ตอนที่ 1239 เลียนแบบวิธีการของซูหลี / ตอนที่ 1240 ประกายแยงเข้าตาของนาง

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1239 เลียนแบบวิธีการของซูหลี

 

 

และผ่านไปเช่นนี้ห้าวันแล้ว ทางด้านฉินเฮ่าก็ยังไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย

 

 

ไยซูหลีถึงทราบเรื่องเหล่านี้ได้ละเอียดกัน

 

 

นั่นเป็นเพราะว่าฉินเย่หานเชื่อใจนางมากเกินไปแล้ว

 

 

ไม่เพียงแต่จะจัดการทุกเรื่องของบ้านเมืองต่อหน้านาง แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวที่สั่งให้องครักษ์ลับเหล่านั้นไปจัดการ เขาก็ยังพูดต่อหน้านาง ปล่อยให้นางมองดูเช่นนี้

 

 

เมื่อเวลาผ่านไปนานซูหลีจึงกลายเป็นผู้ที่ทราบข่าวได้รวดเร็วที่สุด และเป็นคนที่เข้าใจพระทัยของฮ่องเต้มากที่สุด

 

 

ยามอยู่ในพระราชวังแทบจะเดินขวาง[1]ไปทั่ววังได้แล้ว

 

 

แน่นอนว่านางไม่มีทางทำเช่นนั้น เดินขวางหรือ? นางไม่ใช่ปูเสียหน่อย!

 

 

เพียงแต่หลายวันมานี้นางใช้ชีวิตอย่างสดชื่นเป็นอย่างมากก็เท่านั้น

 

 

การใช้ชีวิตเช่นนี้ทำให้ซูหลีเกิดความคิดที่อยากจะอยู่ที่นี่ และไม่กลับไปที่วังในเมืองหลวงตลอดกาล

 

 

ทว่าเมื่อครุ่นคิดดูแล้วก็พบว่า นี่อาจจะเป็นความคิดที่เป็นไปไม่ได้ตลอดกาล

 

 

ไม่ว่าอย่างไรฮ่องเต้ทรงต้องเสด็จกลับวังหลวงอยู่ดี และแม้แต่นางก็คงต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเอาไว้

 

 

เรื่องที่สกุลหลี่ได้รับความไม่เป็นธรรม หากไม่แก้ปัญหานี้สักวัน นางก็คงไม่มีทางวางภาระอันหนักอึ้งนี้ได้!

 

 

ดังนั้นซูหลีจึงใช้วันที่พัก ผ่อนคลายหลายวันนี้หยุดพักผ่อนสบายๆ ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นก็ไม่ได้ครุ่นคิดอะไรมากนัก

 

 

“คุณหนูเจ้าคะ” ในยามอู่หลังจากซูหลีกลับมาจากห้องว่าราชกิจ ก็พบกลับเย่ว์ลั่วอยู่รออยู่ด้านนอก

 

 

“อืม” นางผงกศีรษะเล็กน้อย ได้ยินมาว่าฮูหยินของจี้เหิงหรานมาถึงพระราชวังแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว

 

 

เพียงแต่นานขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ยินข่าวคราวของโจวซื่อผู้นั้นเลย

 

 

นางบอกให้เย่ว์ลั่วให้เบาใจ ควรทำอะไรก็ทำซะ แม้ฟ้าจะถล่มลงมาก็มีนางแบกรับไว้อยู่

 

 

ในยามปกติเย่ว์ลั่วไม่ออกไปจากตำหนักของนาง จึงยังถือว่าใช้ชีวิตอย่างสงบ

 

 

ทว่าซูหลีมองดูแล้ว ดูเหมือนว่าหมู่นี้นางมีท่าทีใจลอยอยู่บ้าง ซูหลีก็พูดอะไรออกมามิได้มาก เรื่องของความรู้สึกก่อนที่จะพบกับฉินเย่หาน นางก็คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ

 

 

บัดนี้เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว จึงพบว่ามีเรื่องจำนวนมากที่นางไม่อาจควบคุมได้

 

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือ” เพียงแต่เย่ว์ลั่วในเวลานี้ดูแตกต่างจากแต่ก่อนนัก สีหน้ามีความร้อนรนอยู่หลายส่วน ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นและเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบาประโยคหนึ่ง

 

 

“คุณหนู แต่ก่อนนางข้าหลวงในตำหนักของแม่นางอู๋มาที่นี่ด้วยตนเอง แล้วเอ่ยว่าแม่นางอู๋ต้องการพบท่าน…” เย่ว์ลั่วพูดจบจึงเงยหน้ามองทางซูหลีอย่างห้ามมิได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตึงเครียด

 

 

“บ่าวเพียงพูดกับนางว่า ท่านไปเข้าร่วมราชกิจยามเช้า จากนั้นนางข้าหลวงผู้นั้นก็กล่าวว่า หลังจากท่านกลับมาไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพาท่านไปพบแม่นางอู๋ที่ตำหนักของนาง นางมีเรื่องสำคัญต้องการพูดกับท่าน!”

