ภาคที่ 27 รักษาการณ์เมืองอลหม่าน ตอนที่ 6 หนีไปให้ไกล

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 6 หนีไปให้ไกล โดย Ink Stone_Fantasy

บุรุษอาภรณ์สีดำและผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งของเขามองดูฝูงปลาสีม่วงเข้มนับพันตัวที่ปกคลุมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดินด้วยความแตกตื่น สวบๆๆ มันทะยานข้ามท้องฟ้ามาราวกับลูกดอกอย่างไรอย่างนั้น รวดเร็วเกินไปแล้ว แม้จะยังมิทันได้สัมผัส แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นก็รู้สึกได้ว่าวิญญาณสั่นสะท้านไปหมด ระดับขั้นช่างแตกต่างกันมากเกินไปแล้วจริงๆ

ปลาสีม่วงเข้มเหล่านี้สังหารขั้นรวมเป็นหนึ่งได้เหมือนกับผ่าแตงหรือหั่นผักอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย

“อ๊าก”

“ไม่…”

“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์”

แต่ละคนล้วนสิ้นหวัง ปลาสีม่วงเข้มจำนวนมากทะลุร่างของพวกเขาเสียงดังสวบๆๆ แล้วทำลายร่างของพวกเขาอย่างง่ายดายด้วยความเร้นลับของการทำลายล้างด้วยวิถีเข่นฆ่า เมื่อทะลุผ่านเพียงคราเดียว นอกจากบุรุษอาภรณ์สีดำและสัตว์ประหลาดในอ้อมแขนของเขาแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่แหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปแทบทั้งสิ้น ทิ้งไว้เพียงอาวุธและวัตถุต่างๆ เท่านั้นที่ร่วงลงมา

บุรุษอาภรณ์สีดำตัวสั่นทั้งที่มิได้หนาวเหน็บ เขาหวาดผวาเสียจนต้องรีบเคลื่อนที่ในพริบตา “เทพอากาศขั้นกำเนิดเช่นเขาคนหนึ่งไยจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้เล่า”

ขณะที่เขาเคลื่อนที่ในพริบตาก็มีปลาสีม่วงเข้มกว่าร้อยสายทะลุอากาศไล่ล่าเขาต่อในทันที ฟึ่บๆๆๆ…บุรุษอาภรณ์สีดำมิทันได้หลบหลีก ขณะที่เคลื่อนที่ในพริบตาทะลุอากาศ ปลาสีม่วงเข้มเหล่านั้นก็ปะทะเข้ากับร่างของเขา ทว่าผิวกายของเขาก็มีแสงสีดำอันเรืองรองอยู่ชั้นหนึ่งซึ่งสามารถสกัดกั้นการลอบโจมตีเหล่านั้นเอาไว้ได้

บุรุษอาภรณ์สีดำสัมผัสได้ถึงอานุภาพของปลาสีม่วงเข้มเหล่านั้น ที่ปะทะเข้ากับแสงคุ้มกาย เขาอดแตกตื่นขึ้นมามิได้

“เคราะห์ดี เคราะห์ดีที่มีวัตถุคุ้มกายที่ท่านพี่มอบให้ มิเช่นนั้นแล้วเมื่อครู่ข้าคงจะสิ้นใจไปแล้ว” บุรุษอาภรณ์สีดำสีหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้นมา เขาปรากฏกายขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า พลางจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่กลางฟากฟ้าไกลออกไปเขม็ง

“หา ไม่ตายหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวที่อยู่ไกลออกไปมองดูพลางตกตะลึงไปเล็กน้อย

“ไป ฆ่าเขาเสีย!” บุรุษอาภรณ์สีดำโยนสัตว์ประหลาดในอ้อมแขนออกไป สีหน้าเหี้ยมเกรียม นัยน์ตาทั้งสองฉายแววโกรธเคืองหาใดเปรียบ เขาเกือบ เกือบจะตายไปแล้ว!

