Chapter 140: ก้าวสู่เมืองหลวงของรัฐจีน
ท้องฟ้ากําลังสดใสขึ้นเรื่อยๆ
เฉินเฉินออกมาจากสาขาที่หนึ่งแห่งสํานักอสูรพร้อมกับหน้ากาก
มียอดฝีมือก่อกําเนิดวิญญาณที่เป็นหัวหน้าสาขาเจ็ดคน เช่นเดียวกับโจวฉางและโจวเฟิงที่อยู่ข้างหลังเขา
พวกเขามีนายน้อยสาขาอีก 34 คนตามหลังพวกเขายกเว้นแค่เด็กจากสาขายา
และท้ายที่สุดก็คือเซียนแก่นทองคําหลายร้อยคนของ 36 สํานัก
ยอดฝีมือกว่าร้อยคนได้ออกมาจากสํานักอสูรอย่างภาคภูมิใจ
มันผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว!
กี่ปีมาแล้วกันที่สํานักอสูรได้เรียกรวมกําลังพลที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้!?!
ในตอนนี้ สํานักอู๋ซินได้ถูกทําลายและพวกเขาทุกคนต่างก็กําลังหดหู่ แม้ว่าเซียนระดับก่อกําเนิดวิญญาณจะตายไปแค่บางส่วน แต่เซียนแก่นทองคํากว่าครึ่งที่เป็นเหมือนกระดูกสันหลังของสํานักได้ตายไปแล้ว
ในสภาพเช่นนี้ สํานักอู๋ซินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือสํานักอสูรอย่างแน่นอน
ดังนั้น เขาต้องทําได้สําเร็จแน่
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยอดฝีมือนับร้อยจะมีความมั่นใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ในตอนที่พวกเขาออกมาพ้นระยะของสาขาที่หนึ่งสํานักอสูรอย่างสมบูรณ์แล้ว พวกเขาก็บินขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองหลวงของรัฐจิน
สํานักอู่ซินถูกทําลายแล้ว และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการล่มสลายอย่างสมบูรณ์ กองกําลังที่เหลือจึงมารวมตัวกันที่เมืองหลวง
จุดประสงค์ของการต่อสู้นี้ก็คือไปที่เมืองหลวงของรัฐจินและทําลายสํานักอู๋ซินให้สิ้นซาก
ในขณะที่สัมผัสถึงออร่าอันทรงพลังข้างหลังเขา เฉินเฉินก็รู้สึกว่าเขาได้มาอยู่ที่จุดสูงสุดของชีวิตแล้ว
ยอดฝีมือก่อกําเนิดวิญญาณเก้าคนและเซียนแก่นทองคําหนึ่งร้อยคนพร้อมทําตามคําสั่งของเขาทั้งหมด ไม่มีใครกล้าขัดเขาเลย
“ระบบ ใครคือคนที่หล่อที่สุดในรัศมี 50 เมตร!”
“ท่านเจ้าของค่ะ”
“ฮ่าฮ่า!”
….
เมื่อเห็นว่าเขากําลังจะเข้าชายแดนของรัฐจินแล้ว เฉินเฉินก็เริ่มครุ่นคิดในใจ
การไว้ชีวิตคนบางส่วนของสํานักอู๋ซินบ้างมันจะดีกว่า
สํานักเทียนหยุนต้องใช้เวลาในการพัฒนา และมันก็จําเป็นต้องให้สํานักอู๋ซินเป็นโล่
โชคดีที่ก่อนหน้านี้โจวเหรินหลงได้สั่งให้เฉินเฉินปล่อยสํานักอู๋ซินไป ตราบใดที่บรรพบุรุษของสํานักอู๋ซินยอมเล่าความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
แน่นอนว่าคนอย่างโจวเหรินหลงนั้นไม่ได้คิดจะโกหกบรรพบุรุษสํานักอู๋ซินหรอก ดังนั้นเขาคงไม่สั่งให้เฉินเฉินกลับคําพูด
“หวังว่ามันจะเกี่ยวข้องกับสํานักอู๋ซินจริงๆนะ”
เฉินเฉินภาวนาในใจ ตราบใดที่มันเกี่ยวข้องกับสํานักอู๋ซิน เขาก็น่าจะสามารถโน้มน้าวบรรพบุรุษสํานักอู๋ซินให้ยอมบอกความจริงด้วยทักษะการพูดของเขาได้
เขาแค่กลัวว่ามันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับสํานักอู๋ซิน และถ้าเป็นแบบนั้น ก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก
….
