ตอนที่ 807-808

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.807 – เขาทมิฬประหลาด
  เสวี่ยฉีพยักหน้ายืนยันคำพูดของไป่ชานเหลียงดูจากสีหน้าคนอื่นๆก็ยืนยันได้ว่าทุกคนนอกจากเขาและจื่อเสวียนรู้เรื่องนี้แล้ว เพราะพวกเขามีสายลับมากมายที่ตำหนักใน
  “หึหึเจ้าตำหนักจางคิดส่งศิษย์นอกไปที่นั่นหรือ ข้าอยากจะวางยาพิษให้ตายเสียจริงๆ! พี่ชานเหลียง ทำไมไม่ให้พิษนั่นกับข้าล่ะ? ข้าจะได้วางยาไอ้แก่นั่นให้ตาย”
  กงซุนหวูซื่อกัดฟันนางโบกหมัดเล็กๆไปมาในอากาศ
  ไป่ชานเหลียงยิ้มอย่างอบอุ่น
  “หวูซื่อเจ้าพูดไม่ดีอีกแล้วนะ ชื่อข้าชานเหลียงประกอบกันหมายถึงสัตย์ซื่อและใจดี ข้าจะทำของอย่างยาพิษได้อย่างไร?”
  เสวี่ยฉีเลิกคิ้วนางแอบถอยหลังไปด้วยความกลัว เมื่อได้ไปยังที่ที่เงียบกว่า นางจึงเริ่มพูดกับไป่ชานเหลียง
  “นี่เจ้า…เป็นหัวหน้าสี่อสูร…ไป่ชานเหลียงงั้นเรอะ?ข้าได้ยินว่าเจ้าฝึกวิชาปรุงพิษจนสมบูรณ์แบบ จ้าวเทวะกลายคนที่เชี่ยวชาญการปรุงพิษยังเทียบเจ้าไม่ติด!”
  กงซุนหวูซื่อเอามือทาบอก
  “พี่ชานเหลียงของข้าวางยาพิษได้แม้แต่จ้าวเทวะชั้นสูง!พี่ชานเหลียง เอาพิษให้ข้าเร็ว ข้าจะไปฆ่าไอ้แก่นั่น!”
  คนรอบๆล้วนหวาดกลัวคำพูดของนางซือหยูตกใจเล็กน้อย เขารู้ว่าฉายาพิษประจิมของไป่ชานเหลียงจะต้องมีที่มา แต่เขาไม่คิดเลยว่าวิชาทำพิษของเขาจะสังหารได้แม้กระทั่งจ้าวเทวะชั้นสูง!
  แค่ก!แค่ก!…อ่อก!…
  ไป่ชานเหลียงไออย่างหนักสองครั้งและอาเจียนโลหิตออกมาเขาดูหน้าซีดขึ้นเรื่อยๆ เขาพูดด้วยเสียงอ่อนแอ
  “ข้าอ่อนแอเปราะบางเช่นนี้ข้าจะทนรับผลข้างเคียงของพิษได้อย่างไร? หึหึ หวูซื่อ อย่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย”
  กงซุนหวูซื่อย่นจมูกนางยื่นมือเล็กๆไปหาเขา
  “ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ให้ขวดผงท้องร่วงดับเก้าสวรรค์กับข้าล่ะ? ต่อให้เขาไม่ตาย เขาก็ต้องทรมาน!”
  ไป่ชานเหลียงมุมปากบิดเบี้ยว
  “ข้าเพิ่งจะให้เจ้าไปสองขวดเจ้าใช้กับเล่าอ๋ายไปแล้วหนึ่งขวด แล้วอีกขวดเล่า?”
  กงซุนหวูซื่อหลบตาเขาขณะที่พูดนางบ่น
  “เจ้าคนขี้ตืด!”
  ซือหยูรู้สึกว่ากงซุนหวูซื่อแอบมองเขานี่เป็นครั้งที่สองที่อสูรน้อยคนนี้แอบมองเขา
  ซือหยูเริ่มระแวงนางเข้าจริงๆ…
  หรือว่านางคิดจะใช้ผงท้องร่วงดับเก้าสวรรค์กับข้า?
  ในตอนนั้นปิงหวูชิงที่ไร้อารมณ์พูดขึ้น
  “ยังเร็วไปที่จะพูดเรื่องนี้คนที่หายไปในเขาสิบแปดลูกไม่ได้มีลำดับสูงนัก เจ้าตำหนักจางอาจจะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายพวกเราก็ได้”
  ปิงหวูชิงกล่าว
  “พวกเรามีเวลาแค่สามวันจะขุดเจอสมบัติมากเท่าไหร่ก็อยู่ที่โชคชะตาของเรา อย่ามัวชักช้า! รีบไปกันเถอะ!”
