บทที่ 1712 - คำถามที่น่าเขินอาย งานเลี้ยงฉลองทารกน้อย

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่1712 – คำถามที่น่าเขินอาย งานเลี้ยงฉลองทารกน้อย
  ฮวงหวู่รับการโจมตีด้วยความพยายามอย่างหนักแต่ในที่สุดเขาก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีได้อีกต่อไป เลือดปรากฏขึ้นที่มุมปาก ซึ่งทันทีที่เขาเริ่มบาดเจ็บ เขาก็รับรู้ได้ว่าชิงสุ่ยเองก็หยุดการโจมตีลงทันที ดูเหมือนนี้จะเป็นความแตกต่างระหว่างเขากับชิงสุ่ย
  เขายืนดูชิงสุ่ยเป็นเวลานานโดยไม่พูดอะไรสักคำเดียวสีหน้าของเขาค่อยๆดีขึ้นอย่างช้าๆ
  เขาไม่เคยคิดเลยว่าชิงสุ่ยจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นี้จะปกปิดตัวตนได้อย่างสมบูรณ์
  ชิงสุ่ยเองก็ไม่พูดอะไรเขาเอาแต่ยืนมองด้วยรอยยิ้ม เขาก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าฮวงหวู่จะเป็นคนกลับคำพูดหรือไม่ ถ้าหากเขาโน้มน้าวให้คนรอบตัวลุมโจมตีพร้อมกัน มันคงเกิดการต่อสู้ที่ยากลำบาก แต่ถึงกระนั้น ชิงสุ่ยก็ไม่เกรงกลัว หากมันเกิดขึ้นจริง เขาก็จะเข็นฆ่าทุกคนที่นี่ให้ราบเรียบเพื่อไม่ให้ชีวิตตัวเองต้องเสี่ยงอีกต่อไป
  ชายชรา2 คนจากฝั่งตรงข้ามพุ่งตรงมาเพื่อตรวจสอบร่างกายฮวงหวู่ก่อนที่จะให้โอสถเม็ดเพื่อฟื้นฟูพลัง
  ชิงสุ่ยเผชิญหน้ากับชายชราทั้งสองคนอย่างใจเย็นชิงสุ่ยมองเห็นความโกรธแค้นจากสายตาชายชราทั้งสอง แต่เขาก็ไม่ได้เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น และดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่กล้าทำอะไรเขา
  อย่างไรก็ตามขณะเดียวกัน ฮวงหวู่ก็กล่าวออกมาว่า “เอาล่ะ พวกเรากลับกันเถอะ”
  เมื่อได้ยินคำพูดของฮวงหวู่ชายชราทั้งสองเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ผู้นำของพวกเขาจะยอมละทิ้งก่อนทุกอย่างจะเริ่ม นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาเปลี่ยนความคิดเป็นยอมแพ้ก่อนที่ทุกอย่างจะสาย
  เขายอมแพ้จริงๆนั้นรึ?หรือเป็นการพักรบชั่วคราว?
  ”ท่านช่วยบอกชื่อของท่านแก่ข้าได้หรือไม่?คืออนาคตข้าจะได้กลับมาแก้แค้น”ฮวงหวู่กล่าวขณะจ้องมองชิงสุ่ย ครั้งนี้เขาไม่มีท่าทีแสดงความดีใจหรือโศกเศร้าใดๆทั้งสิ้น
  ”เจ้าสามารถเรียกเขาว่าชิงสุ่ยข้าพร้อมยินดีที่จะเจอเจ้าตลอดตราบที่เจ้าต้องการ”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างเมินเฉยในขณะเดียวกันเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
  ”พวกเรากลับ!!”