หลังจากสัตว์ประหลาดตนนั้นบินออกไปแล้ว ก็เปล่งเสียง ‘แคว่ก’ แหลมบาดหูอยู่กลางอากาศ ดวงตาของมันจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็ง กลางอากาศรอบด้านพลันมีอสนีบาตฟาดดังเปรี้ยงปร้าง อานุภาพของอสนีบาตเหล่านี้ทำเอาพวกยอดฝีมือที่อยู่ไกลออกไปเช่นผู้ดำเนินงานจิ่วฉีใจสะท้านไปหมด สามารถมีอานุภาพเช่นนี้ได้ภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์โลกทิพย์ ในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่ง พลังของสัตว์ประหลาดตนนี้ก็นับว่าน่าหวาดหวั่นมากแล้ว

ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวก็ยังคงมองดูทั้งหมดนี้อย่างสงบ

สัตว์ประหลาดมีขนมันเงาวับทั้งร่าง เท้าทั้งสี่ย่ำอากาศก่อนจะหายวับไปแล้วเข้าสังหารในทันใด

“ตั้ง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงเบาคราหนึ่ง

ฟึ่บๆๆ…

ระลอกคลื่นเป็นสายละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพลันแทรกเข้าไปในอากาศ ขณะเดียวกันก็ยังมีปลาสีม่วงเข้มแน่นขนัดที่เข้าไปในอากาศแล้วหายวับไป เพียงพริบตาเดียว สัตว์ประหลาดกลางอากาศตนนั้นก็ถูกพบเข้าแล้ว มันถูกระลอกคลื่นเล็กละเอียดอันโปร่งใสจำนวนนับไม่ถ้วนพันธนาการเอาไว้ ขณะเดียวกันปลาสีม่วงเข้มแน่นขนัดนั้นก็โจมตีเข้าไปในร่างของมันครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างบ้าคลั่ง มันร้องคำรามอย่างโกรธเคืองพลางดิ้นรนสุดกำลัง ถึงขั้นทำให้ระลอกคลื่นเล็กละเอียดจำนวนมากขาดสะบั้นลงในพริบตา แต่ในขณะที่ขาดสะบั้นลงนั้น กลับยังมีคลื่นเล็กละเอียดพันมัดอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้มันมิอาจสกัดกั้นการลอบโจมตีของฝูงปลาเกราะพลได้อย่างเต็มกำลัง ปลาเกราะพลเข้าไปในร่างของมันอย่างไม่หยุดหย่อน

ภายใต้การล้อมโจมตีของปลาสีม่วงเข้มนับพันตัว แรงดิ้นรนของมันก็อ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็เงียบลงไป

มันได้กลายเป็นความว่างเปล่าไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงวัตถุต่างๆ เช่นกำไลเก็บวัตถุเป็นต้น

“เป็นสัตว์ประหลาดที่ร้ายกาจนัก เกรงว่าคงจะนับได้ว่าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “หากเป็นก่อนที่จะฝึกฝนแผนภาพคลื่นจาน เกรงว่าข้าคงต้องเข้าห้ำหั่นประชิดตัวจึงจะมีหวังคว้าชัยได้”

แผนภาพคลื่นจาน ศาสตร์ลับวิถีระลอกคลื่นขั้นสุด

ในด้านบริเวณ มันเป็นอันดับหนึ่งของวังทวีสูญอย่างไม่ต้องสงสัย! ในฐานะศาสตร์ลับจำพวกบริเวณที่แข็งแกร่งที่สุดผนวกกับ ‘มังกรมัจฉาปลิดชีพ’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นขณะบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่สามในตอนนั้น ท่าไม้ตายล้อมโจมตีกระบวนนี้ร่วมกับศาสตร์ลับจำพวกบริเวณที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม สัตว์ประหลาดขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดถูกเจาะพรุนจนตายไปเช่นนี้เอง

“น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว นี่คือพลังของผู้อาวุโสตงป๋อหรือ” ผู้ดำเนินงานจิ่วฉีและผู้ดำเนินงานคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึง พวกเขาเห็นสัตว์ประหลาดตนนั้นถูกปลาสีม่วงเข้มจำนวนนับไม่ถ้วนชอนไชเข้าไปในกายจนท้ายที่สุดก็กลายเป็นความว่างเปล่า พวกเขามองพลังของสัตว์ประหลาดออก ขณะที่สัตว์ประหลาดปะทุพลังออกมานั้น พวกเขาล้วนสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามอันเข้มข้น พวกเขาก็เพิ่งจะรู้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดายอดฝีมือลัทธิทิพย์โบราณกลุ่มนี้ก็คือเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้นั่นเอง