  คนอื่นๆพยักหน้าตอบรับแม้มันจะดูอันตราย แต่ถ้าพวกเขากลับมาได้อย่างปลอดภัย พวกเขาก็จะได้รับรางวัลอย่างงาม
  พวกเขาออกจากตำแหน่งเดินทางไปยังค่ายที่อยู่ส่วนนอกสุดของดินแดนตำหนักเขาวิญญาณจรัสถ้าพวกเขาไปไกลอีกแม้แต่ก้าวเดียวก็จะอยู่ในภูเขาร้างไร้ขอบเขต
  ที่นี่มีภูเขาทมิฬสิบแปดลูกเรียงรายเชื่อมติดกันเป็นเส้นยาวภูเขาเหล่านี้แฝงพลังอันดุร้ายและมืดหม่น มีพลังภูติผีอยู่เต็มไปหมด
  “เทือกเขานี่น่าสยองจริงๆ”
  เสวี่ยฉีขมวดคิ้วแน่นเมื่อมองภูเขาทมิฬ
  “เขาสิบแปดลูกอันตรายกว่าที่อื่นๆตอนที่ขุดค้นต้องระวังให้มาก”
  ไป่ชานเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย
  “มีไอพิษอ่อนๆในอากาศมีฤทธิ์กัดกร่อน ต้องมีสิ่งมีพิษร้ายแรงอยู่ในอากาศอยู่ด้วยแน่ ระวังให้ดี ข้าพกยาถอนพิษมาหลายขนาน มันอาจจะปกป้องพวกเจ้าจากพิษได้”
  เขาให้โอสถบริสุทธิ์สดใสดั่งแก้วกับแต่ละคนหลังจากรับประทานเข้าไปจะสัมผัสได้ถึงความกระปรี้กระเปร่า ความรู้สึกไม่สบายตัวที่เคยมีล้วนหายไปจนหมด
  “นี่คือโอสถแก้พิษศักดิ์สิทธิ์ที่หายากแม้จะเป็นตำหนักในที่เรียกว่าโอสถกลิ่นจันทราใสใช่หรือไม่?”
  เสวี่ยฉีตาลุกวาวเมื่อจำมันได้
  มันคือโอสถแก้พิษหายากที่มิอาจหาซื้อได้แม้จะจ่ายพันคะแนน!ใครจะไปคิดเล่าว่าพิษประจิมจะมิได้ชำนาญแค่การปรุงพิษแต่ยังทำยารักษาได้ด้วย?
  ไป่ชานเหลียงโบกมืออย่างเบาใจ
  “หากผู้ใดปรุงพิษได้คนผู้นั้นก็ต้องชำนาญการรักษาด้วย! ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย”
  ไป่ชานเหลียงพูดต่อ
  “ทุกท่านโปรดเตรียมตัวก่อนเข้าเขาสิบแปดลูก ถ้าหากไม่เตรียมให้พร้อม มันก็อาจจะกลับไปแก้ไขสิ่งใดไม่ได้อีกแล้ว”
  ทุกคนสัมผัสได้ถึงอันตรายที่มีอยู่ในภูเขาอย่างแจ่มชัดพวกเขากลับไปยังกระโจมพักของตนเอง ขนาดของกระโจมแต่ละคนไม่ใหญ่นัก มันมีไว้เพื่อพักผ่อนเท่านั้น แต่กระโจมเหล่านี้มีผนึกกันเสียงเอาไว้ ยากที่คนภายนอกจะแอบฟังได้
  ซือหยูนั่งสมาธิอยู่ในกระโจม
  “เจ้าออกมาได้แล้ว”
  ฟึ่บ!
  มุกวิญญาณเก้าหยกเปล่งแสงเล็กน้อยเมื่อสาวน้อยน่ารักสวมชุดสีชมพูปรากฏตัวนางมองรอบๆด้วยด้ยความตกตะลึง
  จากนั้นดวงตาของนางก็แสดงความตกใจนางร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
  “มีพลังวิญญาณหนาแน่นที่นี่!ที่นี่ไม่ใช่เฉินหลง”
  ซือหยูพยักหน้า
  “ใช่ข้ามาถึงจิวโจวแล้ว”
  สาวน้อยน่ารักมิใช่ใครอื่นนอกจากจางตี๋เก้อนางตาเป็นประกายด้วยความยินดี
  ในที่สุดนางก็ได้กลับมายังจิวโจวสถานที่ที่นางใฝ่ฝันมาโดยตลอด! แต่นางก็รู้สถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ นางยินดีเพียงครู่เดียวและมายืนหน้าซือหยูเพื่อรอฟังคำสั่ง
  “พูดมา!เจ้าเจออะไรบ้าง?”
  ซือหยูถามนางตรงๆ
  เมื่อได้พบเจ้าตำหนักจางจางตี๋เก้อที่อยู่ในมุกวิญญาณเก้าหยกได้ส่งกระแสจิตเตือนซือหยูให้ระวังตัว คำถามของเขาก็คือการถามหาเหตุผลในตอนนั้น
  ใบหน้าจางตี๋เก้อดำมืดลงไป
  “นายท่านข้าสัมผัสรังสีพลังของเผ่าพันธุ์ข้าได้เมื่อครู่ก่อน”
  เผ่าพันธ์ุของนางรึ?
