ตอนที่ 1239 เลียนแบบวิธีการของซูหลี
และผ่านไปเช่นนี้ห้าวันแล้ว ทางด้านฉินเฮ่าก็ยังไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย
ไยซูหลีถึงทราบเรื่องเหล่านี้ได้ละเอียดกัน
นั่นเป็นเพราะว่าฉินเย่หานเชื่อใจนางมากเกินไปแล้ว
ไม่เพียงแต่จะจัดการทุกเรื่องของบ้านเมืองต่อหน้านาง แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวที่สั่งให้องครักษ์ลับเหล่านั้นไปจัดการ เขาก็ยังพูดต่อหน้านาง ปล่อยให้นางมองดูเช่นนี้
เมื่อเวลาผ่านไปนานซูหลีจึงกลายเป็นผู้ที่ทราบข่าวได้รวดเร็วที่สุด และเป็นคนที่เข้าใจพระทัยของฮ่องเต้มากที่สุด
ยามอยู่ในพระราชวังแทบจะเดินขวาง[1]ไปทั่ววังได้แล้ว
แน่นอนว่านางไม่มีทางทำเช่นนั้น เดินขวางหรือ? นางไม่ใช่ปูเสียหน่อย!
เพียงแต่หลายวันมานี้นางใช้ชีวิตอย่างสดชื่นเป็นอย่างมากก็เท่านั้น
การใช้ชีวิตเช่นนี้ทำให้ซูหลีเกิดความคิดที่อยากจะอยู่ที่นี่ และไม่กลับไปที่วังในเมืองหลวงตลอดกาล
ทว่าเมื่อครุ่นคิดดูแล้วก็พบว่า นี่อาจจะเป็นความคิดที่เป็นไปไม่ได้ตลอดกาล
ไม่ว่าอย่างไรฮ่องเต้ทรงต้องเสด็จกลับวังหลวงอยู่ดี และแม้แต่นางก็คงต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเอาไว้
เรื่องที่สกุลหลี่ได้รับความไม่เป็นธรรม หากไม่แก้ปัญหานี้สักวัน นางก็คงไม่มีทางวางภาระอันหนักอึ้งนี้ได้!
ดังนั้นซูหลีจึงใช้วันที่พัก ผ่อนคลายหลายวันนี้หยุดพักผ่อนสบายๆ ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นก็ไม่ได้ครุ่นคิดอะไรมากนัก
“คุณหนูเจ้าคะ” ในยามอู่หลังจากซูหลีกลับมาจากห้องว่าราชกิจ ก็พบกลับเย่ว์ลั่วอยู่รออยู่ด้านนอก
“อืม” นางผงกศีรษะเล็กน้อย ได้ยินมาว่าฮูหยินของจี้เหิงหรานมาถึงพระราชวังแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว
เพียงแต่นานขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ยินข่าวคราวของโจวซื่อผู้นั้นเลย
นางบอกให้เย่ว์ลั่วให้เบาใจ ควรทำอะไรก็ทำซะ แม้ฟ้าจะถล่มลงมาก็มีนางแบกรับไว้อยู่
ในยามปกติเย่ว์ลั่วไม่ออกไปจากตำหนักของนาง จึงยังถือว่าใช้ชีวิตอย่างสงบ
ทว่าซูหลีมองดูแล้ว ดูเหมือนว่าหมู่นี้นางมีท่าทีใจลอยอยู่บ้าง ซูหลีก็พูดอะไรออกมามิได้มาก เรื่องของความรู้สึกก่อนที่จะพบกับฉินเย่หาน นางก็คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ
บัดนี้เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว จึงพบว่ามีเรื่องจำนวนมากที่นางไม่อาจควบคุมได้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือ” เพียงแต่เย่ว์ลั่วในเวลานี้ดูแตกต่างจากแต่ก่อนนัก สีหน้ามีความร้อนรนอยู่หลายส่วน ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นและเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบาประโยคหนึ่ง
“คุณหนู แต่ก่อนนางข้าหลวงในตำหนักของแม่นางอู๋มาที่นี่ด้วยตนเอง แล้วเอ่ยว่าแม่นางอู๋ต้องการพบท่าน…” เย่ว์ลั่วพูดจบจึงเงยหน้ามองทางซูหลีอย่างห้ามมิได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตึงเครียด
“บ่าวเพียงพูดกับนางว่า ท่านไปเข้าร่วมราชกิจยามเช้า จากนั้นนางข้าหลวงผู้นั้นก็กล่าวว่า หลังจากท่านกลับมาไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพาท่านไปพบแม่นางอู๋ที่ตำหนักของนาง นางมีเรื่องสำคัญต้องการพูดกับท่าน!”