  ฮวงหวู่และพรรคพวกที่เหลือจากไปอย่างรวดเร็วชิงสุ่ยรู้สึกลึกๆว่าฮวงหวู่จะไม่ยอมแพ้แน่ และรู้ดีว่าจากสิ่งที่เขาบอกก่อนหน้ามันไม่ใช่แค่การแสดง เพราะตัวเขาเองก็มีบุคลิกเช่นนี้
  ร่างพยัคฆ์ราชสีห์นรกที่สิ้นชีพ
  ชิงสุ่ยเริ่มทำความสะอาดสัตว์อสูรยักษ์ตัวนี้อย่างช้าๆก่อนอื่นเขาชำแหละศีรษะเปิดสมองของมันเพื่อนำเอาแก่นแท้อสูร จากนั้นก็ควักลูกตา เส้นเลือด เส้นเอ็น หัวใจและส่วนอื่นเพื่อเอามาเป็นส่วนผสมการทำยา
  ชิงสุ่ยยังได้เลาะหนังเลาะกระดูกจำนวนมากออกมาและมาไปไว้ในดินแดนหยกยุพราชอมตะ
  หลังจากทำทุกกระบวนการเสร็จสิ้นเวลาก็ล่วงเลยไปกว่าครึ่งวัน ชิงสุ่ยชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะกลับไปหาหญิงสาวทั้งสามคน
  ในไม่ช้าทุกคนก็กลับมายังพระราชวังอาทิตย์อัสดงทันทีที่พวกเขาเข้าไปข้างในทุกคนก็ได้พบกับอีเย่เจี้ยนเก้อที่รออยู่ในสวน ซึ่งเธอกำลังรอทุกคนอยู่ เมื่อเธอสังเกตเห็น ใบหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย
  ”พวกเจ้ากลับมาแล้วมีปัญหาเกิดขึ้นหรือไม่?” ไอลีนโนเวล
  ”แน่นอนไปกับข้าไม่มีเกิดปัญหาอย่างแน่นอน เจ้าสัตว์อสูรนั่นค่อนข้างอืด และตัวใหญ่ แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลย”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยท่าทางสบายๆ
  อีเย่เจี้ยนเก้อเหมือนรู้ว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นเธอจึงหันไปมองชิงสุ่ยและกล่าวว่า “บอกความจริงกับข้ามา ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และการที่พวกเจ้ากลับมาได้แสดงว่าปัญหาคงจะจบลงแล้ว”
  จากนั้นนายหญิงแห่งพระราชวังสุริยาก็เริ่มเล่ารายละเอียดอย่างคร่าวๆ
  เมื่อได้ยินเรื่องราวอีเย่เจี้ยนเก้อก็รู้สึกกลัวเล็กน้อยแต่ถ้าหากเป็นไปตามที่นายหญิงแห่งพระราชวังสุริยาพูด เธอก็ไม่ต้องกังวลอะไรเป็นพิเศษ อย่างน้อยชิงสุ่ยก็สามารถกู้สถานการณ์และรอดพ้นจากภัยอันตรายมาได้
  และที่นายหญิงแห่งพระราชวังสุริยายอมบอกเรื่องราวทั้งหมดเพราะทุกคนต่างนับถือกันเหมือนพี่สาวน้องสาวจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องราวอะไรเลย เมื่อคนเราอยู่ร่วมกัน พูดความจริงคือสิ่งที่ดีที่สุด  ……………………
  เวลาครึ่งเดือนผ่านไปโดยไม่รู้ตัววันนี้ยังคงเป็นวันที่สงบสุข ชิงสุ่ยบรรจงอาบน้ำให้กับชิงซิ่วเด็กน้อยที่พึ่งอายุครบ 1 เดือน ซึ่งในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเขาไม่ได้เชิญชวนใครมาเยี่ยมเยียนเลย
  เขามองเห็นความไม่แน่นอนในความสัมพันธ์ของมนุษย์ฉะนั้นเขาจึงควรทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อพัฒนาครอบครัวให้แข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญ
  ชิงห่านอี่มาเยี่ยมเยียนเด็กน้อยในฐานะแม่ทูนหัวชิงสุ่ยยิ้มและรู้สึกว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นคนที่โชคดีเพราะมีบรรดาผู้ใหญ่คอยให้การเอ็นดู
  เมื่อเทียบกับตอนที่เขาเกิดชิงซิ่วโชคดีกว่าเขาหลายเท่า เด็กน้อยคนนี้เกิดมาพร้อมกับทุกอย่างที่คบครันไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ที่อยู่ ความมั่นคง และคนคอยดูแล
  ที่มีใบหน้าหล่อเหลาไม่มีการร้องไห้เมื่อถูกคนแปลกหน้าจับ อาจเป็นเพราะเขายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ แล้วตอนนี้เขาก็เริ่มลืมตา ดวงตากลมโตที่สว่างไสวเหมือนคริสตัลกำลังมองดูโลกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
  ชิงห่านอี่ค่อยๆอุ้มชิงซิ่วมาจากอ้อมอกชิงสุ่ยด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณความเป็นผู้หญิงที่มีอยู่ในตัวเธอ
  ”เจ้าคงจะชอบเด็กทารกมากสินะ?”ชิงสุ่ยยิ้มขณะมองดูชิงห่านอี่
  ชิงห่านอี่มองชิงสุ่ยด้วยสายตาจิกกัดที่ค่อนข้างมีเสน่ห์เธอเห็นความหยอกล้ออยู่ในสายตาของชิงสุ่ย ก่อนที่เธอจะทำเป็นเขินอายและกล่าวกลับไปหาชิงสุ่ยว่า “แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะมีลูกกับข้าล่ะ?”