  “เจ้าพูดถึงพวกภูติผีสินะ?”
  “ใช่แล้วพวกเราภูติผีมีพลังสัมผัสพลังของเผ่าตัวเอง มันแม่นยำกว่าพลังของมนุษย์ และข้าก็เป็นตัวตนพิเศษท่ามกลางภูติผีด้วยกันเพราะข้าเคยบ่มเพาะวิชาสัมผัสภูติผีมาก่อน สัมผัสของข้าเหนือกว่าภูติผีตนอื่น…”
  นางอธิบาย
  “นายท่านภูติผีใกล้ๆท่านอาจจะสัมผัสข้าไม่ได้เพราะข้าอยู่ในมุกวิญญาณเก้าหยก แต่ข้าสัมผัสมันได้”
  ข้าได้มาเข้าใกล้ภูติผีแล้วรึ?ซือหยูตัวสั่นเมื่อคิด ดูจากเวลาที่จางตี๋เก้อเตือนเขา มันเป็นเวลาเดียวกับที่เขาพบเจ้าตำหนักจาง หรือพูดอีกอย่างก็คือมีหนึ่งในเก้าผู้เฒ่าหรือเจ้าตำหนังจางเองที่เป็นภูติผี!
  การบุกรุกของตระกูลภูติผีเมื่อร้อยปีก่อนเกือบจะทำให้มนุษย์ในโลกจิวโจวสูญพันธุ์ถ้าหากข่าวเรื่องภูติผีเข้ามารุกล้ำเขาวิญญาณจรัสไปถึงตำหนัก มันก็จะเกิดความวุ่นวายเป็นแน่ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การส่งข่าวนี้ก็จะได้คะแนนมากมายกลับมาแน่!
  แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวในการพิสูจน์เขาจึงมิอาจกลับไปแจ้งข่าวได้ว่าเรื่องนี้กำลังเกิดขึ้น
  “ดีเจ้าควรจะจับตาดูพลังนั้นเอาไว้ หากเข้าใกล้พวกเจ้า เจ้าต้องเตือนข้าให้ทันเวลา…”
  ซือหยูกล่าว
  จางตี๋เก้อพยักหน้าขณะที่ซือหยูสูดหายใจเข้าลึก
  “อีกไม่นานข้าจะต้องใช้เจ้าอีกและถ้าเจ้าช่วยข้าได้ดี ข้าจะให้รางวัลกับเจ้า”
  …
  หลังจากหนึ่งชั่วยามพวกเขาทั้งเจ็ดคนกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
  จื่อเสวียนหันหน้าไปด้านข้างและเอนกายเข้าใกล้หูซือหยู
  “เราจะเจอซือหยูที่นี่จริงๆน่ะรึ?ข้าไม่เห็นคิดแบบนั้นเลย”
  ซือหยูตอบอย่างกระอักกระอ่วน
  “เจ้าควรจะอดทนเอาไว้เจ้าอาจจะเจอสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้”
  “อืมข้าอยากจะหาให้เจอเร็วๆ ข้าไม่เหลือเวลามากแล้ว”
  จื่อเสวียนพูดอย่างจริงใจ
  ฟึ่บ!ฟึ่บ!
  ทั้งเจ็ดเข้าไปยังเขาสิบแปดลูกแต่ละคนเข้าไปควบคุมภูเขาคนละลูก เป้าหมายของพวกเขาคือการขุดค้นภูเขาสิบลูกจากนั้นค่อยเปลี่ยนมันให้กลายเป็นที่ราบ
  ซือหยูถือกระบี่ทองในมือและบินไปยังยอดเขาเขากระทืบมันด้วยเท้า
  แกร๊ง!แกร๊ง!
  เกิดเสียงดังเบาๆราวกับเขาเหยียบสิ่งที่แข็งเหมือนโลหะเขามองดูต้นไม้ที่เติบโตบนภูเขาและเห็นว่าพวกมันมีสีดำสนิทและแข็งแรงอย่างผิดปกติ
  สายลมรุนแรงพัดมาถึงยอดเขาเสื้อผ้าของซือหยูโบกสะบัด แต่สายลมมิได้ส่งผลกับต้นไม้เลย ราวกับว่าต้นไม้เป็นเพียงรูปปั้นเหล็กที่แน่นิ่งไม่ไหวติง
  เมื่อเขาสังเกตภูเขาดีๆก็พบร่องรอยของคนที่เคยขุดค้นมันมาก่อนแล้วก็เห็นได้ชัดว่าเขามิใช่คนแรกที่มาขุดค้นภูเขาลูกนี้
  ยิ่งไปกว่านั้นถ้าดูจากร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้ เขาพบว่ามีอย่างน้อยห้าคนที่เคยมาที่นี่แต่ก็ขุดค้นได้เพียงส่วนเล็กน้อย ส่วนที่พวกเขาขุดค้นนั้นไม่ถึงหนึ่งในสิบของภูเขาทั้งลูก
  ซือหยูลองใช้กระบี่ทองในมือฟันพื้น
  แกร๊ง!
