บัญชามังกรเดือด บทที่ 737 การประชุมสาบานตน
“ที่ไหนหรือ?” ฉินเทียนเอ่ยถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
เฟ่ยเทียนอิงกัดฟันและตอบว่า “เมืองฉิน!”
เมืองฉิน!
ชื่อที่คุ้นเคยขนาดนั้น ทำเอาฉินเทียนสั่นไปทั้งตัว
“แกหมายความว่า___” เขายังคงรู้สึกยากที่จะยอมรับอยู่บ้างเหมือนกัน
เฟ่ยเทียนอิงกัดฟันและพูดว่า “ถูกต้อง!”
“เมืองฉิน เป็นดินแดนของตระกูลฉินของพวกแก นั้นก็หมายความว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เป็นไปได้ว่าก็คือคนตระกูลฉินของพวกแกนั่นเอง!”
“นอกจากนี้ ทั้งซีเป่ยก็มีเพียงตระกูลฉินของพวกแกเท่านั้น ที่มีศักยภาพมากพอที่จะทำเรื่องใหญ่แบบนี้ได้!”
“ตอนนี้ฉันมีเหตุผลมากพอที่จะสงสัยว่า พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของจินหู่ด้วย!”
“พวกเขารู้ว่าจินหู่กำลังทำการตรวจสอบอยู่ แถมยังรู้อีกด้วยว่าเขามีหลักฐานบางส่วน ดังนั้นพวกเขาจึงล่อให้จินหู่ออกนอกประเทศไป และใช้กองกำลังภายนอกลงมือสังหารเขาอย่างไร้ปรานี!”
“แส้มังกรฉิน ฉันเชื่อในคำสัญญาของแก ตอนนี้ฉันขอให้แกช่วยจับตัวมือมืดที่อยู่เบื้องหลังมาลงโทษ เพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับจินหู่ด้วย!”
“เพื่อดินแดนซีเป่ย เพื่อยุทธภพในอาณาจักรมังกร กวาดล้างอำนาจมืดให้สิ้นซาก!”
เมื่อพูดถึงตอนท้าย แววตาของเฟ่ยเทียนอิงก็เบิกโตขึ้นเพื่อสร้างความฮึกเหิม เสียงดังกึกก้องไปทั่ว ความตรงไปตรงมาของเขา ทำให้ผู้คนต่างพากันเกรงขาม!
ไม่มีใครคิดว่า ผู้ชั่วร้ายนี้ จะมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลฉิน ท่ามกลางความตกตะลึงนั้น ทุกคนต่างมองฉินเทียนด้วยความเป็นห่วงและเป็นกังวล
ถึงอย่างไร นี่ก็คือตระกูลที่ให้กำเนิดเขาออกมา ทุกคนต่างอยากรู้ว่า เขาจะทำยังไงต่อไป
แววตาของฉินเทียน ปรากฏความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พูดตามตรง แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะไม่ได้รู้ดีอะไรกับตระกูลฉินเลยแม้แต่น้อย และเขาก็ประกาศชัดเจนมาหลายครั้งแล้วว่า เขาได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับคนตระกูลฉินไปนานแล้ว
แต่ก็คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่า ตระกูลฉินจะสามารถทำเรื่องเลวทรามชั่วร้ายได้มากถึงเพียงนี้
หากบทสรุปสุดท้ายของเรื่องนี้เป็นจริงแล้วล่ะก็ เขาต้องกวาดล้างทั้งตระกูลฉินจริงๆหรือ?
จู่ๆ ในใจของเขาก็เกิดความสับสนขึ้นมา
เฟ่ยเทียนอิงราวกับดูออกว่าฉินเทียนเองก็หนักใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เขาฝืนยิ้มและพูดว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องส่วนรวม มังกรซ่อนรูปตะวันตก จะไม่นิ่งเฉยดูดายกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
“คุณฉิน คุณเป็นแส้มังกร หน้าที่หลักที่สำคัญคือควบคุมและตรวจสอบภายใน ส่วนเรื่องภายนอก แกไม่ได้มีหน้าที่ต้องจัดการกับเรื่องของคดี ดังนั้น แกไม่จำเป็นต้องลำบากใจ”
“แกเลือกที่จะถอนตัวได้ แต่ฉันเฟ่ยเทียนอิงจะจัดการกับพวกมันจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง!”
แววตาของฉินเทียนแสดงถึงความโหดเหี้ยม เขากัดฟันและพูดว่า “ไม่จำเป็น!”
“เรื่องนี้ มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเกี่ยวข้องกับวิหารเทพสังหาร หากตระกูลฉินคือมือมืดที่อยู่เบื้องหลังของหมาป่าหอนจริงๆ และเป็นเถ้าแก่ของวิหารเทพสังหารแล้วล่ะก็ ฉันฉินเทียน จะไม่มีวันออมมืออย่างเด็ดขาด!”
“ดี!”
“แบบนี้สิถึงจะเป็นยอดชายที่รู้จักแยกแยะบุญคุณและความแค้น คู่ควรแล้วกับความเลื่อมใสของฉันเฟ่ยเทียนอิง!”
“แส้มังกรฉิน ฉันเฟ่ยเทียนอิงขอเป็นตัวแทนของพี่น้องมังกรซ่อนรูปตะวันตก กล่าวขอบคุณสำหรับความยุติธรรมของแกล่วงหน้าไว้ ณ ที่นี้ด้วย!”
เฟ่ยเทียนอิงหัวเราะเสียงดัง ยืนขึ้นและโค้งคำนับให้กับฉินเทียน
ฉินเทียนยิ้ม เฟ่ยเทียนอิงผู้นี้ช่างเป็นคนกล้าได้กล้าเสียจริงๆ เขากล้าที่จะรักและกล้าที่เกลียด ชายผู้รักในคุณธรรม
น่าเสียดาย เพราะความกล้าหาญของเขาที่มีมากจนเหลือล้น แต่ยังขาดซึ่งไหวพริบ เลยเป็นการยากที่จะได้รับภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงได้ ไม่เช่นนั้น ตำแหน่งอันน่าเคารพในมังกรซ่อนรูปตะวันตกที่ว่างเว้นอยู่นั่น ด้วยความแข็งแกร่ง ด้วยบารมีและความอาวุโสของเขาแล้ว เขาน่าจะเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุด
ฉินชวนลุกขึ้นยืนและพูดเสียงดังว่า “ตอนนี้ทางตะวันตกสงบสุขแล้ว แต่กลุ่มคนที่นำโดยตัวแทนซีจุนไป๋เลี่ยน ยังคงถูกจับกุมอยู่ในคุกใต้ดิน”
“ควรจัดการกับคนพวกนี้ยังไงดี ขอแส้มังกรได้โปรดชี้แจ้ง!”
ฉินเทียนพยักหน้า ตอนนี้สถานการณ์ทั่วไปสงบลงแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องจัดการกับคนพวกนี้แล้วล่ะ เขายิ้มและย้อนถามกลับว่า “ถ้าแกเป็นแส้มังกร แกว่าแกจะจัดการกับพวกเขายังไงดี?”
ฉินชวนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก วิธีที่เหมาะสมที่สุดก็คือรายงานต่อสำนักงานใหญ่ ให้ทางสำนักงานใหญ่แต่งตั้งทีมตรวจสอบ เพื่อจัดการกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ”
ฉินเทียนส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่คำพูดที่มาจากใจจริง”
“ที่นี่ไม่มีคนนอก ใจแกคิดยังไงก็พูดออกมาตามตรงเถอะ”
ฉินชวนยังลังเลอยู่ เขารู้สึกว่าคำพูดที่อยู่ในใจ หากพูดออกมามันจะดูไม่เหมาะสม
เฟ่ยเทียนอิงตบลงที่หลังศีรษะเขาและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มัวแต่ยืดๆ ยาดๆ อยู่นั่นมันจะเป็นชายชาตรีได้ยังไง!”
“ในเมื่อแส้มังกรเอ่ยปากแล้ว แกยังไม่ยอมพูดความจริงออกมาอีก!”
ฉินชวนสีหน้าเคร่งเครียด และรีบตอบกลับไปว่า “จากมุมมองของฉัน แม้ว่าวันนี้ทางตะวันตกจะสงบสุขแล้ว แต่จิตใจของคนยังไม่สงบตามไปด้วย ยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาอีกมากมายของไป๋เลี่ยน แม้ว่าต่อหน้าจะทำเหมือนกำหนดขอบเขตชัดเจนแล้ว แต่ก็ยังคงต้องรอดูกันต่อ”
“หากไป๋เลี่ยนกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง พวกเขาต้องหวั่นไหวแน่ๆ”
“แส้มังกรถือเกล็ดมังกรอันศักดิ์สิทธิ์ มีสิทธิ์ที่จะตัดสินประหารชีวิตคนเหล่านี้ได้อย่างอิสระ”
“ไม่งั้นก็จัดงานประชุมสาบานตนในอีกสามวันข้างหน้านี้เลย แล้วเปิดโปงอาชญากรไป๋เหลียนต่อหน้าผู้คน จากนั้น….ก็ฆ่าหนึ่งเพื่อเตือนร้อย และเพื่อกำจัดความชั่วร้ายที่อยู่ในใจของมังกรซ่อนรูปตะวันตกให้สิ้นซากไปเสียที!”
เมื่อพูดถึง “ฆ่าหนึ่งเพื่อเตือนร้อย” แววตาของหัวหน้าเล็กที่อายุน้อยแต่มากประสบการณ์ก็ปรากฏความโหดเหี้ยมขึ้นมา
รัศมีบนตัวของเขาก็เปลี่ยนไป มีอารมณ์ของความกล้าหาญเด็ดขาดขึ้นมา
คิดไม่ถึงว่าฉินชวนจะมีความคิดที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ แม้แต่เฟ่ยเทียนอิงเหลิ่งหยุน รวมถึงหูรั่วหลันยังต่างพากันตกใจ
ดูเหมือนว่าพวกเขาพึ่งได้รู้จักฉินชวนเป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น
ฉินชวนคิดว่าตัวเองไร้สาระเกินไปแล้ว เลยพูดด้วยความหวาดกลัวว่า “นี่เป็นเพียงความคิดส่วนตัวของฉัน ไม่ได้มีความหมายอะไรจริงๆนะ”
“การจัดการกับไป๋เลี่ยน เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยังไงก็ต้องให้แส้มังกรพิจารณาอย่างรอบคอบ!”
ฉินเทียนหัวเราะเสียงดัง “ฉินชวน สิ่งที่แกพูด ช่างถูกใจฉันจริงๆ”
“งานประชุมสาบานตน ต้องจัดขึ้นอย่างแน่นอน แต่มันไม่ใช่สามวันหลังจากนี้หรอกนะ มันจะถูกจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ต่างหากหล่ะ!”
“พรุ่งนี้เช้า ฉันต้องการให้สมาชิกทุกคนของมังกรซ่อนรูปตะวันตก เข้าประจำการทั้งหมด เพื่อพิพากษาคดีของไป๋เลี่ยนต่อหน้าสาธารณชน”
“แกเข้าใจไหมว่าทำไม?”
ฉินชวนชะงักไปชั่วขณะ เหมือนคิดอะไรบางอย่างได้ และตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ฉันเข้าใจแล้ว!”
“จากการพิจารณาอย่างรอบคอบของแส้มังกร ฉันจะรีบไปจัดการทันที!”
เฟ่ยเทียนอิงยังคงงุนงงและถามด้วยความสงสัยว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เตรียมการให้ถี่ถ้วนสักหน่อยก่อนดีไหม?”
“จัดงานพรุ่งนี้เลย มันไม่กะทันหันไปหน่อยหรือ?”
ฉินชวนค่อยๆ อธิบายเบาๆ ว่า “ไป๋เลี่ยนไม่ได้เป็นแค่เพียงตัวแทนตะวันตก แต่เขายังเป็นลูกศิษย์ของท่านอาวุโสใหญ่อีกด้วย พวกเราจะฆ่าเขา แกว่าท่านอาวุโสใหญ่จะนิ่งนอนใจอยู่เฉยๆ ได้ไหมหล่ะ”
“ท่านอาวุโสใหญ่ดูแลควบคุมสมาคมผู้อาวุโส เขาต้องเล่นแง่อย่างแน่นอน ถ้าพวกเรามัวแต่ชักช้า นั่นก็เป็นการให้เวลาพวกเขาไปอีกสิ”
“ดังนั้น เวลายิ่งนานอุปสรรคยิ่งมาก ถ้าจะฆ่าไป๋เลี่ยน ต้องชิงลงมืออย่างรวดเร็ว!”
เฟ่ยเทียนอิงเกาหัวด้วยความลำบากใจ “ฉันอายุมากแล้ว สมองคงไม่สั่งการแล้วแหละ”
“แต่ฉันเชื่อพวกแกนะ”
“เมื่อถึงเวลาที่ท่านอาวุโสใหญ่มาช่วยชีวิตไป๋เลี่ยน เขาคงจะได้เห็นแต่หัวของไป๋เลี่ยนแล้วหล่ะ แค่คิดก็สนุกแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฉินชวนพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ฉันจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้เลย!”
ในเวลานี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างนอกเข้ามารายงานด้วยความตื่นตกใจว่า ผู้หญิงที่ชื่อหานหลิง มีเรื่องด่วนมาขอพบคุณฉิน
หานหลิง?
ฉินเทียนตกใจ และพูดอย่างขบขันว่า “คนกันเอง ให้เขาเข้ามาเถอะ”
“ฉินเทียน แย่แล้ว!”
หานหลิงรีบวิ่งเข้ามา แต่เมื่อเห็นผู้คนมากมายอยู่ในนั้น เขาเลยพูดอย่างอึกๆ อักๆ
ฉินเทียนยิ้มและพูดว่า “หานหลิง มีเรื่องอะไร ค่อยๆ พูด วางใจเถอะ พวกนี้เป็นคนกันเองทั้งนั้น”
หานหลิงลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็หน้าแดงและพูดว่า “เถียโถว…หายตัวไป”
“ฉันกังวลว่า เขาจะออกไปตามฆ่าหยางต้าวหรือเปล่า เป็นความผิดฉันเอง ไม่น่าพูดมากเลย พอฉันหันหลังเขาก็วิ่งหนีไปแล้ว….”
“เขาออกไปตามฆ่าหยางต้าวเพียงลำพัง มันจะมีอันตรายอะไรไหม?”
“เขาไปตั้งแต่เมื่อไร? ฉันจะไปช่วยเขา!” หูรั่วหลันรีบลุกขึ้นยืนทันที
จนถึงตอนนี้ เธอก็ยังไม่สงสัยในตัวตนของหูเฟย เพราะหูเฟยไม่เพียงแต่ใส่หน้ากากเท่านั้น เนื่องจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งนั้น อุปนิสัยของเขาก็เปลี่ยนไป แม้กระทั่งเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
ตอนแรกฉินเทียนเองยังต้องอาศัยสัญชาตญาณและกลิ่นอาย ถึงคาดเดาและสรุปตัวตนของเขาออกมาได้
หูรั่วหลันรู้แล้วว่า ฉินเทียนคือผู้นำของวิหารเทพ และเถียโถวน่าจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเอง
ไม่ว่ายังไงก็ตาม ล้วนแต่เป็นคนนอก ส่วนเรื่องการแก้แค้น เดิมทีมันก็เป็นแค่เรื่องของครอบครัวพวกเขาก็เท่านั้น