ทันที่หวู่เฉินจะพูดจบ สายลมแผ่วๆก็โชยผ่านใบหน้าของเขา

“ลมพัด? มีลมพัดมาจากผืนทรายแห่งมิติได้อย่างไรกัน?” หวู่เฉินนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ

ภายใต้สถานการณ์ปกติ ต่อให้ใครสักคนพยายามกระพือให้เกิดลมอย่างสุดชีวิต ผืนทรายแห่งมิติก็จะไม่ขยับเขยื้อน แต่ทำไมจู่ๆถึงมีสายลมพัดมาจากผืนทรายแห่งมิติได้?

ครืนนนน!

หวู่เฉินยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขารู้สึกว่าพื้นที่รอบตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง กระแสพลังจิตวิญญาณพุ่งตรงอย่างดุเดือดเข้าใส่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

พริบตาต่อมา ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น เขายิ้มน้อยๆ

“แข็งตัว!”

เมื่อสิ้นเสียงตะโกน ผืนทรายแห่งมิติที่กระจัดกระจายอยู่ก็แข็งทื่อไปในทันที