บทที่ 247
คำสาบาน
“อะไร?! ข้าพูดผิดหรือไง?! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าที่พวกเจ้าเข้าหาข้าก็เพราะพ่อของข้า…” เธอพูดอย่างประชดประชัน
หวู่เสี่ยวเหมยส่ายหน้า ดวงตาแดงระเรื่อ “เหลียนน่า เราไม่ได้…”
“จะใช่หรือไม่ใช่ก็ช่าง! ถ้าพวกเจ้าไม่จับเด็กคนนั้นตอนนี้นะ พวกเจ้าจะต้องถูกเตะออกจากสำนักแน่ๆ!” ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เธอก็ขี้เกียจที่จะเสแสร้งแล้ว
สีหน้าของหลินหนานเคร่งขรึมขึ้น สายตาที่เย็นชาของเขาจ้องตรงไปที่เซี่ยเหลียนน่าเธอเพิ่งจะบังคับให้พวกเขาไปตาย
เซี่ยเหลียนน่ารู้สึกกลัวสายตาของหลินหนานอยู่นิดหน่อย หลินหนานเป็นหัวหน้าสูงสุดในทีม เขามีชื่อเสียงที่ดีมากในสำนักและโฟกัสแต่เรื่องการฝึกตน แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่พ่อเธอบอกมา เพราะอย่างนี้เธอจึงมักจะควบคุมอารมณ์กับเขาเสมอ
แต่เมื่อนึกถึงพ่อขึ้นมาได้ คางของเธอก็เชิดขึ้นทันที “มองอะไรไม่ทราบ?” ไม่ว่าเขาอยู่ระดับสูงมากแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็เป็นแค่คนจน ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอะไร
“เธอแน่ใจนะว่าอยากจะไล่พวกเราออกจากสำนัก?” หลินหนานถามออกมาอย่างเย็นชา!
ในตอนนี้ คำพูดของเซี่ยเหลียนน่าสร้างความโกรธอย่างมาก พวกเขามองมาที่เธอราวกับว่าเธอทำเรื่องที่ผิดอย่างมาก ก็เป็นเรื่องปกติที่เธอจะต้องทำแบบนี้ไม่ใช่หรือไง?!!!! ใครใช้ให้พวกเขาเกิดมาจนล่ะ พวกคนชั้นต่ำก็สมควรแล้วที่จะต้องเจอแบบนี้
“ไม่ต้องห่วงหรอก ตราบใดที่เจ้าไปจับเขามา พวกเจ้าก็จะไม่โดนไล่ออก!” น้ำเสียงราวกับแสดงความสงสาร
พวกเขาที่เหลืออดไม่ได้ที่จะมีสายตาที่โกรธเกรี้ยว หวู่เสี่ยวเหมยที่จับมือเซี่ยเหลียนน่าอยู่ก็ถึงกับต้องปล่อยมือออก เธอโกรธมาก
มู่หรงเสวี่ยและเสี่ยวไป๋เองก็กำลังดูเหตุการณ์ที่น่าสนใจนี้อยู่ไม่ห่าง
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกำลังทะเลาะกันเองอยู่นะ น่าสนุกจัง …” เสี่ยวไป๋พูดออกมาเพราะกลัวว่าโลกจะต้องวุ่นวาย
มู่หรงเสวี่ยลูบขนมันเบาๆ เธอเคยเห็นเรื่องแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ถึงแม้จะเป็นโลกคนละใบ แต่หัวใจของคนก็ยังเหมือนเดิม ไม่ว่าจะในโลกไหน ก็ยังจะมีคนที่ไร้ยางอายเสมอ
“เมื่อมีศิษย์แบบเจ้า ข้าก็ละอายแทนสำนัก ถ้ามีอาจารย์ มีสำนักที่เป็นแบบนี้งั้นก็ไม่จำเป็นหรอก!” หลินหนานพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แล้วเขาก็หันไปหาอีกสามคนที่เหลือ และถามออกมา “แล้วพวกเจ้าละ?”
จ้าวฉีและคนอื่นๆมองหน้ากันและกัน หลังจากที่พวกเขาดูเหมือนจะตัดสินใจได้แล้วก็ตอบออกมาว่า “กัปตันไปไหน พวกเราก็ไปด้วย”
“หลังจากนี้พวกเราอาจจะต้องยากลำบากมากนะ พวกเจ้าไม่กลัวงั้นเหรอ?” หลินหนานถามอีกครั้ง บางทีพวกเขาอาจจะต้องตายเพราะเรื่องนี้ แต่เมื่อเทียบกับการถูกไล่ออกแล้ว และเขาก็ไม่อยากเป็นสุนัขรับใช้ของใคร เขาอยากจะตายอย่างมีศักดิ์ศรี
“กัปตัน ข้าไม่กลัวหรอก!” แม้แต่หวู่เสี่ยวเหมยที่อ่อนประสบการณ์ที่สุดในทีมก็ยังพูดออกมาอย่างหนักแน่น
“ดี! งั้นก็ยื่นมือออกมา” กัปตันยื่นมือตัวเองออกมาข้างหน้า ส่วนคนที่เหลือต่างก็ยื่นออกมาด้วยอย่างไม่เกรงกลัว
“พวกเจ้ากล้าดียังไง?” เธอพูดออกมา และรู้สึกเหมือนบาดแผลจะเจ็บมากขึ้นด้วยเพราะความโกรธ
“พวกเจ้าไม่กลัวถูกไล่ออกหรือไง?” เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาไม่ฟังที่เธอพูด เธอกำหมัดแน่นและจ้องไปที่คนพวกนั้น
หลินหนานแสยะ “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก เดี๋ยวเจ้าจะต้องห่วงเรื่องที่ตัวเองจะกลับยังไงอีกนะ!!” แม้แต่รอบนอกของป่าแห่งความตายก็ยังมีอันตรายมากมาย ถ้าเจอเข้ากับสัตว์แห่งจิตวิญญาณระดับ 4 ก็คงจะโอเค อย่างมากก็แค่บาดเจ็บ แต่ก็ยังสามารถใช้ทักษะการฝึกตนของเธอในการจัดการกับพวกมันได้แต่ถ้าไปเจอเข้ากับสัตว์แห่งจิตวิญญาณระดับ 5 เธอก็มีทางเดียวเท่านั้นคือความตาย พวกเขาเสียแรงอย่างมากไปกับการช่วยเธอ แต่มันก็สูญเปล่าซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนอยู่ในสายตาของพวกเขา
“เจ้าอยากตายหรือไง!!! พวกเจ้าต้องไปส่งข้ากลับ…” เซี่ยเหลียนน่าตะโกนออกมาด้วยความโกรธ!!!! แต่ในตอนนี้ก็ไม่มีใครสนใจเธอเลย
คนที่เหลือเดินตามหลินหนานไปหามู่หรงเสวี่ยพร้อมๆกัน
มู่หรงกำด้ามดาบเฟิงหมิงที่อยู่ในมือและมองไปที่พวกเขาด้วยสายตาเย็นขา และวินาทีต่อมาท่าทางของหลินหนานและคนอื่นๆก็ทำให้เธอต้องรู้สึกงง
หลินหนานคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กำปั่นขวาของเขาวางอยู่ที่หน้าอกพร้อมพูดออกมาด้วยสายตาหนักแน่น “ท่านที่เคารพ ได้โปรดให้เราได้ติดตามด้วยนะขอรับ”
จ้าวฉีและคนอื่นๆเมื่อเห็นท่าทางของหลินหนานพวกเขาก็คุกเข่าลงหนึ่งข้างตามบ้าง พวกเขาต่างก็ทำตามเหมือนกับ หลินหนานและพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียง “ได้โปรดให้เราได้ติดตามด้วย!”
เมื่อกี้เธอเห็นบทสนทนาของพวกเขาทั้งหมด ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเองก็ชื่นชมความกล้าของพวกเขาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอพร้อมที่จะเรียกร้องหาปัญหาแบบนี้ ท่าทางที่แสดงออกมาของเธอยังดูเย็นชา
“ดูเหมือนพวกเจ้าจะสร้างปัญหาใหญ่นะ การที่พวกเจ้าบอกว่าจะตามข้าก็แค่เพราะจะให้ข้าปกป้องพวกเจ้า…” นั่นคือสิ่งที่เธอคิด เธอไม่ใช่คนโง่นะ
อย่างไรก็ตามหลินหนานไม่ได้อธิบายอะไร แต่กลับถามออกมาแทน “ข้าขอทราบชื่อท่านได้หรือเปล่า?”
“มู่เทียน!” เมื่อนึกถึงชุดผู้ชายที่เธอกำลังสวมอยู่ตอนนี้แล้วมู่หรงก็รีบใช้นามแฝงแทนทันที
หลังจากที่ได้ยินดังนี้ หลินหนานก็รีบใช้ดาบกรีดไปที่นิ้วของตัวเองทันที “ข้า หลินหนานจะขอเป็นผู้พิทักษ์ของมู่เทียนไปตลอดชีวิตนี้และข้าจะไม่มีวันทรยศเขาเด็ดขาด ถ้าข้าผิดคำสาบานที่ให้ไว้ ขอให้ข้าถูกฟ้าผ่าตาย”
เมื่อคำสาบานสิ้นสุดลง ก็เกิดคำมั่นสัญญาของโลกกับสวรรค์ขึ้นที่ท้องฟ้าและทันใดนั้นแสงจากดวงดาวก็เปล่งประกายขึ้นโดยมีหลินหนานเป็นจุดศูนย์กลาง คำสาบานมีผลแล้ว!!!
“นี่มัน…” มู่หรงเสวี่ยวมองไปที่เสี่ยวไป๋
“เขาสาบานต่อเธอว่าชีวิตนี้จะเป็นผู้พิทักษ์ของเธอ เขาจะเห็นความปลอดภัยของเธอเป็นอันดับหนึ่ง และจะคิดไม่ดีใดๆกับเธอไม่ได้เด็ดขาดไม่อย่างนั้นเขาจะต้องตาย…” แม้แต่เสี่ยวไป๋เองก็ไม่คิดว่าชายคนนี้จะสาบานต่อมู่หรงเสวี่ย แต่ชื่อของ มู่หรงเสวี่ยเป็นชื่อปลอม ฉะนั้นอันที่จริงคำสาบานนี้จึงไม่เป็นผลแต่ว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องนี้…
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเสี่ยวไป๋ สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยก็ดูยุ่งยากใจขึ้นมาทันที นี่ก็หมายความว่าเธอจะต้องเกี่ยวพันอยู่กับพวกเขา ประกายความไม่พอใจแวบขึ้นมาบนสีหน้าของเธอ เธอมาที่โลกนี้ก็เพื่อจะตามหาพ่อแม่ เธอไม่อยากที่จะสร้างปัญหาอะไรมากมายเกินไป
“นายท่าน ข้าไม่ได้สาบานกับท่านเพียงต้องการคนคุ้มภัย ข้าแค่อยากที่จะเป็นกองหนุนของท่านเท่านั้น ตอนนี้ไม่ใช่แค่พวกเราแค่ท่านเองก็เป็นเสี่ยนหนามในสายตาของเซี่ยเหลียนน่าเหมือนกัน ต่อให้ไม่มีพวกเรา เซี่ยเหลียนน่าก็คงจะใช้อำนาจของพ่อเธอในการหยุดยั้งท่านอยู่ดี”
สายตาของมู่หรงเสวี่ยเย็นชา “งั้นข้าก็จะฆ่านางตอนนี้เลย!” นี่เป็นเรื่องจริงที่จะทำให้เธอไม่ต้องเจอกับปัญหาอีก ในเมื่อเธอเป็นตัวปัญหา งั้นเธอก็แค่ต้องจัดการต้นตอของปัญหาซะ
เธอหยิบดาบขึ้นมาและพยายามที่จะเดินไปในทิศทางของเซี่ยเหลียนน่า
“เดี๋ยวก่อนนายท่าน นางมีสายเชื่อมโยงกับพ่อซึ่งเขาให้นางไว้เพื่อปกป้องชีวิตของนาง ถ้าท่านฆ่านางภาพเหตุการณ์ที่ท่านฆ่านางก็จะถูกส่งกลับไปให้พ่อของนาง และถ้าเป็นแบบนั้นท่านไม่เพียงจะแค่มีเรื่องกับพ่อของนางเท่านั้นแต่จะเป็นกับทั้งสำนักเฟิงฮัวเลยมากกว่า สำนักเฟิงฮัวตอนนี้มีปรมาจารย์ระดับสีม่วงอยู่สามคน คงไม่ฉลาดเท่าไรที่จะไปมีเรื่องกับสำนักเฟิงฮัว!” หลินหนานที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้ามู่หรงเสวี่ยกระซิบออกมา
บ้าจริง ในโลกนี้มีอะไรที่ทรงอำนาจแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ นี่มันยากกว่ากล้องวงจรปิดสุดไฮเทคอีกนะเนี่ย เธอหยุดอย่างสิ้นหวัง รู้สึกราวกับตัวเองเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ เธอเก็บความหวังไว้ในใจแต่ก็ยังรู้ลึกสิ้นหวัง
อีกเรื่องที่หลินหนานไม่ได้พูดคือนอกจากว่า มู่หรงเสวี่ยวจะขึ้นระดับสีม่วงเหมือนกัน ซึ่งอาจจะทำให้สำนักเฟิงฮัวสงบลงได้เพราะพลังของเธอ
ในความคิดของหลินหนาน ระดับความสำเร็จของ มู่หรงเสวี่ยในระดับสีฟ้าน่าจะเป็นระดับที่สูงสุด เขาเดาว่าอย่างมากเขาก็น่าจะแค่อยู่ในระดับสีฟ้าขั้น7 ในแต่ละชั้นจะถูกแยกไปอีกเก้าระดับ ยิ่งระดับสูงขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งพัฒนาไปยากมากขึ้นเท่านั้น และในแต่ละระดับก็ต้องใช้เวลานานด้วยกว่าที่จะขึ้นไปถึง เขาสังเกตว่ามู่หรงเสวี่ยน่าจะอายุประมาณ 16 มากสุด โดยทั่วไปแล้วถ้าเขาขึ้นมาถึงระดับสีม่วงเขาก็จะสามารถควบคุมรูปร่างภายนอกไม่ให้ดูแก่ลงได้ ชั่งพูดได้ว่าเขาก็จะไม่แก่ลงเท่านั้นแต่ก็ไม่เด็กลง นั้นก็หมายความว่าเมื่อขึ้นถึงระดับสีม่วงแล้ว รูปร่างหน้าตาก็จะหยุดคงที่อยู่แบบนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นชายแก่ แต่นี่คืออายุที่แท้จริงของเขา
“ทำไมเจ้าถึงอยากเป็นผู้พิทักษ์ของข้าด้วย? มันไม่ดีกับเจ้าเลยไม่ใช่เหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
หลินหนานคุกเข่าลงข้างหนึ่ง จับมือมู่หรงเสวี่ยและจูบลงไปอย่างแผ่วเบา นี่คือมารยาทที่เคารพนับถือที่สุดของผู้พิทักษ์ “วินาทีที่ท่านจัดการเจ้าอสูรฟันยักษ์ ท่านก็ชนะหัวใจที่แข็งแกร่งของข้าได้อยู่หมัด ข้าจึงแค่อยากที่จะเดินตามรอยเท้าของท่าน…”
“ข้าด้วย”
“ข้าด้วย”
“ข้า…ข้า…และข้าด้วย!” หวู่เสี่ยวเหมยที่มักจะขี้อายดังนั้นเมื่อเธอต้องพูดออกไป เธอจึงกังวลและตื่นเต้นมาก
ที่ห่างออกไป เซี่ยเหลียนน่าคงตะโกนอยู่ “พวกเจ้ามันก็แค่สารเลว พวกเจ้าต้องไม่ตายดีแน่!!!! ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่…” ถึงแม้จะมียาช่วยรักษา แต่อาการบาดเจ็บของเซี่ยเหลียนน่าก็ยังหนักอยู่ นี่เป็นเหตุผลที่เธอยังอยู่ที่เดิมและไม่ลุกขึ้นมาจู่โจม ส่วนอีกเหตุผลก็คือเธอไม่ใช่คู่ต่อสู้กับหลินหนาน ส่วนเรื่องการต่อสู้ของมู่หรงเสวี่ยเธอคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
แต่ก็ไม่มีใครสนใจอาการเกรี้ยวกราดของเธอเลย
มู่หรงเสวี่ยดึงมือออกมาจากมือของหลินหนานและพูดออกไปว่า “ข้าอนุญาตให้พวกเจ้ามาเป็นสหายของข้าได้! แต่ถ้าข้ารู้ว่ามีการทรยศเกิดขึ้น ข้าจะทำให้พวกเจ้าเสียใจเลยที่ได้เกิดมาบนโลกนี้” ประกายสายตาที่กระตือรือร้นของพวกเขาสัมผัสไปทีใจของเธอซึ่งเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก!!!
หลินหนานและคนที่เหลือต่างก็มีสีหน้าที่มีความสุข “รับทราบ!”
สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยอ่อนโยนลงเล็กน้อย “ไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านหรอก อายุข้าก็พอๆกับพวกเจ้า เรียกข้าว่ามู่เทียนก็พอ…”
ท่านที่เคารพเป็นกันเองมากกว่าที่พวกเขาคิดไว้อีก หลายคนเผยรอยยิ้มและตอบออกมา “ตกลง พวกเราชื่นชมท่านมากเลย…”
มู่หรงกลอกตาและพูดออกมา “ไปกันเถอะ!”
“รอเดี๋ยวท่าน…มู่เทียน!” หลินหนานร้อง
มู่หรงเสวี่ยหยุดและมองมาที่เขา “มีอะไรเหรอ?”
“เจ้าอสูรฟันยักษ์เต็มไปด้วยสมบัติ น่าเสียดายทีจะทิ้งไว้แบบนี้ เจ้ารออยู่ที่นี่สักพัก เดี๋ยวพวกเราจะจัดการเก็บกวาดเอง… หลินหนานอธิบาย
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า
พวกเขารีบไปที่ด้านข้างของเจ้าอสูรฟันยักษ์ทันทีและเริ่มลงมือทำงาน อย่างแรกเลย พวกเขาลอกหนังหนาๆของเขาอสูรพันยักษ์ออก แล้วก็ค่อยๆติดพันคมๆ ทั่งสองข้างออก แล้วก็ค่อยๆนำมันลงไปเก็บในกล่องเก็บความเย็น แม้แต่เนื้อของเจ้าอสูรฟันยักษ์ก็ยังถูกหั่นเป็นชั้นๆและเก็บรักษาไว้ในกระเป๋ามิติลับ
“ดูเหมือนเธอจะโชคดีมากเลยนะ คนพวกนี้เก่งมากเลย บางทีอาจจะมิประโยชน์กับเธออย่างมากเลยก็ได้…” เสี่ยวไป๋ที่เงียบมาตลอดแต่อยู่ดีๆตอนนี้ก็พูดขึ้นมา
“เจ้าเองก็รู้เหตุผลที่ข้ามาที่โลกนี้ ข้ากลัวว่าหลังจากนั้นข้าจะดูแลพวกเขาไม่ได้…” มู่หรงเสี่ยพูด สายตามองไปที่คนพวกนั้นที่อยู่ไกลออกไป
แต่เสี่ยวไป๋หันหัวมาและพูดออกมา “แล้วทำไมพวกเขาต้องให้เจ้ามาปกป้องด้วยละ? ในความคิดข้านะ พวกเขาเก่งกว่าเจ้าตั้งเยอะ…” แค่เรื่องความกล้าก็พอจะเดาได้แล้วว่าต่อไปพวกเขาจะยอดเยี่ยมขนาดไหน
มู่หรงเสวี่ยเกือบจะอดไม่ได้ที่จะโยนเสี่ยวไป๋ลง ใครกันแน่ที่เป็นคนคิดเรื่องนี้? เธออ้าแขนออก ถึงแม้ในตอนแรกเธอจะด้อยประสบการณ์มากจนเธอเองก็ละอายใจ แต่มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรนะ? ตอนนี้เธอเป็นระดับสีม่วงแล้วนะ สีม่วงเลยนะ เข้าใจหรือเปล่า!? อยากจะบ้าจริงๆ!!!
“แล้วตัวปัญหานั้นล่ะ?” มู่หรงชี้ไปที่เซี่ยเหลียนน่าที่ยังนั่งอยู่ที่พื้นห่างออกไป
หลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่หลินหนานพูดเมื่อกี้ เธอก็รู้สึกว่า เซี่ยเหลียนน่าจะต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ
“ก็อย่างที่พวกนั้นบอก เจ้าจะฆ่าเธอไม่ได้!” เสี่ยวไป๋ตอบ
“งั้นข้าต้องนั่งรอให้เธอกลับมาตามล่างั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยพูดอะไรไม่ออก ต่อให้ฆ่าหรือไม่ฆ่ายังไงเธอก็ถูกตามล่าอยู่แล้ว มีความยุติธรรมอะไรให้เธอบ้างเนี่ย? ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็มีแต่ความเกลียดชัง
หลังจากที่คิดเรื่องนี้อยู่สักพัก เสี่ยวไป๋ก็พูดออกมาจริงจัง “มีอีกวิธีทีจะหาเกราะกำบังได้…”
เพราะตอนนี้เธอยังไม่หายดีเท่าไรนะ ไม่งั้นต่อให้ต้องฆ่าอาจารย์ระดับสีม่วงสักสองสามคนเธอก็ไม่สนใจหรอก มาฆ่ากันเลย
“เกราะกำบังงั้นเหรอ?! เจ้าหมายถึงให้กลับไปที่ป่าแห่งความตายอีกงั้นเหรอ?!! ไม่เอาด้วยหรอกนะ ข้าต้องไปตามหาพ่อแม่…”
“นี่เจ้าโง่หรือเปล่า?” เสี่ยวไป่มองไปที่เธอด้วยสายตาดูถูก ในหัวนี่ไม่มีสมองเลยหรือไงนะ?! ไม่ง่ายเลยนะที่จะโตขึ้นมาแล้วโง่ได้ขนาดนี้เนี่ย?!!!
หลังจากที่ดูถูก เมื่อมู่หรงเสวี่ยกำลังจะเดินไป มันก็พูดออกมาเสียงแผ่ว “ในโลกนี้ยังมีอีกตั้งหลายอย่างที่จะเป็นเกราะกำบังให้เธอได้ หนึ่งคือสำนัก สองคือสหภาพทหารรับจ้าง และสุดท้ายคือตระกูลราชวงศ์ อย่างไรก็ตามข้าไม่แนะนำให้เลือกตระกูลราชวงศ์เพราะมันไม่มีอิสระ…”
“เล่าเรื่องสำนักกับสหภาพทหารรับจ้างให้ข้าฟังทีสิ…” มู่หรงเสวี่ยพูด
“ข้าก็ไม่รู้ ข้าไม่ได้ออกมานานมาก แล้วข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าโลกเปลี่ยนไปแล้วหรือยัง?! เดี๋ยวเจ้าก็ถามคนพวกนั้นสิ พวกนั้นน่าจะรู้เรื่อง”
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เสี่ยวไป๋ด้วยสายตารังเกียจ “เจ้ามีประโยชน์อะไรบ้างเนี่ย?”