  ชิงสุ่ยรู้ว่าสิ่งที่ชิงห่านอี่กล่าวออกมานั้นเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยเจตนาหญิงสาวผู้นี้เหมือนราชินีปีศาจ และเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าอีเย่เจี้ยนเก้อกำลังมา เขาถึงตอบกลับเพียงแค่รอยยิ้มอย่างเดียว และเขาก็รู้ว่าที่เธอพูดนั้นคงเป็นเพราะเห็นว่าอีเย่เจี้ยนเก้อกำลังมาเช่นกัน  เมื่อเห็นสายตาของชิงสุ่ยชิงห่านอี่ก็อดกลั้นหัวเราะไม่ได้ ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของเธอกระตุ้นหัวใจชิงสุ่ยให้เต้นอย่างรุนแรง แต่ในตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่อดกลั้นมันเอาไว้
  ”ชิงสุ่ยคนอื่นกำลังมา เจ้าควรออกไปทักทายคนอื่นๆบ้าง”อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มขณะที่เธอเดินตรงไปหาชิงห่านอี่เพื่อดูลูกของเธอ
  ”อืมข้ากำลังจะออกไป”ชิงสุ่ยกล่าวลา ชิงห่านอี่เป็นหญิงสาวที่ทรงเสน่ห์ เธอไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดเกลี้ยกล่อมผู้คน แค่เสน่ห์ของเธอก็มากพอที่จะดึงดูดใจชายทั้งหลาย จนชายเหล่านั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังตกหลุมกับดักของเธอ
  ทันทีที่ชิงสุ่ยออกไปต้อนรับผู้คนเขาก็เห็นชายชรา 2-3 คนรอคอยอยู่ ทุกคนต่างกล่าวทักทายด้วยความเคารพเพราะรู้ดีว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง
  ”เจ้าคงจะเป็นชิงสุ่ยสินะไม่เห็นเหมือนที่ข้าได้ยินเลย”  ทันใดนั้นเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมันสร้างความสับสนให้กับชิงสุ่ย และเมื่อเขาหันไปก็พบกับชายร่างสูงผอมกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล ชายคนนั้นแลดูหนุ่ม หน้าตาพอหล่อเหลาสมกับคนวัยหนุ่ม แต่น้ำเสียงของเขาแหลมจนน่าเกลียด
  ชิงสุ่ยโกรธแต่เมื่อเห็นคนที่อ่อนแอ เขากลับรู้สึกน่าเวทนาจนไม่จำเป็นต้องลดตัวต่ำไปทะเลาะกับคนแบบนี้
  ชิงสุ่ยยังคงยิ้มเมื่อหันไปมองชายร่างผอมสูง”ข้าเคยส่งคำเชิญให้กับเจ้าด้วยหรือ? ไม่ทราบว่าเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร?”
  ชิงสุ่ยได้ส่งคำเชิญไปหาคนหลายคนแต่เขาก็รู้ดีว่ามันย่อมต้องมีคนไม่ได้รับคำเชิญมา และจากที่เขามั่นใจ ชายคนนี้จะต้องไม่ได้รับคำเชิญจากเขา