EG บทที่ 613 เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้น

 

“ฮัลโหล? พ่อครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อยได้มั้ยครับ?”

 

“เรื่องอะไร? พ่อกำลังยุ่ง ว่ามาสั้นๆ พอ! เดี๋ยวก่อน 30,000 ผมชนะ!”

 

เฝิงหยู่ “……” ไหนบอกว่ายุ่งอยู่ไม่ใช่หรอ? การเล่นไพ่นกกระจอกถือว่ายุ่งมากงั้นหรอ?

 

“พ่อครับ พ่อช่วยขายหุ้นของพ่อในบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงมาให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ?”

 

เฝิงซิ่งไท่ยังถือหุ้นของบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงอยู่ แต่เขาไม่เคยสนใจเลย แม้แต่เงินปันผลก็โอนเข้าบัญชีของเฝิงหยู่ เขายังลืมไปด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นผู้ถือหุ้น

 

พอเฝิงหยู่พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็สับสน“แกจะมาขอเพื่ออะไร? อยากโดนตีหรือไง? ยังไงหุ้นพวกนั้นเป็นของแกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

 

“พ่อครับ แต่ยังไงพ่อก็ต้องเซ็นเอกสารเพื่อพิสูจน์ว่าพ่อได้ขายหุ้นให้ผมแล้ว ผมยังมีเงินอยู่ในบริษัทการค้าไท่หัว ผมจะโอนเงินให้พ่อ พ่อจะได้เอาเงินไปลงทุนในโรงงานของพ่อต่อ โรงงานอาหารแปรรูปไท่หัวกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและต้องการเงิน”

 

“โอเค โอเค ให้คนเอาสัญญามาให้พ่อเซ็นที่นี่ละกัน เดี๋ยวพ่อเซ็นให้ อย่าเอาเรื่องพวกนี้มากวนพ่ออีกนะ เอ๊ะเอ๊ะ……ตาผมแล้วหรอ? หกแถว”

 

“โอเค งั้นเดี๋ยวผมให้ทนายไปหาพ่อนะครับ เขาเป็นฝรั่งผิวขาว มีหนวด พ่อจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งอะไรใน บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงอีกแล้วในอนาคตนะครับ และพ่อต้องกลับมาที่สำนักงานด้วย”

 

“รู้แล้วน่า มีอะไรอีกไหม? เรื่องเรียนเป็นยังไงบ้าง? แกเรียนรู้เรื่องมั้ย?” เฝิงซิ่งไท่ถาม

 

“ไม่มีปัญหาครับ เอ่อ……พ่อครับ ผมวางสายก่อนนะครับ ผมยังมีงานต้องทำอีก” เฝิงหยู่รีบวางสาย เรื่องเรียนอะไรกัน? เฝิงหยู่ยังอยู่ในประเทศจีนและไม่ได้กลับไปฮ่องกงด้วยซ้ำ

……..

 

“ตาเฒ่าเฝิง ช่วยเลิกรับสายเวลาเล่นไพ่นกกระจอกได้มั้ย? คุณคิดว่าตัวเองมีโทรศัพท์มือถือคนเดียวหรือไง?”  เหวินเต๋อกวางพูด เฝิงซิ่งไท่ชอบทำสีหน้ารำคาญเวลาที่เขาคุยโทรศัพท์ เขาพยายามอวดโทรศัพท์มือถือของเขา ในขณะที่เหวินเต๋อกวาง ซึ่งเป็นหัวหน้าเขต มีแค่วิทยุติดตามตัวเท่านั้น

 

“รับโทรศัพท์มันผิดตรงไหน? แค่รับโทรศัพท์ก็ไม่ได้หรอ? ลูกชายของนายอยากซื้อโทรศัพท์มือถือให้ แต่นายก็ไม่เอาเอง แล้วจะมาโทษใครได้?” เฝิงซิ่งไท่จงใจวางโทรศัพท์มือถือของเขาไว้บนโต๊ะเหนือกองธนบัตร 1 และ 2 หยวน

 

