ตอนที่ 822 หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ผู้เต็มไปด้วยอิโมจิ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่เดินไปพร้อมกับฝูงชน ผู้บำเพ็ญลับข้างๆ เขาไม่ได้ดูภูมิใจเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว พวกเขาทำหน้าหงอยเหมือนหมาที่เพิ่งถูกตีมา 

 

 

ที่นี่ไม่มีเต็นท์กางเสียด้วยซ้ำ และมีแค่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เอากระเป๋าเดินทางมาด้วย กะจากสายตาคร่าวๆ แล้วมีผู้บำเพ็ญลับที่รอดชีวิตอยู่ประมาณ 70,000 คน แต่อีก 60,000 ไม่ได้โชคดีอย่างนี้ หลายๆ คนก็หนีมาไม่ทันเพราะโดนเหยียบตาย 

 

 

อย่างไรก็ตามผู้รอดชีวิตกว่า 70,000 คนนี้ก็ต้องเดินเท้ากันต่อไปสามวันสามคืนเพื่อที่จะไปถึงท่าเรืออาร์เตม นอกจากจะมีปัญหาขาดเสบียงอาหารแล้ว พวกเขาก็กลัวกันอยู่ตลอดเวลาว่าจะโดนเครือข่ายฟ้าดินจับตัวไปเมื่อไหร่ก็ได้ 

 

 

แต่หลี่ว์ซู่รู้ว่าเครือข่ายฟ้าดินจะไม่ทำตัวอย่างนั้น แต่ผู้บำเพ็ญลับไม่รู้เรื่องหรอก เพราะฉะนั้นพวกเขาก็ต้องเดินอย่างกลัวๆ ตลอดทางและดูเหมือนศักดิ์ศรีของผู้มีพลังของพวกเขาไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว 

 

 

หลังจากที่ผ่านไปทั้งวัน พวกเขาก็มั่นใจกันได้แล้วว่าเครือข่ายฟ้าดินคงจะไม่มาไล่ล่าพวกเขาแล้ว ตอนนั้นเองพวกเขาถึงกล้าที่จะหยุดนั่งลงข้างทางเพื่อพักผ่อน 

 

 

ตอนนี้ความกังวลของพวกเขาไม่ใช่กลัวถูกฆ่าแต่เป็นกลัวอดตายแทน ไม่มีใครนำอาหารติดตัวมาด้วยขณะกำลังวิ่งหนีตายในตอนนั้น 

 

 

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่หลี่ว์ซู่กังวล เพราะเขาได้แต้มอารมณ์มาชุดใหญ่เลยยังไงล่ะ! 

 

 

เขาพยายามให้ความสำคัญกับการเลือกผลชี่ไห่หลังจากจุดประกายดวงดาวดวงที่สามสำเร็จ ถึงอย่างไรเขาก็จะต้องใช้แต้มถึงสี่ล้านแต้มเพื่อจุดประกายกลุ่มดาวที่สี่ ซึ่งดูจะเป็นเป้าหมายที่ห่างไกลมาก หลี่ว์ซู่ก็เลยหันเป้าหมายมาที่วิญญาณกระบี่ดวงที่สามแทน สงสัยจังว่าวิญญาณดวงนี้จะทำอะไรได้กันนะ 

 

 

แต่ตอนนี้เขาได้แต้มอารมณ์มามากกว่าหนึ่งล้านแต้มแล้ว! 

 

 

ได้มาตอนไหนเนี่ย หลี่ว์ซู่งงไปหมด 

 

 

จากนั้นเขาก็ได้ยืนคนข้างๆ กำลังพูดถึงอะไรบางอย่าง “ฉันล่ะสงสัยว่าเครือข่ายฟ้าดินไปเอาเกราะทองแดงมาจากไหนกันนะ ดูน่ากลัวกันสุดๆ แล้วไอ้พวกองค์กรใหญ่พวกนี้ก็โกหกเรามาตลอด! พวกมันไม่เห็นเคยบอกเลยว่าเครือข่ายฟ้าดินจะแข็งแกร่งขนาดนี้!” 

 

 

“ชุดเกราะทองแดงพวกนี้ทรงพลังมากเกินไป เราโจมตีแทบจะไม่เข้าเลย!” 

 

 

หลี่ว์ซู่จึงตระหนักได้เขาได้แต้มอารมณ์มากมายจากความไม่พอใจที่คนพวกนี้รู้สึกต่อเกราะทองแดงนี่เอง! 

 

 

ยอดเยี่ยมที่สุด! ถึงเขาจะไม่ได้ทำให้คนพวกนี้รู้สึกไม่พอใจได้โดยตรง แต่เกราะทองแดงที่เขาหามาได้และยกให้กับเครือข่ายฟ้าดินก็ทำให้เกิดแต้มอารมณ์ได้อยู่ดี ผลสุดท้ายก็คือเขาได้แต้มอารมณ์พวกนี้มาครอบครอง เจ๋งมาก! 

 

 

หลี่ว์ซู่เกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้ว เขาแทบอยากจะโทรหาเนี่ยถิงทันทีเพื่อปรึกษาว่าเขาควรฆ่าคนพวกนี้ให้หมดไปเลยดีไหม เพราะคนพวกนี้ก็เป็นตัวอันตรายต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่แล้ว… เอาล่ะ หลี่ว์ซู่คงคิดเรื่องไร้สาระมากเกินไปแล้ว 

 

 

เขายืนพิงกับต้นไม้และคิดว่าเขาจะเอาแต้มทั้งหมดไปแลกเป็นผลชี่ไห่ดีหรือไม่ แต่ตอนนี้เนี่ยถิงโจมตีออกไปไม่ได้ เขาเลยอาจจะต้องเลื่อนระดับตัวเองและทำอะไรสักอย่างแล้ว 

 

 

ในขณะนั้นเองกลุ่มคนก็เคลื่อนที่ต่อไปข้างหน้าในตอนที่เขากำลังกินขนมอยู่ เขาสวมฮู้ดปิดหน้า แต่ทุกคนก็หันมองที่เขาเป็นตาเดียวเพราะเขากำลังเปิดห่อขนมอยู่ 

 

 

แล้วเขาก็ได้แต้มอารมณ์มาเพิ่มอีกระลอก ทุกคนงงมาก ทำไมเจ้าหมอนี่ถึงได้หยิบขนมตอนที่กำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอดมาได้นะ 

 

 

หลี่ว์ซู่มองไปรอบๆ และถามออกไปเป็นภาษาอังกฤษ “ดูน่าอร่อยดีไหมล่ะ” 

 

 

ผู้บำเพ็ญลับผู้หญิงที่หน้าตาไม่ค่อยดีเท่าไหร่มองตาหลี่ว์ซู่และพูดว่า “ถ้าเอาขนมนั้นมาให้ฉัน นายก็พาฉันไปไหนได้ตามใจเลย จะไปตรงป่าข้างในนั้นก็ไม่เกี่ยงนะ” 

 

 

เธอพูดขณะที่ลดคอเสื้อลงอย่างจงใจ 

 

 

คนที่ทำอย่างเธอไม่ได้หาเจอได้ทั่วไป พอหลี่ว์ซู่รู้ตัวว่าเธอพูดถึงตัวเอง เขาก็ตะโกนกลับไปทันที “ฉันไม่ใช่คนอย่างนั้นนะ!” 

 

 

ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาอย่างแค่นๆ “ผู้ชายก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ ถ้านายบอกว่าตัวเองยังบริสุทธิ์อยู่ ฉันก็ไม่เชื่อนายหรอก ผู้ชายคนอื่นต้องจ่ายเงินนะ แต่นายจ่ายแค่ขนมห่อนั้นก็พอแล้ว” 

 

 

หลี่ว์ซู่ปฏิเสธไปด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันภูมิใจที่เป็นคนยากจน เพราะการที่ฉันไม่มีเงืนนี่แหละเลยทำให้นิสัยของฉันเป็นคนตตรงไปตรงมา ขอบอกตามตรงเลยนะ ว่า …” 

 

 

แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยคก็มีความผันผวนของพลังงานจิตวิญญาณระเบิดออกมาใต้ร่างของผู้หญิงคนนี้ พื้นดินข้างล่างเธอถูกยกขึ้นมาและส่งผลให้ผู้หญิงคนนี้พุ่งขึ้นหายไปบนฟ้า พวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของเธอมาจากที่ไกลๆ 

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มาถึงแล้ว… 

 

 

เธอแอบอยู่ใต้ดินและจับตาดูหลี่ว์ซู่มาโดยตลอด 

 

 

หลี่ว์ซู่หันหลังกลับไปทันทีและตะโกนบอกคนอื่นๆ “ฉันเป็นคนดีมีศีลธรรม ฉันไม่ชอบเรื่องใต้สะดือเลย อย่าได้เอาเรื่องแบบนี้มาล่อฉันเลยนะขอร้องล่ะ!” 

 

 

คนที่ฟังก็ได้แต่ประหลาดใจ เออ พวกเรารู้แล้วว่านายเป็นคนยังไง แต่ก็ไม่เห็นจะต้องตะโกนบอกเลยนี่หว่า… อีกอย่างผู้หญิงคนนั้นอยากได้อาหารเท่านั้น ไม่เห็นจะต้องทำรุนแรงกับเธอเลย… 

 

 

ที่จริงแล้วมีผู้บำเพ็ญลับอีกหลายคนที่โดนปฏิเสธเพราะพวกเธออยากจะไปพึ่งพาผู้ชายคนอื่น แต่ผู้บำเพ็ญผู้หญิงคนนี้ซวยที่สุดเพราะเล่นผิดคนก็เท่านั้นเอง… 

 

 

ตอนนั้นหลี่ว์ซู่ก็ถูกมองว่าเป็นผู้มีพลังธาตุดินที่แข็งแกร่งไปแล้ว 

 

 

หลี่ว์ซู่เพิ่งจะมาตระหนักได้ว่าตอนนี้แต้มอารมณ์จากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้หยุดลงแล้ว… 

 

 

เพราะก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่ามีคลื่นพลังจิตวิญญาณของธาตุดินอยู่ใกล้เขามาจากใต้ดิน และจะตามมาด้วยแต้มอารมณ์จากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เสมอ ถ้าคนใต้ดินนั้นไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใครกัน 

 

 

หลังจากที่ผู้คนหยุดจ้องหลี่ว์ซู่แล้ว เขาก็แอบเขียนอะไรลงบนพื้น เพราะเขารู้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ขะต้องอ่านแน่ๆ [เธอมาทำอะไรที่นี่] 

 

 

แล้วจากนั้นโคลนบนพื้นก็ค่อยๆ ก่อตัวกลายเป็นตัวอักษร [ฉันมาปกป้องเธอไง!] 

 

 

หลี่ว์ซู่ประหลาดใจมาก เขาเขียนกลับไป [ที่นี่อันตรายมากนะ ไปรอฉันที่ค่ายเครือข่ายฟ้าดินเถอะ ถ้าฉันหาคนที่อยู่เบื้องหลังนี่เจอแล้วเราค่อยฆ่ามันด้วยกัน!] 

 

 

แล้วตัวอักษรบนพื้นก็เปลี่ยนไป ครั้งนี้มีภาพเขียนจากโคลนด้วย หลี่ว์ซู่พยายามเพ่งมองว่าเป็นรูปอะไร แล้วเขาก็เห็นว่าเป็นหน้าของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่กำลังทำหน้าหยิ่งผยอง [ไปหลอกผู้หญิงอายุ 11 คนอื่นเถอะ เธอหลอกฉันไม่ได้หรอกนะหลี่ว์ซู่] 

 

 

หลี่ว์ซู่งงไปเลย หลี่ว์เสียวอวี๋ก็ไม่ได้จะอายุมากไปกว่าเด็กอายุ 11 มากเท่าไหร่เหมือนกันนี่ เพราะเธออายุ 12 เท่านั้น! อีกอย่างเธอยังใส่อิโมจิมากับข้อความของเธออีก! เป็นความสามารถของธาตุดินที่สร้างสรรค์อะไรอย่างนี้… 

 

 

[ได้รับแต้มจากหลี่ว์ซู่ +199] 

 

 

[หลี่ว์เสี่ยวอวี๋] หลี่ว์ซู่วาดรูปหน้าตาจริงจังกลับไป [ครั้งนี้เธอต้องฟังฉันนะ ถ้าเรายังอยู่ด้วยกันอย่างนี้เราจะโดนจับได้เอาง่ายๆ เพราะงั้นให้ฉันไปคนเดียวเถอะ อีกอย่างถึงเธออยู่ใต้ดินก็ไม่ได้แปลว่าจะปลอดภัยนะ คนพวกนั้นมีผู้มีร่างกายสัมผัสรู้ได้ เธอก็รู้ว่าฉันรักชีวิตตัวเองมากแค่ไหน ฉันแค่จะไปช่วยเครือข่ายฟ้าดินสู้ก็เท่านั้นเอง เธอคิดว่าฉันจะปล่อยให้ตัวเองตายเหรอ] 

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตอบกลับหลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ [ก็จริงของเธอ] 

 

 

เส้นเลือดบนหัวของหลี่ว์ซู่เต้นตุบๆ ถึงจะเป็นเรื่องจริงแต่เขาก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ต้องยอมรับความจริงนี้