ซูหลีได้ยินดังนั้น ในดวงตาก็มีประกายความเข้าใจพาดผ่าน
อู๋โยวหราน…
นางหรี่ตาลงเล็กน้อย หมู่นี้นางใช้ชีวิตอย่างราบรื่นเกินไปบ้างจริงๆ จนแทบจะลืมบุคคลหมายเลขหนึ่งผู้นี้ไปเสียแล้ว
อู๋โยวหรานถูกฉินเย่หานขังกักบริเวณเอาไว้ไม่ให้ออกมานอกห้องของตน ทว่ามิได้สั่งห้ามข้ารับใช้ข้างกายของนางออกไปไหนไม่ได้
เพียงแต่…
ไม่รู้ว่าซูหลีครุ่นคิดถึงเรื่องอะไรกัน ถึงทำให้หัวเราะเยาะออกมาอย่างห้ามมิได้
แม่นางอู๋ท่านนี้ช่างน่าสนใจนัก ก่อนหน้านี้นางถูกฉินเย่หานกักบริเวณ ก็กล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา ในเมื่อตนเองไม่สามารถออกไปได้ ทว่าข้ารับใช้ยังเดินเหินไปมาได้อย่างอิสระ ทำให้ทั้งจวนมีความครึกครื้นเกิดขึ้น
นอกจากไม่สามารถออกไปไหนได้ อะไรที่ควรทำก็ทำตามปกติ
บัดนี้ดูเหมือนว่าอู๋โยวหรานผู้นี้ จะเรียนแบบวิธีการของนางแล้ว แม้กระทั่งสั่งให้คนบุกมาเชิญนางไปที่ตำหนัก
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวรู้สึกว่าเรื่องนี้ท่านแสร้งทำเป็นไม่รู้เถิดเจ้าคะ!” เย่ว์ลั่วมองซูหลีด้วยความกังวลใจปราดหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
——
[1] เดินขวาง 横着走 เป็นการเดินแบบขวางๆเหมือนกับปู เป็นการเปรียบเทียบหมายถึง คนที่มีอำนาจ สามารถทำอะไรตามอำเภอได้
ตอนที่ 1240 ประกายแยงเข้าตาของนาง
ซูหลีได้ยินดังนั้น จึงเลิกคิ้วขึ้นและมองนางอยู่ปราดหนึ่ง
ทว่าเมื่อเย่ว์ลั่วเห็นริ้วแห่งความหนักใจที่ปรากฏบนใบหน้าของนางแล้ว จึงเอ่ยว่า “บ่าวมองดูแล้ว จิตใจของแม่นางอู๋ผู้นั้นคงจะไม่เรียบง่าย เบื้องหลังของนางยังมีไทเฮาคอยสนับสนุน เกรงว่าการที่ส่งคนมาเชิญท่านไปตำหนักของนางนั้น…”
“เกรงว่าคงจะเป็นเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์เจ้าค่ะ!” เย่ว์ลั่วติดตามข้างกายซูหลีมาเป็นเวลานานขนาดนี้แล้ว ดังนั้นนางจึงรู้จักอุปนิสัยของซูหลีดี นางถึงได้เอ่ยสิ่งที่ต้องการพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
เรื่องที่อู๋โยวหรานจัดการในวันนี้ เย่ว์ลั่วมองดูแล้วนั่นก็คือการมีเจตนาที่ไม่ดีแอบแฝง
ยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอซูหลีอยู่!
ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือหาเหตุผลปฏิเสธไม่ไปหาอู๋โยวหรานผู้นั้น
“เย่ว์เอ๋อร์ เจ้ากลายเป็นคนที่ระแวดระวังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!” ซูหลีมองเย่ว์ลั่วอยู่นาน จากนั้นจึงยิ้มและส่ายศีรษะไปมา
เย่ว์ลั่วมองนางอย่างเลื่อนลอยเล็กน้อย จากนั้นจึงอ้ำอึ้งค้างไปครู่หนึ่ง
“วางใจเถิด เรื่องใต้หล้านี้มีเรื่องจำนวนน้อยมากที่คุณหนูของเจ้าจะไม่กล้ากระทำ” ซูหลีเห็นดังนั้นมุมปากจึงยกขึ้น ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างสบายอกสบายใจ
“ไม่ว่านางจะมีแผนการอะไร ในเมื่อสั่งให้ข้ารับใช้มาเชิญข้าแล้ว ดังนั้นข้าก็จะไปพบนางสักครู่หนึ่ง” ดวงตาของนางดูเรียบเฉยยามที่พูดออกมา น้ำเสียงก็ยังมีความเยียบเย็น
“…เจ้าค่ะ” เย่ว์ลั่วรู้จักอุปนิสัยของซูหลีดี จึงไม่พูดโน้มน้าวอะไรนาง
นางเพียงก้มศีรษะขานตอบประโยคหนึ่ง แล้วนำซูหลีเดินเข้าไปภายในตำหนัก
“พอดีเลย เมื่อวานนี่ข้าเห็นว่า มีชุดกระโปรงสั่งตัดตัวใหม่ที่กรมวังส่งมามิใช่หรือ ให้ไป๋ฉินนำของเหล่านั้นออกมาที!”
เมื่อเดินไปไม่ถึงสองก้าว ซูหลีพลันนึกอะไรได้อย่างกะทันหัน นางหยุดฝีเท้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
เย่ว์ลั่วได้ยินดังนั้นจึงแสดงท่าทีมึนงงเล็กน้อย จากนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะใช้มือปิดปากแอบหัวเราะเบาๆ
อาภรณ์เหล่านั้น…ล้วนเป็นอาภรณ์ที่ฮ่องเต้ทรงสั่งให้คนตัดขึ้น เป็นอาภรณ์ที่หรูหรา และซูหลีเป็นคนที่ชอบเห็นของคุณภาพดี เมื่อวานยามคนเหล่านั้นนำอาภรณ์เหล่านั้นมาส่งถึงที่ นางก็ถึงกับตกใจเป็นพักหนึ่ง
บัดนี้นางกลับต้องการสวมใส่สิ่งของที่ดึงดูดสายตาผู้คนไปพบอู๋โยวหราน แค่เย่ว์ลั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่า สีหน้าของอู๋โยวหรานผู้นั้นจักต้องไม่น่ามองเป็นอย่างมาก!
“เจ้าค่ะ!” นางขานรับอย่างสบายๆ ความทุกข์ที่ปกคลุมอยู่ภายในใจ คล้ายกับหายไปแล้วบ้าง
เกิดเป็นคน โดยเฉพาะเกิดเป็นสตรี จักต้องใช้ชีวิตอย่างซูหลี
ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ในใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องอะไรที่นางมิกล้ากระทำ
เย่ว์ลั่วมองแผ่นหลังของซูหลีแล้ว พลันเกิดความอิจฉาขึ้นในใจลึกๆ
…
ยามบ่ายวันนี้ซูหลีไม่มีเรื่องอะไรที่นางต้องจัดการ นางจึงเตรียมตัวไปพบอู๋โยวหราน
นางผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อย จากนั้นจึงสั่งให้ไป๋ฉินทำผมและสวมเครื่องประดับให้แก่นาง ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกายเหล่านี้ ทุกคนก็ต่างตะลึงงัน
แม้พวกนางอยู่ข้างกายซูหลีผู้ซึ่งประหนึ่งปีศาจสาวทุกวัน ทว่ารูปโฉมเช่นนี้ของนางจะมองอย่างไรก็ไม่รู้สึกเบื่อ
และถึงขึ้นทำให้คนชื่นชอบมากขึ้นเรื่อยๆ จนมิอาจละสายตาจากร่างของนางได้!
“คุณหนู” ดวงตาของไป๋ฉินมีประกายแวววาว นางจ้องมองซูหลีด้วยความตื่นเต้น แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูไปพบไปที่ตำหนักของแม่นางอู๋เช่นนี้ แล้วยังฆ่านางไม่ได้ ประกายในดวงตาของพวกเราคงแยงเข้าตานางแล้ว!”
“อุ๊บ!” ซูหลีที่กำลังดื่มน้ำชาอยู่ หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋ฉินประโยคนี้แล้ว น้ำชาก็แทบพุ่งออกมาจากปาก!
“ฮ่าๆๆๆ!” ข้ารับใช้โดยรอบได้ยินดังนั้น จึงหัวเราะออกมาจนไหล่สั่นไหวอย่างอดกลั้นมิได้
“มิใช่เช่นนั้นหรือ” ไป๋ฉินยืดอกเหยียดตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความสมเหตุสมผล ทันทีที่แหงนศีรษะขึ้นก็เอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจว่า
“ใครจะรู้ว่านางปีศาจผู้นั้นคะนึงหาฮ่องเต้ทุกวันหรือไม่ ไม่มีคนตบนางสักฉาด นี่ก็ถือว่าเป็นเพราะคุณหนูของพวกเรานิสัยดีมากแล้ว!”
“ใช่ๆๆ!” ซูหลีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย