ตอนที่ 1243 การเปรียบเทียบระหว่างคนสองคน
เพียงแวบเดียวนางก็เห็นซูหลีที่ยืนอยู่ภายในห้อง แลรูปลักษณ์ของซูหลีดูเหมือนจะไม่เข้ากันห้องนี้สักเท่าไร
ท่อนบนของซูหลีสวมเสื้อกันหนาวสีแดงขลิบทอง ท่อนล่างเป็นกระโปรงจีบรอบ 18 จีบ บนกระโปรงปักเป็นรูปแมวอ้วนท้วมหลายตัวด้วยฝีมือที่ประณีต
ตัวแมวเป็นสีขาวดุจหิมะ ส่วนดวงตาฝังด้วยหินโมรา อีกทั้งไม่รู้ว่าวัสดุอะไรตัดกระโปรงตัว ยามเดินเหินเสมือนดั่งเมฆลอยพลิ้วไหว ดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก
คล้ายกับแสงแวววาวสะท้อนออกมาจนทำให้ผู้ที่จับจ้องรู้สึกแสบตา
บนศีรษะประดับไว้ด้วยกวาน[1]ที่ทำด้วยฝีมือประณีตขนาดเล็ก บนกวานนั้นทำเป็นรูปทรงดอกบัวผัน ตรงกลางดอกบัวฝังไว้ด้วยไข่มุกตะวันออกเม็ดใหญ่เท่ากับนิ้วหัวแม่มือ บนกวานมีพู่ระย้าลากยาวถึงช่วงเอวของซูหลี
นอกจากกวานทองนี้แล้ว นางยังให้ต่างหูทองรูปผีเสื้อ เมื่อนางขยับศีรษะเล็กน้อยก็คล้ายดั่งผีเสื้อสีทองกำลังกระพือปีกเต้นระบำอยู่มิปาน
ดูมีชีวิตชีวาประหนึ่งมีชีวิต
นอกจากนี้นางยังสวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่ไว้นอกสุด
เสื้อคลุมตัวใหญ่ไม่ใช่เสื้อคลุมตัวที่นางมักสวมใส่ แต่เป็นเสื้อคลุมอีกตัวหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยขนยาวฟูฟ่อง เมื่อสวมบนร่างของนางแล้วดูพลิ้วไหว
และเมื่อประกอบกับใบหน้าของนางแล้ว จึงทำให้จากนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นเก้ากลายเป็นนางปีศาจงามสะคราญล่มเมือง!
ตั้งแต่หัวจรดเท้าเพียงแค่เครื่องประดับชิ้นเดียว ก็มีมูลค่าเปรียบกับสิ่งของในห้องของนางทั้งหมดแล้ว
อู๋โยวหรานมองไปที่ซูหลีปราดหนึ่งก่อน จากนั้นก้มศีรษะลงและพบว่าตนเองนั้นสวมเศษผ้าเก่าๆ กับกระโปรงสีชมพูตุ่นๆ และเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนตัวเก่าๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบกับซูหลีแล้ว ดูซอมซ่อเป็นอย่างยิ่ง
สีหน้าของนางจึงแปรเปลี่ยนเป็นย่ำแย่จนถึงขีดสุด
ถึงขึ้นแฝงซ่อนไปด้วยความลำบากใจ จนทำให้ใบหน้าของนางดูหมองหม่น
ซูหลีเห็นการแสดงออกของนางแล้วจึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ถูกต้องแล้ว วันนี้ซูหลีเจตนาแต่งองค์ทรงเครื่องให้ดูหรูหราเช่นนี้
แม้ว่าในยามปกตินางจะชื่นชอบสีแดง ทว่านางก็ไม่ชอบอาภรณ์ที่ซับซ้อนและหรูหราเช่นนี้
เพียงแต่อู๋โยวหรานเชื้อเชิญนางมาที่นี่ ดังนั้นนางไม่มีทางยอมโอนอ่อนท่าทีของนางลงแน่
ทว่าเมื่อเห็นนางตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ซูหลีก็รู้สึกขบขันนัก
นางไม่เคยยากจน แม้ว่าหลังจากนางจะกลับมาเกิดในสมัยราชวงศ์ต้าโจว นางก็ใช้ชีวิตอย่างไร้ความกังวลมาโดยตลอด ทว่ายามที่นางอยู่ในศตวรรษที่ 21ภูมิหลังครอบครัวของนางไม่ดีนัก
ทว่าในเวลานั้นนางใช้ชีวิตด้วยมือสองข้างของตนเองและใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิใจ ไม่เคยรู้สึกอับอายหรือละอายใจเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่าอู๋โยวหรานจะมีภูมิหลังบางอย่างที่นางไม่รับรู้
อย่างน้อยอู๋โยวหรานที่นางพบเจอยามปกติก็ยังคงงดงามเป็นอย่างมาก
ทว่าวันนี้กลับดูซีดเซียว และมีอาการเจ็บป่วยแสดงออกบนใบหน้านั้น
ดูเหมือนว่าหลายวันที่ผ่านมานี้นางจะมีชีวิตที่ไม่สุขสบายนัก
“แม่นางอู๋” เมื่อนางไม่พูดอะไร ซูหลีจึงเป็นคนก็เริ่มเปิดปากพูด
“ท่านพี่ซู” อู๋โยวหรานคืนสติกลับมาในทันที จากนั้นยิ้มบางๆ ให้กับซูหลี ยกมือขึ้นกุมเสื้อคลุมของตน เพื่อปกปิดอาภรณ์ทั้งหมดที่นางสวมใส่
ซูหลีแสร้งทำเป็นไม่เห็นพฤติกรรมของนาง ซูหลีหันมองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วพูดอย่างยิ้มๆ ว่า
“แม่นางอู๋เชื้อเชิญข้ามาที่นี่ คิดจะให้ข้ายืนอยู่เช่นนี้หรือ”
อู๋โยวหรานอ้ำอึ้งไปทันที จากนั้นเดินไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบแล้วเอ่ยว่า
“ท่านพี่ แค่กๆๆ! ท่านพี่ซูเชิญนั่งเถิด!”
นางป่วยจริงๆ หลังจากนางเอ่ยไม่กี่ประโยค ก็ส่งเสียงไออย่างห้ามมิได้ ใบหน้าเล็กของนางนั้นซีดเซียวเป็นอย่างมาก
——
[1] กวาน เป็นชื่อเครื่องประดับ หมายถึง รัดเกล้าที่จะสวมครอบรัดมวยผม
ตอนที่ 1244 ปล่อยโยวหรานไปเถิด!
ซูหลีเห็นดังนั้นจึงปรายตามองที่นางปราดหนึ่ง และนั่งลงที่โต๊ะของแปดเซียนโดยไม่พูดอะไรออกมา
นางและอู๋โยวหราน ไม่มีสถานะที่จะห่วงใยซึ่งกันและกันได้
นางยังไม่สามารถทำเรื่องที่น่าขยะแขยงแบบนั้นได้ คนอย่างซูหลีนั้นมีอุปนิสัยชอบปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น!
“ท่านพี่ซูโปรดดื่มชา” ภายในห้องนี้นอกจากอู๋โยวหรานแล้วก็ไม่มีใครอยู่ที่นี่อีก นางจึงทำได้เพียงยืนขึ้นรินชาให้ซูหลีด้วยตัวเอง
ซูหลีหยิบจอกชาขึ้น ทว่าพบว่าน้ำชานั้นเย็นชืดแล้ว นางจึงวางไว้บนโต๊ะและไม่ได้ดื่มน้ำชาจอกนั้น
“… ชิงหรงถูกคนของฮ่องเต้นำตัวไปแล้ว ข้าจึงไม่มีใครอยู่คอยปรนนิบัติ มีเพียงแค่สาวใช้ที่คอยเก็บกวาดที่นี่ผู้นั้นเท่านั้นที่คอยเฝ้าดูข้า คงจะทำให้ใต้เท้าซูรู้สึกว่าน่าขันยิ่งนัก”
อู๋โยวหรานเห็นการเคลื่อนไหวของซูหลีในสายตา นางยกมุมปากและยิ้มบางๆ ให้กับซูหลี
ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าเบาๆ นางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้มากนัก
เพียงแต่นางเหลือบมองไปที่อู๋โยวหราน แล้วถามว่า “แม่นางอู๋มิสบายหรือ หากไม่สะดวกข้าจะมาหาวันอื่นดีกว่ากระมัง”
พูดจบซูหลีจึงเตรียมตัวลุกขึ้นยืน
ไม่ใช่ว่าซูหลีเล่นตัว เพียงแต่เมื่อนางมองไปที่ใบหน้าที่ซีดเซียวของอู๋โยวหราน เพียงแค่พูดก็ยังต้องหายใจอยู่หลายเฮือก
ใบหน้ายามเจ็บป่วยค่อนข้างคล้ายกับหลี่จื่อจินในอดีต…
เดิมซูหลีไม่ใช่คนใจอ่อน ทว่าหลังจากเห็นภาพเงาของตัวเองในอดีต ซูหลีจึงไม่อยากคุยกับนางในสภาพเช่นนี้
“ ท่านพี่ซูอย่าเพิ่งไป!” ใครจะรู้ว่านางยังไม่ทันลุกขึ้น อู๋โยวหรานก็ลุกขึ้นยืนอย่างรีบร้อน และขวางทางซูหลีเอาไว้
ซูหลีหยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่รู้ตัวและมองไปที่อู๋โยวหรานโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“ตุบ!” เพียงแต่ซูหลีไม่คาดคิดมาก่อนว่า อู๋โยวหรานจะคุกเข่าลงไปเช่นนี้
เข่าของกระทบพื้นจึงเกิดเสียงดังขึ้น ทำให้ซูหลีถึงกับชะงักค้าง จากนั้นสีหน้าของนางจึงเข้มขึ้นไปหลายส่วน นางมองไปที่อู๋โยวหราน และไม่เข้าใจว่านางทำท่าทางแบบนั้นเพื่ออะไรกัน
“ท่านพี่ซู! วันนี้ที่โยวหรานเรียกท่านพี่ซูมาก็เพราะว่าไม่มีทางเลือกแล้ว! และหวังจากท่านพี่ซูจะทำตามที่โยวหรานร้องขอด้วยเถิด!” นั่นยังไม่เพียงพอ หลังจากอู๋โยวหรานผู้นั้นคุกเข่าลง นางก็ตะโกนออกมาเช่นนี้
จากนั้นนางถึงหมอบลง และโขกศีรษะให้กับซูหลีจนเกิดเสียงดังตุบๆ
ซูหลีตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงโขกศีรษะของนาง
นางขมวดคิ้วเป็นปมและนั่งยองๆ เพื่อหยุดการกระทำของอู๋โยวหรานแล้วเอ่ยเสียงดังว่า “นี่เจ้ากระทำสิ่งใดกัน!?”
สีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก ทว่าเมื่ออู๋โยวหรานเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าใบหน้าของอู๋โยวหรานมีน้ำตาไหลพราก นางร่ำไห้จนแทบจะเป็นลมพับไป
มือไม้อ่อนยวบที่อยู่ในกำมือของซูหลี ดูเหมือนว่านางไม่มีเรี่ยวแรง เมื่อเห็นท่าทางของอู๋โยวหรานเช่นนี้ นางจึงแสดงสีหน้าเฉยชาขึ้นทันใด และปล่อยมือออกทันที
อู๋โยวหรานสะดุ้งเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองซูหลี ทว่าเมื่อเห็นว่าซูหลียืนกอดอก มองนางอย่างเย็นชาและเอ่ยว่า
“แม่นางอู๋มีอะไรก็พูดออกมาตามตรง เจ้ากับเจ้าไม่ถือว่าเป็นสหายกัน ดังนั้นเจ้าทำท่าทางเช่นนั้นออกมา ข้าอาจจะช่วยเจ้าไม่ได้ หากไม่พูดอะไร ที่เจ้าโขกศีรษะเสียงดังนั้นก็คงจะเปล่าประโยชน์แล้วกระมัง”
หากมีใครเข้ามาในเวลานี้ เกรงว่าคงจะคิดว่าซูหลีจะกลั่นแกล้งนาง
ทว่าอู๋โยวหรานเข้าใจดีว่า ซูหลีพูดความจริงออกมา
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที น้ำตาเหล่านั้นก็หยุดไหลลงในทันที
“ท่านพี่ซู!” นางกัดฟันพูดสิ่งที่เตรียมการไว้ออกมา “ท่านพี่ซูโปรดปล่อยโยวหรานไปเถิด อนุญาตให้โยวหรานอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ได้หรือไม่!?”