  ประกายไฟปะทุออกมาเมื่อกระบี่สัมผัสพื้นกระบี่ที่เป็นสมบัติกึ่งวิญญาณทิ้งรอยลึกเพียงไม่ถึงครึ่งดัชนี
  ซือหยูงุนงงหากเป็นเช่นนี้ ถ้าเขาใช้เพียงกระบี่ เขาจะใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะขุดค้นภูเขาได้ทั้งลูก! คงจะเป็นแค่ฝันเท่านั้นที่เขาจะขุดเจอสมบัติจากสงครามเมื่อร้อยปีก่อน!
  ซือหยูใช้ความคิดและถามจางตี๋เก้อ
  “มีเหตุผลหรือไม่ที่พื้นดินเป็นเช่นนี้หลังจากสงครามเมื่อร้อยปีก่อน?”
  จางตี๋เก้อเริ่มสำรวจพื้นที่เท้าของนางด้วยความสงสัยจากนั้นนางก็อุทานออกมา
  “ภูเขาลูกนี้มีบางอย่างแปลกๆดูเหมือนมันจะดูดซับโลหิตของภูติผีอสูรเนรมิตรเข้าไป”
  “แก่นโลหิตนั้นไหลไปตามยอดเขาจนทำให้มันแข็งมากยากที่สมบัติใดๆนอกจากสมบัติวิญญาณจะสร้างความเสียหายได้”
  ภูติผีอสูรเนรมิตรงั้นเรอะ?ซือหยูมองดูเขาสิบแปดลูก เขาคิดไม่ออกเลยว่าภาพการนองเลือดครั้งนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เพราะมันต้องเกิดการหลั่งเลือดเป็นจำนวนมากถึงภูเขาทั้งสิบแปดลูกจะแข็งเป็นเหล็กเช่นนี้
  “ถ้าอย่างนั้น…การขุดภูเขาทั้งลูกนี่ก็ไม่ต่างไปจากการพลิกสวรรค์สินะ?”
  ซือหยูพยายามหาหาทาง
  จางตี๋เก้อตอบหลังจากลังเล
  “นายท่านถ้าเชื่อใจให้ข้าทำ ข้าจะดูดซับแก่นโลหิตของภูติผีได้ ภูเขาจะนิ่มขึ้น การขุดก็จะง่ายกว่าเดิมมาก”
  ซือหยูมองนางและพยักหน้า
  “เจ้าลองดูสิข้าเป็นคนรับเจ้ามา อยากจะทำสิ่งใดก็ลองดู”
  จางตี๋เก้อดีใจมากนางมองภูเขาทมิฬลูกที่ยืนอยู่อย่างตั้ใจ
  ฟึ่บ!
  ร่างกายของนางกลายเป็นพลังภูติและแทรกซึมเข้าไปในภูเขาจากนั้นพื้นสีดำใต้เท้าของซือหยูก็กลายเป็นสีฟ้าทันตาเห็น มันนิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!
  ซือหยูฟันมันด้วยกระบี่เขาสามารถตัดหินที่ขนาดเท่าฝ่ามือได้ เขาสบายใจขึ้น
  จากนั้นเขาจึงใช้กระบี่ทั้งสามเล่มพร้อมกันเขาขุดภูเขาอย่างรวดเร็ว เขาฟันเปลือกรอบนอกมันราวกับปอกโคลน หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามเขาก็ขุดส่วนเล็กๆไปได้แล้ว เขาทำไปได้เรื่อยๆ!
  จากนั้นจางตี๋เก้อที่อยู่ในโคลนนิ่มเบื้องล่างได้ส่งกระแสจิตตามมา
  “นายท่านข้าเจออะไรบางอย่าง”
  ซือหยูเร่งความเร็วขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา เขาก็ตัดศิลาก้อนใหญ่และพบกันกระดูกมือทมิฬที่ถือกลองเอาไว้! มีลายศีรษะสัตว์อสูรสองตัววาดเอาไว้บนแต่ละด้านของกลอง เพียงแค่มองดูก็รู้สึกขนลุก ซือหยูหยิบกลองขึ้นมาและพบว่าโลหิตของเขาเย็นลงและไม่สบายกาย
  “มันคือสมบัติภูติผีที่มีพลังวิญญาณระดับหนึ่งมันชื่อว่ากลองหนังมนุษย์ มันทำจากกะโหลกมนุษย์ขอบเขตภูติ”
  จางตี๋เก้อมองซือหยูก่อนจะพูดอย่างระมัดระวัง
  ซือหยูแววตาเยือกเย็นภูติผีเป็นตระกูลที่โหดร้ายนัก! เขาตัดสินใจว่าจะต้องสังหารมันให้หมด
  ซือหยูเก็บกลองเอาไว้และกล่าวอย่างใจเย็น
  “ไปต่อกันเถอะ”
DND.808 – จ้าวเทวะจู่โจม
  ซือหยูขุดค้นภูเขาทมิฬอย่างง่ายดายด้วยความช่วยเหลือของจางตี๋เก้อราวกับมีองค์เทพลงมาช่วยเหลือ
  ฉะนั้นแล้วเมื่อตกกลางคืนเขาก็ขุดไปได้หนึ่งในสามของภูเขา ด้วยความเร็วระดับนี้ ถ้าให้เวลาเขาอีกสองวันก็เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะขุดภูเขาทั้งลูก!
  ซือหยูถอนหายใจยาวใบหน้าซีดของเขามีเม็ดเหงื่อจำนวนมากผุดออกมา แผ่นหลังนั้นชุ่มเหงื่อไปหมด
  การใช้กระบี่ทั้งสามเล่มขุดค้นนั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้พลังมหาศาลพลังชีวิตจากจุดกำเนิดพลังทั้งภายนอกภายในของเขาเหือดแห้ง ไม่มีพลังเหลือแม้แต่เสี้ยวเดียว!
  สวบ!
  จางตี๋เก้อพุ่งทะลวงพื้นขึ้นมาร่างกายนางมีโคลนดำเลอะเปรอะทั้งตัว แต่บนใบหน้าแสดงถึงความยินดีอันบริสุทธิ์
  “ภูติระดับสองรึ?เจ้าก็ได้ประโยชน์เหมือนกันสินะ!”
  ซือหยูอุทานด้วยความตกใจเล็กน้อย
  จางตี๋เก้อพูดอย่างตื่นเต้น
  “นายท่านขอบคุณที่ให้รางวัลเช่นนี้กับข้า! แก่นโลหิตของภูติผีอสูรเนรมิตรเป็นประโยชน์กับข้ามากทีเดียว ข้าผ่านคอขวดที่ติดมาหลายปีได้สำเร็จ! ถ้าข้าดูดซับแก่นโลหิตทั้งหมดได้ ข้าก็อาจจะได้เป็นภูติระดับสาม!”
  แต่ละส่วนของร่างกายอสูรเนรมิตรนั้นเป็นวัตถุดิบเทพล้ำค่ากับเหล่าภูติทุกคนแค่โลหิตหยดเดียวก็ทำให้ภูติฟื้นพลังเต็มที่
  “ดี!ทีนี้บอกข้า…เจ้าเจออะไรที่ข้างล่างนั่น?”
  ซือหยูถาม
  หลังจากขุดภูเขาถึงหนึ่งส่วนสามซือหยูได้สิ่งของที่เป็นซากจากสงครามร้อยปีก่อนมาหลายชิ้น จากนั้นเขาก็พบสิ่งที่เก่าแก่ยิ่งกว่าเมื่อขุดลึกลงไป นั่นทำให้เขาตื่นเต้นอย่างมาก
  จนถึงตอนนี้ซือหยูพบสิ่งที่เป็นของภูติผีสีชิ้น ส่วนของมนุษญ์อีกสามชิ้น อันประกอบด้วยตำรา สมบัติวิเศษ แม้กระทั่งเครื่องราง เขายังพบบางอย่างที่เน่าเปื่อยและโยนมันทิ้งไป เขาเพียงแค่เก็บสิ่งที่มีคุณสมบัติวิญญาณเอาไว้
  “ข้าสัมผัสว่ามีพลังภูติผีมากขึ้นเรื่อยๆตามความลึกถ้าเราขุดจนสมบูรณ์ เราอาจจะได้ของจากตระกูลภูติผีสักสิบถึงยี่สิบชิ้น แต่ข้าบอกไม่ได้ว่ามันจะดีหรือไม่”
  จางตี๋เก้อเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น
  นางไม่มีสมบัติของภูติผีเลยสักชิ้นถ้าหากนางได้สิ่งที่เหมาะสมกับนางและซือหยูอนุญาตให้ใช้ พลังของนางก็จะก้าวกระโดดขึ้นมาหลายขั้น
  ซือหยูตาลุกวาวเพราะสิ่งที่นางบอกนั้นเกี่ยวข้องกับของเผ่าพันธุ์ภูติผีเท่านั้น ขณะที่ยังมีของเผ่ามนุษย์อยู่ข้างล่างอีก เขาคิดเอาว่าคงจะเจออีกยี่สิบชิ้นเช่นกัน
  ดังนั้นเขาจึงคิดว่าหากขุดภูเขาจนหมดเขาจะได้คะแนนเป็นจำนวนมาก เมื่อคิดเช่นนี้ก็มีความคาดหวังในดวงตา เขาหันออกจากจางตี๋เก้อและปรับเสื้อผ้าพร้อมกับบินกลับค่ายที่พัก
  แต่เขาไม่รู้เลยว่าเมื่อเขาเดินทางกลับก็มีชายหนุ่มตัวสูงสองคนที่มีพลังมหาศาลร่อนลงบนยอดเขา
  “นั่นคือเด็กที่พี่เฉาอยากจะจัดการรึ?เขาดูมีความสามารถเพราะขุดหนึ่งในสามภูเขาสิบแปดลูกที่แข็งอย่างนี้ได้ ข้าคิดไม่ถึงเลย!”
  ชายด้านซ้ายพูดอย่างเคร่งเครียด
  คนที่ด้านขวาก้มลงมองภูเขาใต้เท้าเขาแสยะยิ้ม
  “มันก็แค่คนที่ควรค่าแก่การสังหารทีแรกข้าคิดว่ามันเป็นแค่ภูติธรรมดา ข้าเลยไม่อยากจะเดินทางมาเป็นพันลี้เพื่อฆ่ามัน”
  เขาพูดต่อ
  “แต่ตอนนี้ดูจะมิใช่การเดินทางที่ไร้ความหมายอีกแล้วอย่างน้อยเราก็เอามันมาเค้นความลับเรื่องที่มันขุดภูเขาได้ มิใช่ความลับที่ภูเขาสิบแปดลูกมีสมบัติยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครขุดได้ง่ายๆแบบมัน”
  เมื่อสายลมเบาพัดผ่านชายทั้งสองหายลับไป
  …
  หลังจากที่ซือหยูกลั้บค่ายเขาพบว่าอสูรทั้งสี่ จื่อเสวียน และเสวี่ยฉีได้กลับมาก่อนแล้ว เมื่อเห็นจื่อเสวียนเขาก็บอกได้ว่านางไม่ได้อะไรติดมือกลับมา นางนั่งลงครุ่นคิด ดูก็รู้ว่านางมิได้ขุดภูเขาทมิฬ
  ส่วนเสวี่ยฉีแม้ตัวนางจะเต็มไปด้วยฝุ่น นางก็ตั้งมั่นมาก่อนแล้วว่านางมาสืบหาเหตุผลที่ผู้คนหายตัวไป ดังนั้นนางจึงไม่ได้ตั้งใจขุดค้นภูเขามากนัก มีเพียงอสูรทั้งสี่ที่ดูเหนื่อยล้า
  “พี่ชานเหลียงได้สมบัติอะไรกลับมาหรือไม่?”
  กงซุนหวูซื่อถาม
  ไป่ชานเหลียงกระแอมสองครั้งและยิ้มแต่ไม่ตอบไม่เหมาะที่เขาจะพูดตอนนี้
  ดวงตาของเทียนเหรินเหยากระตุกเขายกก้นเอนกายใกล้ไป่ชานเหลียงและพยายามจะมุดใบหน้าไปอกของไป่ชานเหลียง เขาถามด้วยเสียงเจ้าชู้
  “พี่ชานเหลียงทำไมไม่บอกพวกเราล่ะ?พี่คือพี่ชายที่ข้ารักที่สุดนะ”
  อ่อก!
  ไป่ชานเหลียงหน้าซีดเขากระอักเลือดออกมามหาศาล ดอกไม้โลหิตเบ่งบานในทั้งตัวของเขา เขารีบหนีห่างจากเทียนเหรินเหยาและตะโกน
  “อย่าคิดจะมาใกล้ข้านะ!ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ มันไม่มีอะไรยิ่งใหญ่นักหรอก ก็แค่แส้กระดูกที่พวกภูติผีเคยใช้”
  ไป่ชานเหลียงหยิบแส้กระดูกสีขาวพังๆออกมา
  “มันดูเหมือนสมบัติวิญญาณดูจากฝีมือการสร้าง แต่ก็น่าเสียดายที่มันเสียหาย เพราะอย่างนั้นมันเลยกลายเป็นแค่สมบัติกึ่งวิญญาณ”
  ไป่ชานเหลียงพูดต่อ
  “ตามระเบียบการแลกของตำหนักสิ่งของจากภูติผีทั้งหมดควรค่าแก่การศึกษา ราคาจึงได้สูง สมบัติกึ่งวิญญาณชิ้นนี้คงจะแลกได้ถึงสามพันคะแนน”
  ทันใดนั้นความริษยาก็ปรากฏบนใบหน้าอสูรอีกสามคนที่เหลือ
  ไป่ชานเหลียงส่ายหน้าเบาๆ
  “ข้าก็แค่โชคดีที่ได้มันมาในวันแรกไม่รู้ว่าอีกสองวันข้าจะได้อะไรกลับมาอีกหรือไม่ สุดท้ายข้าอาจจจะได้ไม่ถึงหนึ่งหมื่นคะแนน”
  ไป่ชานเหลียงถามทุกคนกลับ
  “ข้าแสดงสิ่งที่ข้าได้มาให้พวกเจ้าแล้วทำไมไม่เอาของพวกเจ้าให้ข้าดูบ้างเล่า? นี่มิใช่การแข่งขัน จะแสดงให้ทุกคนเห็นก็ไม่เป็นภัยหรอก”
  เทียนเหรินเหยาตาลุกวาวเขาเหลือบมองซือหยู
  “น้องหยูเซี่ยนเจ้าก็อยากรู้เหมือนกันเหรอ?”