ครึ่งวันหลังจากนั้น กลุ่มยอดฝีมือสํานักอสูรก็ได้เห็นภาพเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ของรัฐจิน
ในระหว่างทาง กลุ่มคนได้บินเข้ามาในรัฐจินโดยไม่มีการยับยั้งใดๆเหมือนกับฝูงเมฆ ซึ่งมันได้สร้างความตื่นเต้นให้พวกเขา
ในขณะที่มองภาพเมืองหลวงของประเทศอันคุ้นเคย เฉินเฉินก็รู้สึกสะเทือนใจ ครั้งก่อนที่เขามาที่นี่ เขาต้องคอยระมัดระวังและรอบคอบอยู่เสมอ แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาด้วยการเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
“นายน้อยสํานัก ดูเหมือนว่าสํานักอู๋ซินจะละทิ้งค่ายกลป้องกันในเมืองหลวงและตอนนี้พวกเขาเน้นไปที่การคุ้มกันพระราชวังอย่างเต็มที่ด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขา ครับ”
โจวเฟิงพูดพร้อมกับขมวดคิ้วในขณะที่จ้องไปยังกําแพงเมืองหลวง
เฉินเฉินพยักหน้า ค่ายกลป้องกันเมืองหลวงนั้นไม่ได้อ่อนแอก็จริงแต่ว่าเมืองหลวงมีขนาดใหญ่มากและการให้มันทํางานตลอดเวลาก็จะส่งผลให้ต้องใช้หินวิญญาณปริมาณมหาศาล
ด้วยเหตุนี้เองการใช้หินวิญญาณทั้งหมดไปป้องกันแค่ที่วังจะเป็นการดีกว่า
อย่างไรก็ตาม นั่นก็หมายความว่านอกจากวังหลวงแล้ว เซียนและชาวบ้านที่อยู่ส่วนอื่นๆในเมืองหลวงจะถูกทอดทิ้งไปด้วย
“บรรพบุรุษสํานักอู๋ซินเป็นคนที่โหดร้ายจังเลยนะ เขาทิ้งคนนับล้านไปซะแล้ว”
เมืองหลวงของรัฐจินนั้นแตกต่างจากเมืองสําคัญอื่นๆ เนื่องจากมีพลังปราณที่เฟื่องฟู จึงมีสัดส่วนของเซียนอยู่ที่นี้มาก แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะเป็นเซียนระดับต่ําก็ตาม
“นายน้อยสํานัก พวกเราจะเอายังไงดีครับ? พวกเราควรฆ่าไปบางส่วนเพื่อยับยั้งพวกเขาดีไหมครับ?”
หัวหน้าสาขาพิษหัวเราะอย่างน่าขนลุกพร้อมกับจิตสังหารในขณะที่เขามองฝูงชนที่กําลังตื่นตระหนกในเมืองหลวง
เฉินเฉินกลอกตาใส่เขาและจากนั้นก็บินไปอยู่เหนือ เมืองหลวงและพูดออกมาดังลั่น “จงฟังให้ดี ผู้คนที่อยู่ในเมืองหลวงทั้งหลาย สํานักอสูรมาที่นี่ด้วยเป้าหมายเดียวซึ่งก็คือสํานักอู๋ซิน ตราบใดที่พวกเจ้ายอมทําตัวดีๆ ข้า จางเฉิน ขอสัญญาด้วยชื่อของนายน้อยแห่งสํานักอสูรว่าจะไม่ฉกชิงอะไรไปจากพวกเจ้า!”
ความวุ่นวายในเมืองหลวงหยุดลงในทันทีที่เฉินเฉินพูดและผู้คนมากมายก็ตั้งใจมองมาที่เขา
เฉินเฉินเห็นคนที่มีหน้าตาคุ้นเคยจากสถานที่ที่คุ้นตาด้วย
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ พวกเขาทุกคนดูตื่นตระหนกเหมือนกัน
“ใครก็ตามที่เคลื่อนไหวอีกจะถูกฆ่า!”
ในตอนนี้เอง โจวเฟิงกับโจวฉางก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเฉินเฉิน เสียงของยอดฝีมือก่อกําเนิดวิญญาณนั้นกระจายไปไกลยิ่งขึ้นอีก ในครั้งนี้เอง เมืองหลวงก็เงียบลงอย่าง สมบูรณ์และไม่มีใครกล้าขยับตัวเลย
“ไปทําลายค่ายกลที่วังกังเถอะ”
เฉินเฉินชี้ไปทางวังซึ่งถูกปกคลุมด้วยค่ายกลอย่างสมบูรณ์ในขณะที่เขาออกคําสั่งอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินคําสั่ง ยอดฝีมือของสํานักอสูรก็บินไปทางวังหลวงโดยไม่พูดอะไร
พวกเขาไม่ได้ขัดคําสั่งของเฉินเฉินเลย พวกเขาเข้าใจได้ว่าเขาไม่อยากฆ่าหรือทําร้ายคนบริสุทธิ์
แม้ว่าคนของรัฐโจวจะไม่รู้ แต่พวกเขาสมาชิกระดับสูง ของสํานักอสูรนั้นรู้ดีว่าเฉินเฉินมาจากรัฐจิน
“ผู้คนที่นี่จะเป็นประชาชนของข้าในอนาคต ถ้าพวกเราทําการสังหารหมู่ที่นี่ ข้าเกรงว่าการปกครองรัฐจินในอนาคตคงไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเจ้าคงเข้าใจดีใช่ไหมว่าข้ามาจากที่ไหน?”
เฉินเฉินพูดอย่างใจเย็นในขณะที่เขามองลงไปด้านล่าง
“ครับ!”
โจวฉางกับโจวเฟิงตอบพร้อมกัน
เฉินเฉินพยักหน้าเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินเช่นนี้
“เข้าใจได้ก็ดี พวกเจ้าเองก็ไปช่วยทําลายค่ายกลเถอะ ถ้าบรรพบุรุษสํานักอู๋ซินปรากฏตัวเมื่อไหร่อย่าลืมมาแจ้งข้าล่ะ”
“ครับ! แต่ว่า ความปลอดภัยของนายน้อยสํานัก…”
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น และข้าก็คุ้นเคยกับเมืองหลวงนี้ดี นอกจากนี้ พวกเขาจะคอยอยู่กับข้า” เฉินเฉินพูดและมองไปยังนายน้อยสาขาทั้งสามสิบสี่ คนด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวฉางและโจวเฟิงก็มองหน้ากันและจากนั้นก็รีบบินไปทางวังหลวง
ในทันทีที่ยอดฝีมืออกไปกันหมดแล้ว เฉินเฉินก็เริ่มทําตามใจตัวเองในทันที
เขาต้องคอยระมัดระวังตลอดทางที่มายังเมืองหลวง ถ้าเขาไม่ทําตัวตามใจบ้าง มันก็คงจะสูญเปล่า
ด้วยความคิดนี้เอง เขาจึงบินไปทางบ้านดอกไม้พระจันทร์ที่อยู่ไม่ไกล
เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน บ้านดอกไม้พระจันทร์ที่สร้างขึ้นใหม่นั้นดูยิ่งใหญ่ขึ้นมากและมันก็มีความหรูหราและงดงามสมกับเป็นหอโสเภณีระดับต้นๆด้วย
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเฉินเฉินหม่นหมองในทันที่ที่เขาเข้ามา
ซึ่งมันเป็นเพราะมีแผ่นโลหะใหม่ที่ทางเข้าซึ่งอ่านได้ว่า ‘สถานที่ที่เฉินเฉินผู้สืบทอดสํานักเทียนหยุนฆ่าฉีปู่ผ่าน’
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคู่ฉินเจิ้งจะยังใช้เขาเพื่อโฆษณาหลังจากที่เขาจากไปแล้ว!
…
เมื่อเห็นเฉินเฉินและคนติดตาม พวกผู้หญิงในหอโสเภณีก็พากันสั่นกลัวจนทําอะไรไม่ถูก
เธอใช้กฎหมายของประเทศคุยกับคนของสํานักอสูรไม่ได้ ต่อให้พวกเขาฆ่าผู้หญิงทั้งหมด ก็คงจะทําอะไรไม่ได้เลย
ในขณะที่กู่ฉินเจิ้งถูกครอบงําด้วยความกลัวนั้นเอง นายน้อยสํานัก เฉินเฉินก็ชี้นิ้วไปทางเธออย่างกะทันหัน
“เจ้า! มาตรงนี้!”
หลังจากที่เขาพูดแบบนั้น กู่ฉินเจิ้งก็ตัวสั่นและเผยรอยยิ้มอย่างมืออาชีพก่อนที่จะเดินออกมาจากฝูงชน เธอพูดอย่างอ่อนโยน “นายท่าน…มีอะไรให้ข้ารับใช้เหรอคะ?”
เมื่อเห็นว่าเธอกลัวขนาดไหน เฉินเฉินก็รู้สึกอิ่มเอมใจ
‘เหอะ! ถึงคราวที่ผู้หญิงคนนี้ต้องเจอความทุกข์ทรมานแล้ว’
“มานี้ แล้วพูดอะไรที่ดูระรื่นหูให้ฟังหน่อย”
เฉินเฉินพูดอย่างเฉยเมย
ใบหน้าของกู่ฉินเจิ้งแข็งทื่อหลังจากที่ได้ฟังคําพูดของเขา ในท้ายที่สุดนั้น เธอก็ระดมสมองคิดคําชื่นชมสรรเสริญเฉินเฉินอย่างไม่รู้จบก่อนที่เขาจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“เจ้าอยากได้หินวิญญาณรึเปล่า?” นายน้อยสํานัก ถามในขณะที่เอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมกับมีนายน้อยสาขาทั้ง 34 คนยืนอยู่ข้างหลังเขา เขาดูสง่างามและเปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้ปกครอง
“นายท่านต้องล้อเล่นแน่ ๆ” กู่ฉินเจิ้งพูดอย่างกระอักกระอ่วนในขณะที่เธอเช็ดน้ําตาที่หางตาของเธอ
“นวดหลังให้ข้า!” เฉินเฉินพูดต่อ
กู่ฉินเจิ้งไม่มีทางเลือกนอกจากไปอยู่ข้างหลังเฉินเฉินและนวดหลังให้เขา เธอไม่กล้าใช้กําลังมากเกินไปหรือน้อยเกินไปเพราะกลัวว่าเธอจะไปทําให้เขาที่เป็นคนใหญ่โตของสํานักอสูรไม่พอใจ
เมื่อเห็นว่าเธอยอมเชื่อฟังดี เฉินเฉินก็แอบรู้สึกอิ่มเอมอยู่ข้างในเพราะในที่สุดวันนี้เขาก็ได้เอาคืนแล้ว
ด้วยสภาพเช่นนี้ เฉินเฉินได้อยู่ในบ้านดอกไม้พระจันทร์เป็นเวลาสองชั่วโมง และกลั่นแกล้งกู่ฉินเจิ้งให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทําได้ ในตอนนี้เอง โจวเฟิงก็บินกลับมาจากวังในที่สุด
“นายน้อยสํานัก ค่ายกลยังไม่แตกแต่ว่าบรรพบุรุษสํานักอู๋ซินโผล่มาแล้วครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินเฉินก็ลุกขึ้นอย่างพรวดพราดแล้วพูด “ถ้างั้นก็ไปหาผู้อาวุโสสํานักอู๋ซินกันเถอะ”
ความโล่งอกปรากฏขึ้นในดวงตาของคู่ฉินเจิ้งในตอนที่เธอได้ยินเช่นนี้
‘ในที่สุดเจ้าคนน่ากลัวนี้ก็ไปซักที ตอนแรกข้านึกว่าเฉินเฉินผู้สืบทอดสํานักเทียนหยุนก็น่ากลัวแล้วนะแต่คนนี้น่ากลัวกว่าเป็นสิบเท่า!’
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่พวกเขาออกไป เสียงของปีศาจก็ดังขึ้นอีกครั้งจากด้านนอก
“นี่ ฝีมือของเจ้าใช้ได้เลย ตามมาที่วังหลวงกับข้า”