ตอนนี้เฝิงซิ่งไท่ร่ำรวยมาก แต่เขาสังเกตเห็นว่าเขามีเพื่อนไม่เยอะ เขาใช้เวลาไปกับการตกปลา เดินเล่นริมฝั่งแม่น้ำ เขาไม่สามารถใช้จ่ายเงินที่มีอยู่ให้หมดได้ แต่เพื่อนๆ ของเขายังต้องทำงานอยู่

 

เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้นที่เฝิงซิ่งไท่จะได้พบกับเหวินเต๋อกวางและเพื่อนคนอื่นๆ ที่เหลือเพื่อเล่นไพ่นกกระจอกกันไม่กี่รอบ

 

ต่างกับจางมู่ฮวา เธอมีงานอดิเรกใหม่ที่เฝิงหยู่แนะนำให้เธอรู้จัก ซึ่งก็คือการปักครอสติช

 

การปักครอสติชเป็นศิลปะโบราณ แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมในยุคนั้น เมื่อชาติที่แล้วของเฝิงหยู่ การปักครอสติชก็เป็นที่นิยมในปี 2005 ปัจจุบันมีเพียงโรงงานเดียวที่ผลิตสินค้าเกี่ยวกับครอสติชและมีการออกแบบเพียงรูปแบบเดียว

 

หลังจากเฝิงหยู่ให้คนไปเอาแบบเพิ่มเติมมาจากต่างประเทศ จางมู่ฮวาก็ติดการปักครอสติชทันที เธอแบ่งปันกับเพื่อนบ้าน และพวกเขาทั้งหมดรวมตัวกันเพื่อมานั่งปักครอสติชด้วยกันในเวลาว่าง

……

 

3 วันต่อมา หลี่ต้าฝูขายบริษัทของเขา เป็นเพราะว่าเขารีบขายเลยทำให้ได้เงินมาแค่ 65 ล้านเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วบริษัทมีมูลค่าอย่างน้อย 70 ล้าน โดยขายให้แก่นักธุรกิจคนอื่นจากสมาคมธุรกิจเจ๋อเจียง

 

ผลกำไรประจำปีของบริษัทของหลี่ต้าฝูมากกว่า 10 ล้าน ถ้าเขามีเงินทุน ก็สามารถเพิ่มมากขึ้นได้อีก เมื่อชาติที่แล้วของเฝิงหยู่ หลี่ต้าฝูได้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อขยายธุรกิจของเขา และเริ่มต้นธุรกิจรถจักรยานยนต์ของเขาเอง หลังจากนั้น เขาก็ก่อตั้งจีลี่

 

แต่ในชาตินี้จะไม่มีจีลี่ อีกต่อไป แม้ว่าจะมีจีลี่ก็ตาม แต่หลี่ต้าฝูก็จะไม่ได้เป็นเจ้าของ บางทีผู้ก่อตั้งจีลี่คนอื่นอาจเริ่มก่อตั้งจีลี่ใหม่ก็ได้

 

ดูจากผิวเผินแล้ว หลี่ต้าฝูดูเหมือนจะขาดทุน เงินปันผลที่เขาจะได้รับจากบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงสูงไม่ถึง 10 ล้าน แม้ว่าผลกำไรของบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงจะสูงมาก มากกว่า 4 พันล้าน แต่เงินปันผลนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น กำไรส่วนใหญ่ถูกนำกลับไปลงทุนในการวิจัยและพัฒนาของบริษัท

 

หลี่ต้าฟูรู้สึกว่ามูลค่าหุ้นของเขาจะทวีคูณในอีก 3 ปีและไม่รวมเงินปันผลหลายล้านทุกปี

 

นอกจากนี้ ในอนาคตบริษัทอาจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อจดทะเบียนแล้ว มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอีก การจ่ายเงินปันผลก็จะสูงขึ้นตามมา

 

หลี่ต้าฟูเชื่อมั่นว่าเขาตัดสินใจถูกต้อง หากเขาสามารถแสดงความสามารถด้านการบริหารของเขาให้เฝิงหยู่เห็นได้ภายในสองปีนี้ เขาอาจจะแย่งตำแหน่งประธานก็ได้เมื่อมีการจัดตั้งคณะกรรมการบริษัท จากสิ่งที่เฝิงหยู่พูด ดูเหมือนว่าเฝิงหยู่ไม่สนใจที่จะเป็นประธาน นั่นหมายความว่าสักวันหนึ่งเขาอาจได้รับอำนาจควบคุม บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงอย่างเต็มที่

 

แน่นอนว่าเขาก็ยังมีความรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีผู้ถือหุ้นใดต้องการที่จะละทิ้งอำนาจของตัวเองและให้คนอื่นบริหารบริษัทหรอก แม้ว่าเฝิงหยู่จะไม่สนใจ แต่ก็ยังมีผู้ถือหุ้นรายอื่นจากฮ่องกงอยู่

 

หลี่ต้าฝูไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อเขาเข้ามาทำงานที่บริษัทเครื่องจักรเมืองปิง มีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการถือหุ้น เฝิงหยู่ได้โน้มน้าวให้ฟู่กวางเจิ้งและรัฐบาลเมืองปิงมอบหุ้นให้แก่หลี่หมิงเต๋อและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารหลายสิบคน จำนวนหุ้นทั้งหมดที่คนพวกนี้ถืออยู่นั้นเพิ่มขึ้นถึง 2.5%

 

แม้ว่าหลี่หมิงเต๋อยังไม่ถึงวัยเกษียณ แต่เขาก็ขอเกษียณอายุก่อนกำหนด เขาไม่ได้เป็นข้าราชการอีกต่อไป บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงจ้างหลี่หมิงเต๋อทันทีและมอบหุ้นให้เขา 0.5% แน่นอนว่าเงินเดือนของหลี่หมิงเต๋อก็ปรับเป็น 500 หยวนเท่านั้น แต่หมิงเต๋อก็ไม่ได้สนใจเพราะเขาจะได้รับเงินปันผลเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

 

กรรมการส่วนที่เหลือของโรงงานสาขา รองผู้จัดการทั่วไป และเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารระดับสูงคนอื่นๆ ก็ได้รับหุ้น 0.01 ถึง 0.02% เมื่อรวมกับหุ้น 2.5% ที่เฝิงหยู่ขายให้กับหลี่ต้าฝู บริษัทเครื่องจักรเมืองปิงมีผู้ถือหุ้นมากกว่า 20 ราย แต่เฝิงหยู่ยังคงถือหุ้น 53% ของบริษัท !

 

นอกจากนี้ บริษัทยังจัดตั้งคณะกรรมการบริษัทด้วย เฝิงหยู่ ฟู่กวางเจิ้ง หลี่หมิงเต๋อ หลี่ต้าฝู และตัวแทนจากรัฐบาลเมืองจัดตั้งขึ้นเป็นคณะกรรมการ หลี่หมิงเต๋อได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานและผู้จัดการทั่วไป

 

ในที่สุด หลี่ต้าฝูก็ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เขาเป็นหนึ่งในรองผู้จัดการทั่วไปพร้อมกับรองอีก 4 คน เฝิงหยู่และ ฟู่กวางเจิ้งไม่ดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการทั่วไปอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นคณะกรรมการอยู่และสามารถดูแลบริษัทในฐานะกรรมการคนหนึ่งได้

 

หลายคนในบริษัทตกใจกับการปรากฏตัวของหลี่ต้าฝู ทำไมเฝิงหยู่จึงขายหุ้นของบริษัทให้กับคนนี้และให้เขาจัดการฝ่ายรถยนต์?

 

หลี่ต้าฝูเคยเป็นเจ้าของบริษัท อยู่ดีๆ ไม่นานเขาก็เข้ามาคว้าตำแหน่งนี้ไปได้ และสร้างความประทับใจให้กับคนอื่นมากมายด้วยทัศนคติของเขา

 

เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญอีกต่อไป เฝิงหยู่บินกลับฮ่องกงไปแล้ว……