  ซือหยูขยะแขยงเขาเขารีบส่ายหน้า
  กงซุนหวูซื่อหัวเราะเบาๆ
  “ข้าอยากรู้!”
  เทียนเหรินเหยาดูเศร้าเมื่อมองซือหยู
  “น้องหยูเซี่ยนเจ้าเกลียดข้ามากขนาดนั้นเชียวรึ? ความรักของข้าจริงใจและบริสุทธิ์นะ!”
  “ถ้าจะเอาออกมาก็เอาออกมา!แต่ถ้ากล้าพูดอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ!”
  ปิงหวูชิงขมวดคิ้วและตำหนิ
  เทียนเหรินเหยามองนางอย่างขมขื่นแต่เขาก็กลัวที่นางโกรธ เขาจึงยอมรับอย่างไม่เต็มใจ
  “ก็ได้ข้าจะให้ดู”
  กริ๊ง!
  เสียงโลหะกระทบใสดังเมื่อวัชระที่เหลือเพียงครึ่งท่อนร่วงลงกับพื้นแม้ว่ามันจะอยู่มาหลายปีและเริ่มผุกร่อน คุณสมบัติอรหันต์ก็ยังคงอยู่
  “สมบัติอรหันต์?”
  ทั้งสามอุทานขึ้นมาพร้อมกันพวกเขาตัวแข็งทื่อ
  ปิงหวูชิงพูดขึ้นมาคนแรก
  “วิถีอรหันต์หายากในดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดกับเขตกลางนั่นก็เพราะคนเหล่านั้นไม่แสดงตัวออกมา การแสดงตัวมิต่างกับความอับอายของพวกเขา”
  ปิงหวูชิงพูดต่อ
  “ซึ่งแท้จริงมีเพียงเมื่อสงครามร้อยปีที่แล้วที่ผู้บ่มเพาะวิถีอรหันต์ทั้งหมดออกจากการเก็บตัวและเข้ามาร่วมสู้กับภูติผี ตอนนั้น คนวิถีอรหันต์ตายไปเกือบหมด คนที่เหลือรอดก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย”
  “สมบัติอรหันต์ใช้ต่อสู้กับพวกภูติผีได้ดีเป็นเหตุที่ตำหนักสนใจมันนัก ถึงวัชระชิ้นนี้อาจจะไม่ดีเท่าสมบัติกึ่งวิญญาณ แต่ราคาของมันก็อาจจะเทียบเท่าแส้กระดูก”
  จากนั้นเทียนเหรินเหยาจึงคว้าวัชระขึ้นมาคลอเคลียกับใบหน้า
  “นี่เป็นสมบัติของข้า!ข้าขุดอย่างอย่างลำบาก! อย่าคิดจะชิงมันไปล่ะ!”
  เมื่อมีสองคนที่เปิดเผยสมบัติออกมาแล้วตอนนี้ก็เหลือปิงหวูชิง กงซุนหวูซื่อ และซือหยูที่ยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูล
  “ข้าไม่ได้อะไรเลย”
  ปิงหวูชิงส่ายหน้าอย่างหนักแน่น
  “ข้าขุดหนึ่งในห้าของภูเขามาได้แต่ข้าก็ไม่เจอสมบัติจากทั้งเผ่ามนุษย์หรือภูติผีเลย”
  น้ำเสียงของนางเย็นชานางไม่ค่อยพอใจนัก
  ซือหยูขุดภูเขามาหนึ่งในสามและเจอสมบัติเจ็ดชิ้นขณะที่ปิงหวูชิงขุดหนึ่งในห้าแต่กลับไม่เจออะไรเลย! นางโชคร้ายเอามากๆ!
  แต่ซือหยูก็รู้สึกทึ่งกับผลลัพธ์นี้เพราะด้วยความช่วยเหลือของจางตี๋เก้อ เขาถึงขุดได้มากมายเช่นนี้ ขณะที่ปิงหวูชิงนั้นขุดได้หนึ่งในห้าด้วยพลังของตัวเอง! บอกได้เลยว่านางนั้นค่อนข้างแข็งแกร่งและมีวิชาลับซ่อนอยู่
  ต่อมาคือกงซุนหวูซื่อทุกคนหันไปมองอสูรน้อยที่ทำหน้ามุ่ย มีน้ำตาเอ่อออกมาเล็กน้อย
  นางโผเข้าอ้อมกอดของปิงหวูชิง
  “พี่หวูชิงพวกเราแย่ที่สุดเลย ข้าขุดมาทั้งวันจนแขนชาไปหมด แต่ข้าก็ไม่เจออะไรเลย! ไม่อยากจะเชื่อ! ไอ้แก่เจ้าตำหนักนั่นต้องหลอกเราแน่เลย! ข้าจะวางยาพิษให้มันตาย!”
  ทุกคนยิ้มเมื่อเห็นกงซุนหวูซื่อร้องงอแงและกำหมัดด้วยความโมโหพวกเขาดีใจที่เห็นว่าแม้แต่อสูรสาวน้อยก็มีวันนี้ได้เหมือนกัน
  “คืนนี้ใครกล้าหัวเราะเยาะข้า ข้าก็จะวางยาพิษให้ตายไปด้วย!”  เมื่อเห็นสายตาคนรอบๆนางก็เชิดหน้าขู่ทุกคน
  นางกลอกตาเปลี่ยนน้ำตาเป็นรอยยิ้มและมองไป่ชานเหลียง
  “พี่ชานเหลียงพี่เป็นห่วงข้าที่สุดใช่ไหม ทำไมไม่แบ่งแส้กระดูกให้ข้าสักครึ่งเส้นล่ะ? ได้โปรด!”
  ไป่ชานเหลียงส่ายหน้า
  “พูดอะไรของเจ้าข้าต้องเอาทุนคืนนะ”
  นางแยกเขี้ยวใส่ไป่ชานเหลียง
  “พรุ่งนี้ข้าจะขโมยทุกอย่างในห้องปรุงพิษของพี่!”
  ไป่ชานเหลียงทำเป็นไม่ได้ยินเขาเข้าสู่การทำสมาธิ
  “น่าหงุดหงิดจริงๆ!”
  อสูรน้อยตะโกน
  นางมองเทียนเหรินเหยาอย่างโกรธเกรี้ยว
  “แล้วพี่ล่ะ?”
  เทียนเหรินเหยาตอบ
  “หัวใจข้าเป็นของน้องหยูเซี่ยนเท่านั้นข้าจะให้น้องหยูเซี่ยนคนเดียว!”
  “ทุกคนน่าโมโหจริงๆ!พรุ่งนี้ข้าจะจมภูเขาทั้งลูก! รอดูได้เลยว่าข้าจะได้สมบัติเท่าไหร่!”
  อสูรน้อยตะโกนด้วยความโมโห
  สิ่งที่คนจากเขาอสูรได้ในวันนี้นับว่าดีทีเดียวพวกเขาเจอสมบัติล้ำค่าสองชิ้นตั้งแต่วันแรก มันน่าประทับใจอยู่แล้ว
  “เอาล่ะไปรีบแลกของที่เราขุดได้กันเถอะ ก่อนที่จะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นน่ะ…”
  ไป่ชานเหลียงพูดและยืนขึ้น
  สิ่งของจากเผ่าภูติผีนั้นฝังอยู่ใต้ดินมาเป็นเวลานานและเมื่อมันถูกขุดขึ้นมา ความเร็วในการสึกหรอก็จะเพิ่มขึ้นมาก พวกเขาจะต้องรีบเอาไปเสนอแก่ตำหนักที่มีวิธีพิเศษในการเก็บมันให้ปลอดภัย
  เมื่อทุกคนกำลังจะยืนขึ้นเสวี่ยฉีที่ไม่พอใจเล็กน้อยก็ถาม
  “อืม…แล้วพวกเจ้าจะไม่ดูสมบัติที่อสูรเรือนกลางได้มารึ?เขาก็มาจากเขาอสูรเหมือนกัน…”
  อสูรทั้งสี่ตกใจพวกเขาไม่ได้เมินซือหยูอย่างจงใจ แต่เมื่อทุกคนไปที่เขาสิบแปดลูกมาแล้ว พวกเขาก็รู้ว่ามันขุดยากลำบากเพียงใด พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ภูติระดับสองจะได้อะไรกลับมา
  นี่เป็นเหตุให้พวกเขาไม่ถามซือหยูเพราะไม่อยากให้ซือหยูอับอายขายหน้าจะอย่างไรซือหยูก็อ่อนแอที่สุดในบรรดาพวกเขา แต่เมื่อเสวี่ยฉีพูดออกมา พวกเขาก็ต้องทำใจถามซือหยูแล้ว
  “ศิษย์น้องซือเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าขุดได้สมบัติสักชิ้นหรือไม่?”
  ไป่ชานเหลียงถามซือหยูอย่างเรียบง่าย
  อสูรคนอื่นๆรอคำตอบของซือหยูโดยไม่คาดหวังนัก
  ซือหยูเอามือถูจมูกและอมยิ้ม…เพราะเขามิเพียงแต่ได้แค่ชิ้นเดียว!
  “อืมข้าโชคดีอยู่บ้าง ข้าขุดเจอสองชิ้นที่ติดอยู่กับผิวดิน ข้าอยากจะปรึกษาทุกคนอยู่พอดี!”
  ขณะที่พูดเขาหยิบสมบัติสองชิ้นออกมาแสดงให้ทุกคนดู
  หนึ่งในนั้นคือกลองหนังมนุษย์ขณะที่อีกชิ้นคือกระบี่ที่เคยถูกมนุษย์ใช้ กระบี่นี้ยังคงเปล่งรังสีเฉียบคมออกมา