แต่ผลลัพธ์น่ะหรือ

ผู้อาวุโสตงป๋อยืนอยู่ตรงนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ยืนอยู่กลางอากาศ ก็สามารถสังหารศัตรูได้อย่างง่ายดาย

“แม้จะเป็นขั้นกำเนิด แต่ก็ไม่เสียทีที่ผู้อาวุโสตงป๋อเป็นผู้อาวุโสตำหนักใน หากจะสังหารพวกเรา เกรงว่าเพียงชั่วลมหายใจเดียวก็คงจะสามารถจัดการพวกเราได้แล้ว” พวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีทั้งตื่นตระหนกทั้งนับถือ พลังของผู้บำเพ็ญนั้น ผู้แกร่งกล้าก็เป็นที่เคารพ พวกเขาจึงย่อมเคารพผู้แกร่งกล้ายิ่งกว่าเป็นธรรมดา

……

ภายในกรงมากมายท่ามกลางซากปรักหักพัง เหล่าผู้บำเพ็ญที่ถูกจองจำอยู่ในกรงต่างก็เคืองแค้นลัทธิทิพย์โบราณเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่าหวาดหวั่นของผู้แกร่งกล้าลัทธิทิพย์โบราณกลุ่มนั้น แต่เมื่อชายหนุ่มอาภรณ์ขาวกลางอากาศที่กลิ่นอายก็ดูเหมือนจะมิได้นับว่าแข็งแกร่งผู้นั้นยังมิทันได้ขยับตัว เพียงแค่ชี้นิ้วออกไปคราหนึ่ง ปลาจำนวนนับไม่ถ้วนก็เข้าปกคลุม…

ยอดฝีมือลัทธิทิพย์โบราณกลุ่มใหญ่ถูกสังหาร

แม้ภายหลังสัตว์ประหลาดที่โผล่ออกมาจะดูเหมือนน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าประมุขรัฐปีกทองเสียอีก แต่ก็ถูกชายหนุ่มอาภรณ์ขาวสังหารไปอย่างง่ายดาย

พลังอันน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ ทำให้พวกเขาทั้งตื่นเต้นทั้งตื่นตระหนก แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

“ไม่” บุรุษอาภรณ์สีดำเห็นฉากนี้เข้าก็ตะลึงงันไป

สัตว์ประหลาดตนนี้เป็นสิ่งที่พี่ชายส่งมาให้ติดตามเขา ดูคล้ายจะเป็นสัตว์เลี้ยง แต่อันที่จริงมีไว้เพื่อปกป้องเขาโดยเฉพาะ! หากพูดถึงพลังแล้วก็คือขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดโดยสมบูรณ์ ขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไป เพียงปากของสัตว์ประหลาดตนนี้อ้าออกมาคราหนึ่งก็สามารถกลืนกินไปเป็นสิบเป็นร้อยได้แล้ว เท่าที่เขารู้ ทั่วทั้งเมืองวารีสวรรค์ก็มีแต่ ‘ผู้อาวุโสชุนอู้’ เท่านั้นที่จะสามารถสังหารสัตว์ประหลาดตนนี้ได้อย่างง่ายดาย

หาก ‘ผู้อาวุโสกานอวี๋’ ที่รองลงมาจากเขาลงมือเอง สัตว์ประหลาดก็ยังสามารถต้านทานได้บ้างเล็กน้อย

แต่ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งเป็นเพียงขั้นกำเนิดตรงหน้าผู้นี้กลับน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ได้

“เขา เขาเป็นผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ” บุรุษอาภรณ์สีดำก็พอจะเดาออก ขั้นกำเนิดก็น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้แล้ว จะต้องเป็นผู้อาวุโสตำหนักในอย่างแน่นอน!

พูดแล้วเหมือนจะช้า

ความคิดเพียงแค่แวบผ่านสมองของบุรุษอาภรณ์สีดำ จากนั้นก็มีเสียงตะคอกดังสนั่น “เจ้าเป็นใครกัน”

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวเหลือบมองลงไปยังบุรุษอาภรณ์สีดำผู้นั้น มองดูแสงสีดำคุ้มกายเหนือผิวของเขาพลางกล่าวว่า “เขาคงจะมีวัตถุจำพวกเดียวกับป้ายอักขระรักษาชีวิตของข้า ทว่าเมื่อพลังงานเผาผลาญจนสิ้น ก็คงมิอาจต้านทานได้แล้ว” เพียงชั่วความคิดเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิง ปลาสีม่วงเข้มแน่นขนัดนั้นก็พลันเปลี่ยนทิศมุ่งโจมตีมาทางบุรุษอาภรณ์สีดำทันที

บุรุษอาภรณ์สีดำเห็นเข้าก็โกรธเสียจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พลางมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาอำมหิตแวบหนึ่ง

“วิ้ง!”

ระลอกคลื่นมิติอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งห่อหุ้มเขาเอาไว้ แล้วบังคับเคลื่อนย้ายเขาไป

สวบ!

ขณะที่บุรุษอาภรณ์สีดำถูกเคลื่อนย้ายไปนั้น ก็ยังมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยแววอาฆาตแค้น

“หายไปแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว ระลอกคลื่นมิตินี้หายวับไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว อีกทั้งระยะที่หายไปนั้นก็ห่างออกไปมาก เกินกว่าขอบเขตที่ตนจะสามารถรับรู้ได้

“ปล่อยให้ปลาตัวใหญ่ที่สุดเล็ดรอดไปได้เสียนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดาออกว่า บุรุษอาภรณ์สีดำผู้นี้สามารถบัญชาการคนได้มากมายถึงเพียงนี้ คงจะต้องเป็นระดับ ‘ทูตทิพย์’ ของลัทธิทิพย์โบราณอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้กลับปล่อยให้เขาหนีไปได้เสียแล้ว

“มีสมบัติล้ำค่าคุ้มกาย ทั้งยังมีสมบัติล้ำค่าที่ใช้หลบหนี นี่ต้องมิใช่ทูตทิพย์ธรรมดาสามัญเป็นแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงหงุดหงิดใจอยู่บ้าง การสังหารทูตทิพย์คนหนึ่งนั้นมี ‘แต้มความดีความชอบ’ เป็นรางวัล สถานะทูตทิพย์ยิ่งสูงเท่าใด รางวัลก็ยิ่งสูงตามไปด้วย! ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุที่ช่วยในการบำเพ็ญ หรือเพื่อการบำเพ็ญในตำหนักกาลเวลา ตนก็ล้วนต้องการแต้มความดีความชอบจำนวนมากทั้งสิ้น

น่าเสียดาย ทูตทิพย์เช่นนี้คนหนึ่งกลับหนีไปเสียแล้ว

แต่ก็ช่วยไม่ได้ ‘มังกรมัจฉาปลิดชีพ’ ของตนสั่นคลอนแสงทิพย์คุ้มกายของอีกฝ่ายมิได้เลย บริเวณที่หนีไปก็อยู่นอกเหนือจากบริเวณการรับรู้ของตนไปไกลลิบ ทูตทิพย์ซึ่งมีสถานะสูงส่งพอเช่นนี้ การรักษาชีวิตก็ร้ายกาจ จะสังหารก็ยากยิ่งนัก

“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงมา กวักมือคราหนึ่งก็เก็บวัตถุของเทพอากาศที่ตายไปเหล่านั้นลงไปจนสิ้นแล้ว ขณะเดียวกันก็หมุนกายไปพลางกำชับว่า “ผู้ดำเนินงานจิ่วฉี ปกป้องรอบด้านเอาไว้ให้ดี รอบซากปรักหักพังของจวนแห่งนี้ผู้ใดก็มิได้รับอนุญาตให้ออกไปโดยเด็ดขาด รอให้ข้ามาตรวจสอบโดยละเอียดเสียก่อน”

“ขอรับ” ผู้ดำเนินงานจิ่วฉีน้อมรับคำสั่งทันที

เขาก็รู้ว่าหากเกี่ยวพันกับลัทธิทิพย์โบราณแล้ว มิอาจประมาทได้แม้แต่น้อย

ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดสายตามองออกไปยังอีกสองทิศทางไกลออกไป ทั้งสองแห่งนั้นล้วนกำลังต่อสู้กันอยู่ ทว่าที่หนึ่งนั้นดูเหมือนว่าฝ่ายตนใกล้จะได้รับชัยชนะแล้ว เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งก็เคลื่อนที่ในอากาศจากไปในทันที

 ……………………………………