ตอนที่ 358 สกัดกั้น โดย Ink Stone_Fantasy
ขณะนี้ เงาร่างทั้งห้าที่ปีนขึ้นบนหอ ดูเหมือนจะโอบล้อมหอไว้
หากมองอย่างละเอียด จะค้นพบว่าชั้นจำกัดที่ล้อมอยู่รอบหอสั่นสะเทือนขึ้นมา ราวกับว่าถูกกระตุ้น
คนชุดดำคนแรกเห็นเช่นนี้ ก็ยกแขนขึ้นอย่างไม่ลังเล ยันต์สีเขียวพุ่งออกจากแขนเสื้อ และกลายเป็นลำแสงสีเขียวกระพริบหายไปในนั้น
ครู่ต่อมา แสงทรงกลดสีเขียวจางๆ ปรากฏออกจากชั้นจำกัด จากนั้นก็มีคลื่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในที่สุดชั้นจำกัดก็แตกร้าวออกมา
เงาดำเงาหนึ่งจมหายเข้าไปในหอ และเงาร่างอีกสี่เงาก็ปรากฏตัวในหออย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ
เมื่อทั้งห้าเข้าไปในหอแล้ว กลับค้นพบว่าผู้ที่นั่งอยู่ในห้องดูสงบเป็นพิเศษ เขานั่งขัดสมาธิหลับตาสนิทอยู่บนเตียง ราวกับไม่รู้ตัวว่ามีคนบุกรุกเข้ามา
คนชุดดำคนแรกเห็นเช่นนี้ ก็ยกแขนขึ้นมาอย่างไม่ลังเล ตาข่ายขนาดใหญ่พุ่งออกจากมือ ขณะเดียวกันเสียงร่ายคาถาอันคลุมเครือก็ดังขึ้นมา
ตาข่ายยักษ์แปล่งลำแสงสีฟ้าออกมาชั้นหนึ่ง และขยายใหญ่จนมีขนาดจั้งกว่าๆ จากนั้นก็พุ่งไปยังร่างของผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่
คนเหล่านี้ลงมือได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าแม้แต่น้อย หลังจากสบตากันครู่หนึ่ง ก็แสดงสีหน้าโมโหออกมา
ร่างของผู้ที่ถูกปกคลุมไว้ เปล่งประกายกลายเป็นจุดแสง และสลายไป
“บัดซบ! เขาหนีไปแล้ว!” ชายฉกรรจ์ชุดดำคนแรก กัดฟันคำรามออกมา สีหน้าดูหงุดหงิดเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น แผ่นค่ายกลสีเขียวปรากฏขึ้นบนมือ พอเขาทำท่ามือ อักขระเล็กๆ แถวหนึ่ง ก็จมหายไปในแผ่นค่ายกล
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น คนชุดดำทั้งห้าก็รีบออกไปจากหออย่างรวดเร็ว
…….
ในขณะเดียว หลิ่วหมิงกลับอยู่ในป่าที่ห่างจากหุบเขาเหล็กอัคคีหลายสิบลี้แล้ว และกำลังพุ่งไปยังทิศทางแห่งหนึ่ง
พอได้ยินเสียงต่อสู้ของเผ่าเจ้าสมุทรกับชิงฉินและชื่อลี่ เขาก็เล็ดลอดออกจากชั้นจำกัดที่เขาแอบเปิดไว้ในก่อนหน้า และทิ้งยันต์แปลงเงาไว้ในห้อง
ยันต์นี้เป็นยันต์ระดับสูงที่เขาใช้หินจิตวิญญาณจำนวนมากซื้อมาเมื่อหลายปีก่อน แม้ว่าจะไม่มีพลังการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็สามารถหลอกตาผู้คนได้อย่างน่ามหัศจรรย์
แม้ว่าเงาร่างที่เขาทิ้งไว้ จะสามารถปล่อยกลิ่นไอและพลังคลื่นพลังจิตเหมือนร่างจริงได้ชั่วคราว แต่ก็ยากที่คนจะสามารถแยกแยะได้
หลังออกจากหุบเขาเหล็กอัคคี หลิ่วหมิงหยิบยันต์สีเหลืองมาแปะลงบนตัวผืนหนึ่ง ทันใดนั้น หมอกสีเหลืองก็แผ่กระจายออกมา น้ำหนักตัวของเขาเบาลง จากนั้นก็พุ่งไปทางป่าดงดิบอย่างรวดเร็ว
ที่จริงหลิ่วหมิงสามารถกระตุ้นเรือกลเหาะออกเดินทางได้ แต่หากทำเช่นนั้นล่ะก็ มันดูเตะตาเกินไป อาจถูกคนของเหยียนเจวี๋ยค้นพบได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องอาศัยพลังของยันต์ อำพรางตัวในการหลบหนี
ในระหว่างทาง เขาใช้พลังจิตกวาดดูด้านหลังอยู่ตลอดเวลา พอเห็นว่าไม่มีใครตามมา สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
แต่ขณะที่พุ่งออกไปไม่ถึงสิบกว่าลี้ เขากลับต้องหดรูม่านตาลง และหยุดชะงักในทันที
ห่างออกไปไม่ไกล ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีแดง มีอักขระสีแดงจางๆ อยู่ตรงแก้มทั้งสอง กำลังจ้องมองหลิ่วหมิงราวกับนายพรานที่เห็นสัตว์ติดกับดักของตนเอง
เขาคือเหยียนเจวี๋ย หนึ่งในสามผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธในชังไห่นั่นเอง
และข้างตัวเขายังมีหุ่นนักรบสีทองอร่ามอยู่สองตัว
“สหายรีบร้อนไปจากหุบเขาเช่นนี้ เพื่อไปเอาขนแข็งหรอกหรือ?” เหยี๋ยนเจวี๋ยกระพริบตาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง ข้าน้อยกำลังลองไปเสี่ยงดวงดู จะได้นำมาแลกกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงของท่าน” หลิ่วหมิงมองเหยียนเจวี๋ยทีหนึ่ง สีหน้าเขากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
แม้เขาจะกล่าวเช่นนี้ แต่ในใจก็แอบสงสัยว่าเหยียนเจวี๋ยสะกดรอยตามเขามาได้อย่างไร
อย่างที่รู้ว่า เขาใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งตรวจดูมาตลอดทาง ในระหว่างนั้นก็ไม่ค้นพบร่องรอยของใครเลย
เขาย่อมไม่รู้ว่า โซ่ตรวนสะกดวิญญาณที่เหยียนเจวี๋ยมอบให้เขาในวันนั้น ถูกเหยียนเจวี๋ยแอบนำไปแช่น้ำมันของอสูรที่มีชื่อว่า ‘ชะมดหนู’ มาก่อน
เพียงแค่หลิ่วหมิงพกอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ติดตัว ในระยะเวลาสามเดือนนี้ ไม่อาจหลุดพ้นการสะกดรอยของชะมดอีกตัวที่เหยียนเจวี๋ยเลี้ยงไว้ได้
“อ๋อ! ดูจากสีหน้าของสหาย ดูเหมือนจะมีความมั่นใจว่าจะได้วัสดุชิ้นนี้มา” เหยียนเจวี๋ยเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย และดูเหมือนจะกล่าวด้วยความเป็นห่วง
“ท่านพูดล้อเล่นแล้ว การค้นหาขนแข็งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มิเช่นนั้นคงไม่ได้มาแค่สองเส้น ไม่แน่การไปครั้งนี้อาจจะได้อย่างอื่นมาก็ได้ หากท่านไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าน้อยขอลา!” หลิ่วหมิงจ้องมองเหยียนเจวี๋ยแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ฮึ! ดูท่าสหายจะชอบใช้วิธีการบีบบังคับ ข้าแค่อยากได้วัสดุที่อยู่บนตัวสหายเท่านั้น เพียงแค่ยอมมอบมันให้ข้าแต่โดยดี ข้าไม่เพียงแต่จะป้องกันความปลอดภัยให้เจ้า แต่ยังมีของล้ำค่าอื่นๆ มาแลกด้วย” เหยียนเจวี๋ยฟังจบก็ตีหน้าขรึมลง รอยยิ้มที่แฝงอยู่ในแววตาหายไปหมดสิ้น
หลิ่วหมิงได้ยินก็หน้าขรึมลงเช่นกัน
เขาเองก็ขี้เกียจพูดจาไร้สาระกับเหยียนเจวี๋ย พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่จันทราทองคำก็โผล่ออกมา พอโบกมันเบาๆ ก็มีเสียงดังก้องฟ้า
เหยียนเจวี๋ยเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และชี้ไปยังหุ่นนักรบทั้งสองเบาๆ
อักขระสีทองสองตัวพุ่งออกจากมือของเขา และจมหายไปตรงระหว่างคิ้วของหุ่นนักรบทั้งสอง
ทันใดนั้น หุ่นนักรบทั้งสองเริ่มเปล่งแสงสีทองอร่ามออกมา ดวงตาเปล่งประกายของมันมองมายังหลิ่วหมิง และจับตำแหน่งของเขาไว้
“ไป!”
ท่ามกลางเสียงตะคอกอันดังของเหยียนเจวี๋ย หุ่นนักรบทั้งสองก็เริ่มสาวเท้าไปหาหลิ่วหมิง
“ตึ้ง! “ตึ้ง!” ทุกย่างก้าวของหุ่นนักรบทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน จากนั้นรอยเท้าลึกฉื่อกว่าๆ ก็ปรากฏขึ้นบนพื้น
หลิ่วหมิงค่อยๆ หดรูม่านตาลง ดูท่าพลังของหุ่นนักรบคงน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
เขาแตะเท้าข้างหนึ่งลงพื้นเบาๆ จากนั้น ร่างของเขาก็กระโดดขึ้นมาราวกับสยายปีก ในมือกำกระบี่จันทราทองคำไว้แน่น และฟันใส่หุ่นนักรบตรงหน้า
“เต๊ง!”
แสงสีทองม้วนตัวออกไป และฟันใส่ร่างหุ่นนักรบอย่างรุนแรง
แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่แฝงด้วยยี่สิบแปดชั้นจำกัดนี้ ทิ้งไว้เพียงแค่รอยจางๆ บนตัวหุ่นนักรบเท่านั้น
ดูจากจุดนี้จะเห็นได้ว่า พลังป้องกันของมันแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็พลิกข้อมือทันที กระบี่จันทราทองคำในมือปาดออกไปอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นแสงเย็นสะท้านฟันลงบนคอหุ่นนักรบ
เมื่อมีเสียงดังออกมา ผลลัพธ์กลับยังเป็นเช่นเดิม
กระบี่จันทราหยกทิ้งไว้เพียงรอยสีขาวจางๆ บนต้นคอหุ่นนักรบ!
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก แต่ก็ไม่ยอมหยุดการโจมตี พอเขายกมือขึ้น ลูกเปลวไฟก็ปรากฏตรงหน้า จากนั้นก็พุ่งใส่หุ่นนักรบตัวหนึ่ง เมื่อทั้งสองสิ่งปะทะกัน ลูกเปลวไฟก็ระเบิดตัวออกมา “ตู๊ม!”
ขณะนั้นเอง แขนขวาสีทองอร่ามของหุ่นนักรบทั้งสองก็ค่อยๆ ยกขึ้นมา และจู่โจมมาทางหลิ่วหมิง
อากาศบริเวณที่กำปั้นสีทองอร่ามเคลื่อนตัวผ่าน จะมีเสียงดัง “อู้ๆ!” จากนั้นระลอกคลื่นก็แผ่กระจายออกไป
แม้ว่าหุ่นนักรบเหล่านี้จะใหญ่เทอะทะ แต่กำปั้นที่ถูกปล่อยออกมา กลับดูรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ เพียงแค่มีแสงสีทองเปล่งประกายออกมา กำปั้นทั้งสองก็มาถึงบริเวณหน้าอกของหลิ่วหมิงพร้อมกัน
ภายใต้ความตกใจ หลิ่วหมิงไม่สามารถหลบหลีกได้ทัน ทำได้เพียงแต่นำกระบี่จันทราทองคำขวางไว้บริเวณหน้าอก เพื่อรับมือกับกำปั้นสีทองทั้งสอง
“ตู๊มๆ!”
กำปั้นทั้งสองทุบใส่กระบี่จันทราทองคำอย่างรุนแรง กระบี่จันทราทองคำโค้งงอ จากนั้นร่างของหลิ่วหมิงก็ร่นถอยออกไปหลายก้าว
“พลังมหาศาลยิ่งนัก”
หลิ่วหมิงสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน พริบตาที่กระบี่จันทราทองคำถูกทุบนั้น เขาก็รับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลที่ทะลักออกมาไม่หยุด
ความรู้สึกแรกของหลิ่วหมิงก็คือ ตนเองเหมือนถูกเขาลูกเล็กๆ ชนใส่!
โชคดีที่เขาไหวตัวทัน จึงถอยออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับมันโดยตรง ถ้าพยายามต้านทานไว้ล่ะก็ เกรงว่ากระบี่จันทราทองคำคงกลายเป็นสองชิ้นไปแล้ว
พอเหยียนเจวี๋ยเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เห็นได้ชัดว่าพอใจกับอานุภาพของหุ่นนักรบทั้งสองมาก
หลังจากทุบตีจนหลิ่วหมิงร่นถอยไปแล้ว หุ่นนักรบทั้งสองก็พุ่งไปด้านหน้าทันที
ครู่ต่อมา ฉากอันน่าประหลาดใจก็บังเกิดขึ้นโดยฉับพลัน!
พอหุ่นนักรบทั้งสองเคลื่อนไหวแขนสีทองคนละข้าง อักขระจำนวนมากก็เปล่งประกายออกมา จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นกระบี่และดาบที่ยาวหลายฉื่อ
“ฟู่!”
หนึ่งในหุ่นนักรบที่แขนกลายเป็นกระบี่ยาว พร่ามัวมาถึงด้านข้างของหลิ่วหมิงก่อน พอกระบี่ยาวเปล่งประกายออกมา มันก็ฟันใส่ศีรษะของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงตะคอกออกมา จากนั้นก็เคลื่อนไหวกระบี่สั้นในมืออย่างไม่ลังเล ทันใดนั้น เงากระบี่ม้วนตัวขึ้นฟ้า และสกัดกระบี่ยาวของหุ่นนักรบท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังลั่น
แต่ขณะนั้นเอง หุ่นนักรบอีกตัวที่แขนกลายเป็นดาบ ก็พุ่งมาถึงบริเวณที่เขาอยู่อย่างรวดเร็ว
พอดาบที่ยาวหลายฉื่อตวัดออกไป ลำแสงสีทองก็ม้วนตัวเข้ามา
หลิ่วหมิงไม่ทันได้คิดอะไรมาก เขาเพียงแค่สั่นไหวกลายเป็นเงาร่างเจ็ดแปดเงา พอลำแสงม้วนตัวเข้ามา มันก็ฟันเงาร่างเกือบครึ่งหนึ่งของเขาจนสลายไป
มีเพียงแค่หนึ่งในเงาเหล่านั้น เคลื่อนไหวไปอยู่ด้านหลังของหุ่นนักรบ และทุบใส่หลังของมันอย่างรุนแรง
“ตู๊ม!”
หุ่นนักรบกระเด็นออกไปชนกับหุ่นนักรบอีกตัวพอดี
แสงสีทองอร่ามเปล่งประกายออกจากร่างของทั้งสอง มันเกาะตัวกันกลิ้งออกไป บริเวณที่ถูกปะทะเกิดรอยเว้าขึ้นมา!
แต่สำหรับหุ่นนักรบที่มีพลังป้องกันอันแข็งแกร่งแล้ว ไม่มีผลกระทบใดๆ กับมันเลย หลังจากดวงตาที่ซึมกระทือของมันเปล่งแสงสีทองออกมา มันก็แยกออกจากกันแล้วจับตำแหน่งของหลิ่วหมิงไว้
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเล็กน้อยก็คือขณะนี้ แขนสีทองอร่ามของหุ่นนักรบทั้งสองเริ่มพร่ามัวเหมือนเมื่อครู่ จากนั้นก็กลายเป็นค้อนกับกริช
ตอนนี้ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะรู้แล้วว่า แขนของหุ่นนักรบทั้งสองนี้ สามารถกลายเป็นอาวุธหลากหลายรูปแบบได้!
……………………………………