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้น ในดวงตาก็มีประกายความเข้าใจพาดผ่าน

 

 

อู๋โยวหราน…

 

 

นางหรี่ตาลงเล็กน้อย หมู่นี้นางใช้ชีวิตอย่างราบรื่นเกินไปบ้างจริงๆ จนแทบจะลืมบุคคลหมายเลขหนึ่งผู้นี้ไปเสียแล้ว

 

 

อู๋โยวหรานถูกฉินเย่หานขังกักบริเวณเอาไว้ไม่ให้ออกมานอกห้องของตน ทว่ามิได้สั่งห้ามข้ารับใช้ข้างกายของนางออกไปไหนไม่ได้

 

 

เพียงแต่…

 

 

ไม่รู้ว่าซูหลีครุ่นคิดถึงเรื่องอะไรกัน ถึงทำให้หัวเราะเยาะออกมาอย่างห้ามมิได้

 

 

แม่นางอู๋ท่านนี้ช่างน่าสนใจนัก ก่อนหน้านี้นางถูกฉินเย่หานกักบริเวณ ก็กล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา ในเมื่อตนเองไม่สามารถออกไปได้ ทว่าข้ารับใช้ยังเดินเหินไปมาได้อย่างอิสระ ทำให้ทั้งจวนมีความครึกครื้นเกิดขึ้น

 

 

นอกจากไม่สามารถออกไปไหนได้ อะไรที่ควรทำก็ทำตามปกติ

 

 

บัดนี้ดูเหมือนว่าอู๋โยวหรานผู้นี้ จะเรียนแบบวิธีการของนางแล้ว แม้กระทั่งสั่งให้คนบุกมาเชิญนางไปที่ตำหนัก

 

 

“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวรู้สึกว่าเรื่องนี้ท่านแสร้งทำเป็นไม่รู้เถิดเจ้าคะ!” เย่ว์ลั่วมองซูหลีด้วยความกังวลใจปราดหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] เดินขวาง 横着走 เป็นการเดินแบบขวางๆเหมือนกับปู เป็นการเปรียบเทียบหมายถึง คนที่มีอำนาจ สามารถทำอะไรตามอำเภอได้

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1240 ประกายแยงเข้าตาของนาง

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้น จึงเลิกคิ้วขึ้นและมองนางอยู่ปราดหนึ่ง

 

 

ทว่าเมื่อเย่ว์ลั่วเห็นริ้วแห่งความหนักใจที่ปรากฏบนใบหน้าของนางแล้ว จึงเอ่ยว่า “บ่าวมองดูแล้ว จิตใจของแม่นางอู๋ผู้นั้นคงจะไม่เรียบง่าย เบื้องหลังของนางยังมีไทเฮาคอยสนับสนุน เกรงว่าการที่ส่งคนมาเชิญท่านไปตำหนักของนางนั้น…”

 

 

“เกรงว่าคงจะเป็นเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์เจ้าค่ะ!” เย่ว์ลั่วติดตามข้างกายซูหลีมาเป็นเวลานานขนาดนี้แล้ว ดังนั้นนางจึงรู้จักอุปนิสัยของซูหลีดี นางถึงได้เอ่ยสิ่งที่ต้องการพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

 

 

เรื่องที่อู๋โยวหรานจัดการในวันนี้ เย่ว์ลั่วมองดูแล้วนั่นก็คือการมีเจตนาที่ไม่ดีแอบแฝง

 

 

ยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอซูหลีอยู่!

 

 

ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือหาเหตุผลปฏิเสธไม่ไปหาอู๋โยวหรานผู้นั้น

 

 

“เย่ว์เอ๋อร์ เจ้ากลายเป็นคนที่ระแวดระวังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!” ซูหลีมองเย่ว์ลั่วอยู่นาน จากนั้นจึงยิ้มและส่ายศีรษะไปมา

 

 

เย่ว์ลั่วมองนางอย่างเลื่อนลอยเล็กน้อย จากนั้นจึงอ้ำอึ้งค้างไปครู่หนึ่ง

 

 

“วางใจเถิด เรื่องใต้หล้านี้มีเรื่องจำนวนน้อยมากที่คุณหนูของเจ้าจะไม่กล้ากระทำ” ซูหลีเห็นดังนั้นมุมปากจึงยกขึ้น ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างสบายอกสบายใจ

 

 

“ไม่ว่านางจะมีแผนการอะไร ในเมื่อสั่งให้ข้ารับใช้มาเชิญข้าแล้ว ดังนั้นข้าก็จะไปพบนางสักครู่หนึ่ง” ดวงตาของนางดูเรียบเฉยยามที่พูดออกมา น้ำเสียงก็ยังมีความเยียบเย็น

 

 

“…เจ้าค่ะ” เย่ว์ลั่วรู้จักอุปนิสัยของซูหลีดี จึงไม่พูดโน้มน้าวอะไรนาง

 

 

นางเพียงก้มศีรษะขานตอบประโยคหนึ่ง แล้วนำซูหลีเดินเข้าไปภายในตำหนัก

 

 

“พอดีเลย เมื่อวานนี่ข้าเห็นว่า มีชุดกระโปรงสั่งตัดตัวใหม่ที่กรมวังส่งมามิใช่หรือ ให้ไป๋ฉินนำของเหล่านั้นออกมาที!”

 

 

เมื่อเดินไปไม่ถึงสองก้าว ซูหลีพลันนึกอะไรได้อย่างกะทันหัน นางหยุดฝีเท้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

 

 

เย่ว์ลั่วได้ยินดังนั้นจึงแสดงท่าทีมึนงงเล็กน้อย จากนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะใช้มือปิดปากแอบหัวเราะเบาๆ

 

 

อาภรณ์เหล่านั้น…ล้วนเป็นอาภรณ์ที่ฮ่องเต้ทรงสั่งให้คนตัดขึ้น เป็นอาภรณ์ที่หรูหรา และซูหลีเป็นคนที่ชอบเห็นของคุณภาพดี เมื่อวานยามคนเหล่านั้นนำอาภรณ์เหล่านั้นมาส่งถึงที่ นางก็ถึงกับตกใจเป็นพักหนึ่ง

 

 

บัดนี้นางกลับต้องการสวมใส่สิ่งของที่ดึงดูดสายตาผู้คนไปพบอู๋โยวหราน แค่เย่ว์ลั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่า สีหน้าของอู๋โยวหรานผู้นั้นจักต้องไม่น่ามองเป็นอย่างมาก!

 

 

“เจ้าค่ะ!” นางขานรับอย่างสบายๆ ความทุกข์ที่ปกคลุมอยู่ภายในใจ คล้ายกับหายไปแล้วบ้าง

 

 

เกิดเป็นคน โดยเฉพาะเกิดเป็นสตรี จักต้องใช้ชีวิตอย่างซูหลี

 

 

ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ในใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องอะไรที่นางมิกล้ากระทำ

 

 

เย่ว์ลั่วมองแผ่นหลังของซูหลีแล้ว พลันเกิดความอิจฉาขึ้นในใจลึกๆ

 

 

 

 

ยามบ่ายวันนี้ซูหลีไม่มีเรื่องอะไรที่นางต้องจัดการ นางจึงเตรียมตัวไปพบอู๋โยวหราน

 

 

นางผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อย จากนั้นจึงสั่งให้ไป๋ฉินทำผมและสวมเครื่องประดับให้แก่นาง ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกายเหล่านี้ ทุกคนก็ต่างตะลึงงัน

 

 

แม้พวกนางอยู่ข้างกายซูหลีผู้ซึ่งประหนึ่งปีศาจสาวทุกวัน ทว่ารูปโฉมเช่นนี้ของนางจะมองอย่างไรก็ไม่รู้สึกเบื่อ

 

 

และถึงขึ้นทำให้คนชื่นชอบมากขึ้นเรื่อยๆ จนมิอาจละสายตาจากร่างของนางได้!

 

 

“คุณหนู” ดวงตาของไป๋ฉินมีประกายแวววาว นางจ้องมองซูหลีด้วยความตื่นเต้น แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูไปพบไปที่ตำหนักของแม่นางอู๋เช่นนี้ แล้วยังฆ่านางไม่ได้ ประกายในดวงตาของพวกเราคงแยงเข้าตานางแล้ว!”

 

 

“อุ๊บ!” ซูหลีที่กำลังดื่มน้ำชาอยู่ หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋ฉินประโยคนี้แล้ว น้ำชาก็แทบพุ่งออกมาจากปาก!

 

 

“ฮ่าๆๆๆ!” ข้ารับใช้โดยรอบได้ยินดังนั้น จึงหัวเราะออกมาจนไหล่สั่นไหวอย่างอดกลั้นมิได้

 

 

“มิใช่เช่นนั้นหรือ” ไป๋ฉินยืดอกเหยียดตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความสมเหตุสมผล ทันทีที่แหงนศีรษะขึ้นก็เอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจว่า

 

 

“ใครจะรู้ว่านางปีศาจผู้นั้นคะนึงหาฮ่องเต้ทุกวันหรือไม่ ไม่มีคนตบนางสักฉาด นี่ก็ถือว่าเป็นเพราะคุณหนูของพวกเรานิสัยดีมากแล้ว!”

 

 

“ใช่ๆๆ!” ซูหลีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย