บทที่ 377.1 อาวุธของวิญญูชน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ผู้ฝึกตนโอสถทองพลันพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้คุณชายคือลูกศิษย์ของสำนักนิติธรรม มิน่าเล่า”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงเข้าใจผิดเช่นนี้

เซียนดินที่น่าจะคุ้นเคยกับขนบธรรมประเพณีในแคว้นชิงหลวนเป็นอย่างดียิ้มตาหยีกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ควรประชันฝีมือกันสักหน่อย”

แสงกระบี่พลันสาดประกายเจิดจ้าอยู่ในเทือกเขา

ผู้ฝึกตนอิสระเคยชินกับเหตุการณ์ที่คุยกันอยู่ดีๆ ก็ฉีกหน้าแตกหักกันมานานแล้ว คนตายเพราะทรัพย์สิน นกตายเพราะอาหาร ใครบ้างไม่ยินดีที่จะได้เงินร้อนน้อยเพิ่มมาอีกห้าสิบเหรียญ? เงินบริสุทธิ์ได้มาย่อมดี แต่เงินสกปรกที่หามาได้น้อยจะไม่ดีงั้นหรือ? ผู้ฝึกตนอิสระที่ถูกที่ว่าการของราชสำนักรับสมัครตัวมา หรือไม่ก็พวกที่ต้องการได้ตำแหน่งผู้ถวายงานของตระกูลเซียนจึงใช้เส้นสายช่วยให้พวกเขาได้ยันต์คุ้มกันกายมาครอง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ทำเรื่องเลวร้ายบางอย่างมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นช่วยราชสำนักสังหารแม่ทัพใหญ่หรือขุนนางบุ๋นของแคว้นศัตรู แก้แค้นให้กับพวกเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ไม่เหมาะให้ทำเรื่องเช่นนั้นด้วยตัวเอง

เซียนดินโอสถทองกวาดตามองไปรอบด้านอย่างเนิบช้าคล้ายกำลังตรวจสอบดูสนามรบ

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากวัวดินเลือกที่จะพลิกตัว ชักนำเส้นทางใต้ดินให้สั่นสะเทือนจะมีชาวบ้านที่เดือดร้อนกี่หมื่นคน?”

เซียนดินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับอย่างจริงใจ “เมื่อมีขอบเขตเช่นข้า ย่อมต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว”

สำหรับเรื่องนี้พวกผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนี้ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเท่าใดนัก

มีเพียงลวี่หยางเจินอาจารย์แห่งค่ายกลเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว แต่กลับซุกซ่อนอารมณ์ไว้อย่างดีเยี่ยม

เฉินผิงอันถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าสามารถควบคุมแผ่นดินไหวได้หรือไม่?”

เซียนดินไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง แต่ยิ้มกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ง่ายหรอก หากไม่ทำตามที่เพื่อนเจ้าบอก นั่นคืออาศัยการเผาผลาญเงินจัดวางค่ายกลเป็นวงกว้าง สร้างความมั่นคงให้กับเส้นทางใต้ดิน ลดทอนระดับสั่นของแผ่นดินไหวให้น้อยลง ก็ต้องให้ผู้ฝึกลมปราณที่ได้ครอบครองสมบัติก่อนกำเนิดจำพวกไข่มุก ให้นำสมบัติประเภทนั้นมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต เพื่อที่จะ ‘ตั้งภูเขาซ่อนเส้นทางใต้ดิน’”

เห็นว่าเฉินผิงอันไม่ถามอะไรอีก เซียนดินท่านนี้ก็มองประเมินเฉินผิงอันอย่างละเอียดอีกรอบ “ไว้เจอกันใหม่คราวหน้า”

ดูเหมือนผู้ฝึกตนโอสถทองจะล้มเลิกความคิดที่จะ ‘ประชันฝีมือ’ เขามองไปยังคนสำคัญของภูเขาลูกต่างๆ ในกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระ ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าชุดดำที่นั่งอยู่บนจิ้งจอกสีดำห้าหาง ลวี่หยางเจินอาจารย์ค่ายกล ใช้เสียงในใจไล่บอกถึง ‘สถานที่แบ่งทรัพย์สิน’ ซึ่งจะต้องมอบค่าตอบแทนที่เหลืออยู่นอกเหนือจากค่ามัดจำให้พวกเขาไปทีละคน จากนั้นก็ทะยานลมจากไป

ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนติดตามเซียนดินจากไป เพียงแต่ว่าไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน คิดดูแล้วผู้ฝึกตนโอสถทองคนนั้นคงจะนัดหมายวันเวลาและสถานที่ที่ต่างกันในการจ่ายเงินเทพเซียนให้กับคนทั้งสี่กลุ่ม หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ฝึกตนอิสระไม่บ่นว่าน้อยไป แต่บ่นว่าไม่เท่าเทียมกัน

จางซานเฟิงกำหมัดทุบเฉินผิงอันเบาๆ หนึ่งที เอ่ยสัพยอกว่า “ใช้ได้นี่นา เอาเงินร้อนน้อยมาใช้เป็นเงินเกล็ดหิมะแล้ว”

สวีหย่วนเสียลุกขึ้นยืนนานแล้ว เก็บดาบเข้าฝัก ใช้นิ้วลูบหนวดที่เกาะกันเป็นกระจุกเพราะคราบเลือดจากบนลงล่าง “ตอนนี้ถือว่าปลอดภัยชั่วคราว กลัวก็แต่ว่าเซียนดินโอสถทองคนนี้จะเป็นงูเจ้าถิ่นที่มีเจตนาชั่วร้าย หากไม่ได้จริงๆ พวกเราก็อย่ารอเข้าร่วมงานโต้วาทีพุทธและเต๋าที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวนเลย รีบจากไปโดยเร็วจะดีกว่า”

จางซานเฟิงลังเลเล็กน้อย “กระบี่เจินอู่ที่เฉินผิงอันให้ข้ายืมและมีดสั้นเล่มนั้นของเจ้าจะต้องทิ้งไว้ในกองบัญชาการณ์ทหารสูงสุดจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันแก้ไขให้ใหม่ “ไม่ได้ให้ยืม”

แม้ว่าสวีหย่วนเสียจะเสียดาย แต่ก็ยังพูดด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “กองบัญชาการทหารที่ใหญ่ขนาดนั้น มันไม่ได้มีขาเดินได้สักหน่อย วันหน้าย่อมต้องมีโอกาสมาเอากลับคืน หากกองบัญชาการทหารเป็นตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการล้อมสังหารครั้งนี้ ก็เท่ากับพวกเราพาตัวไปติดร่างแห ฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนเป็นพวกหัวแข็งและยโสโอหัง อีกทั้งผู้บัญชาการทหารคนนั้นยังเป็นคนรู้ใจของลูกหลานสายตรงฮ่องเต้สกุลถัง จึงง่ายที่พวกเราจะตกเป็นเป้าให้ทุกคนหมายหัว อีกทั้งต่อให้มีเหตุผลก็ไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน คนอื่นแค่สาดน้ำโคลนสกปรกมาใส่ พวกเราหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น”

จางซานเฟิงเคยมีนิสัยไม่ชนกำแพงทิศใต้ไม่หันหลังกลับ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางละทิ้งการเรียนรู้หลักการของลัทธิขงจื๊อ หันไปเป็นนักพรตเต๋า การเดินทางไกลลงใต้จากอุตรกุรุทวีปมาถึงแจกันสมบัติทวีป เขาได้พบได้เห็นอะไรมามากมาย มีทั้งอุปสรรคและมีทั้งผลเก็บเกี่ยว ทำให้เติบโตขึ้นไม่น้อย ได้ยินคำอธิบายของสวีหย่วนเสียก็ไม่ยืนกรานในความคิดของตัวเองอีก

เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่นานถึงจะคิดหาคำพูดที่สมเหตุสมผลได้ ทั้งไม่ดึงจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียเข้ามาในปัญหาของตน ทั้งทำให้คนทั้งสองไปยังกองบัญชาการณ์ทหารได้อย่างวางใจ “ข้าได้ของดีชิ้นหนึ่งมาจากสำนักศึกษาของใบถงทวีป เป็นแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง สามารถเอามาใช้ปกป้องชีวิตในช่วงเวลาสำคัญ แม้จะบอกว่าตอนนี้ในแคว้นชิงหลวนมีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน พวกเราไม่ควรประมาท แต่เมื่อมี…แผ่นหยกที่เท่ากับวิญญูชนของสำนักศึกษามาเยือนเองแผ่นนี้ โอสถทองและก่อกำเนิดทั่วไปก็ล้วนไม่กล้าลงมือเข่นฆ่าสังหาร ดังนั้นหากพวกเราคิดจะไปเอากระบี่เจินอู่และมีดสั้นเล่มนั้นกลับคืนมาคงไม่เป็นปัญหามากนัก”

การจัดการกับเรื่องราวใดๆ ควรจะพิถีพิถันในเรื่องปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจก็จริง แต่หากทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตราย ทำให้ต้องเผชิญกับหายนะดับชีพอย่างเมื่อครั้งที่เฉินผิงอันเจอกับตู้เม่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าจริงใจแล้ว แต่เรียกว่าไร้หัวจิตหัวใจ ไม่ชำนาญเรื่องทางโลก

เผยเฉียนกับคนทั้งสี่ในภาพวาดเดินเข้ามาใกล้แล้ว

พวกเขาต่างก็สนใจใคร่รู้ในสถานะของนักพรตหนุ่มและจอมยุทธ์เคราดกอย่างมาก มองดูไม่เหมือนคนบ้านเดียวกับเฉินผิงอัน แต่เหมือนสหายที่พบเจอกันระหว่างที่ท่องเที่ยวหาประสบการณ์มากกว่า

เว่ยเซี่ยนสี่คนต่างก็มองออกว่านักพรตหนุ่มเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณที่มีตบะธรรมดา ส่วนชายฉกรรจ์เคราดกก็คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าที่รากฐานพอใช้ได้เท่านั้น แค่นี้น่ะหรือ?

เผยเฉียนลอบมองประเมินคนทั้งสองตลอดเวลา เวลานี้ในมือนางถือไม้เท้าเดินป่า ตรงเอวห้อยดาบไม้ไผ่และกระบี่ไม้ไผ่ที่เฉินผิงอันทำให้เองกับมือ นางยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีพี่ชายนักพรต สวัสดีท่านอามือดาบ ข้าชื่อเผยเฉียน ข้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของท่านอาจารย์!”

สวีหย่วนเสียหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ อยู่ดีๆ ก็ได้สถานะนี้มาเปล่าๆ

ส่วนจางซานเฟิงที่แม้จะถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่แทงทะลุไหล่ ใส่ยาไปแล้ว แต่ก็ยังหน้าซีดขาว ทว่าพอเห็นเด็กหญิงผอมแห้งที่บอกว่าตัวเองคือลูกศิษย์ใหญ่ของเฉินผิงอันผู้นี้ มุมปากของนักพรตหนุ่มก็ตวัดโค้งขึ้น พูดทักทายกับแม่นางน้อยด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีเผยเฉียน อายุเท่าไหร่แล้ว?”

เผยเฉียนยิ้มตาหยี “เพิ่งจะเจ็ดขวบเอง เพราะฉะนั้นถึงได้สูงแค่นี้”

เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงไป

เผยเฉียนที่ต่อให้ตายก็ต้องรักษาหน้าตาและเพิ่งโดนลงโทษรีบพูดหน้าม่อยทันที “อันที่จริงข้าอายุสิบเอ็ดขวบแล้ว”

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับนั่งยองลง ก่อนหันมามองสวีหย่วนเสีย “ได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ จะทำอย่างไร?”

สวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงต่างก็ทรุดตัวนั่งยองตามไปด้วย ชายฉกรรจ์เคราดกลูบหนวดพลางพูดอย่างครุ่นคิด “ไม่พูดถึงเซียนดินโอสถทองที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ คนนั้น พูดถึงแค่ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มของคนที่ขี่จิ้งจอกดำ จิตใจของพวกเขาไม่เที่ยงตรง หากพวกเราปล่อยวัวดินไว้อย่างนี้ไม่สนใจ ถ้าอย่างนั้นก็อยู่แค่ที่ว่ามันจะตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น ก่อนหน้านี้มีประโยคหนึ่งที่เจ้าพูดได้ถูกต้อง ไม่ว่าเงินของใครก็ไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า ไม่ได้กวาดหาเอาจากสายลม ทำดีก็ทำให้ถึงที่สุดเถอะ ตอนนี้ให้มันใช้ร่างจริงติดตามอยู่ข้างกายพวกเราก่อน รอจนบาดแผลหายดีแล้วค่อยหาทางใต้ดินเส้นหนึ่งที่สามารถซ่อนตัวได้ ถึงเวลานั้นค่อยแยกย้ายกันก็ยังไม่สาย แต่หากเป็นเช่นนี้ ภาระที่เจ้าเฉินผิงอันต้องแบกย่อมหนักหน่วงมาก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เพิ่งจะจากกันได้ไม่เท่าไหร่เอง ทำตัวห่างเหินแบบนี้แล้วหรือ?”

สวีหย่วนเสียหัวเราะเสียงดัง “คำพูดเกรงใจไม่ต้องให้ข้าจ่ายเงินเสียหน่อย”

เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวสารเพราะเห็นด้วยอย่างถึงที่สุด คำพูดเกรงใจ คำพูดประจบเอาใจ ไม่ต้องจ่ายเงินจริงๆ ท่าอาหนวดดกผู้นี้น่าจะถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับตน

เมื่อเทียบกับเผยเฉียนแล้ว คนทั้งสี่ในภาพวาดกลับมองไปไกลและคิดไปไกลยิ่งกว่า

เว่ยเซี่ยนสุยโย่วเปียนสี่คนไม่เคยเห็นเฉินผิงอันสอบถามความคิดเห็นของใครมาก่อน อีกทั้งยังรับฟังอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นดั่งน้ำมาคลองเสร็จ ต้องรู้ว่าตลอดทางที่ผ่านมานี้พวกเขาสี่คนรบราฆ่าฟันกันมาไม่น้อย สุยโย่วเปียนตายไปตั้งหลายครั้งแล้ว ทว่าการแสดงออกในแต่ละครั้งของเฉินผิงอันล้วนเผยให้เห็นถึงด้านที่หัวแข็ง ยืนกรานและเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็ให้ความเคารพนับถือพวกเขาทั้งสี่คนมากพอ ต่อให้เป็นเว่ยเซี่ยนก็ยังต้องยอมรับว่า คำว่า ‘มีคุณสมบัติของราชาผู้เผด็จการ’ ที่เขาเคยเอ่ยประจบเฉินผิงอัน อันที่จริงส่วนที่เป็นน้ำนั้นมีไม่มาก ต้องรู้ว่าหากเอาไปวางไว้ในกลียุคของพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่แน่ว่าเฉินผิงอันอาจกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่เจอกับเขาบนสนามรบแล้วก็เป็นได้

เฉินผิงอันมองไปยังวัวดินสีเหลืองตัวนั้น “เจ้าเผยกายด้วยร่างของคนได้หรือไม่ หากข้าจำไม่ผิด เมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตชมมหาสมุทรหรือขอบเขตประตูมังกรก็น่าจะจำแลงกายกลายเป็นคนได้แล้วกระมัง? ข้ามียารักษาบาดแผลอยู่ขวดหนึ่ง หากเจ้าทาลงบนร่างของคน ประสิทธิผลจะดียิ่งกว่าเดิม”

ก่อนจะออกมาจากนครมังกรเฒ่า น้ากุ้ยได้บอกให้คนนำกล่องเก็บสมบัติที่ทำมาจากไม้กุ้ยใบหนึ่งมามอบให้ ด้านในบรรจุยาสิบสองขวด ไม่ได้มีมูลค่ามากมาย แต่ทุกขวดล้วนเป็นสิ่งของจำเป็นสำหรับเซียนดิน และสำหรับทุกขั้นบันไดของห้าขอบเขตกลางก็ล้วนถือว่าคุ้มค่ามีประโยชน์มากที่สุด

ได้ยินคำถามของเฉินผิงอัน ปีศาจขอบเขตประตูมังกรที่ถูกทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาก็ส่ายหน้า

จางซานเฟิงอธิบาย “เมื่อเทียบกับภูตแห่งภูเขาและแม่น้ำทั่วไปแล้ว มันค่อนข้างจะพิเศษ ก็เหมือนกับเจียวหลงเผ่าพันธุ์น้ำที่ห้าธาตุยิ่งบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ การจำแลงร่างกลายเป็นคนก็ยิ่งยากลำบากมากเท่านั้น อย่างมันต้องรอให้เลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองก่อนถึงจะได้”

 เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง “ไม่เป็นไร พวกเราเดินทางไปยังกองบัญชาการทหารครั้งนี้ก็พยายามอ้อมผ่านเมืองใหญ่ เลือกเดินบนทางสายเล็กระหว่างป่าเขาก็แล้วกัน”

 จางซานเฟิงยิ้มพูด “เรื่องนี้พวกเราคล่องแคล่วมากเลยล่ะ สองปีมานี้พวกเราเตร็ดเตร่ไปหลายแห่งในแคว้นชิงหลวน แคว้นชิ่งซาน”

รอจนเฉินผิงอันควักยาเม็ดหนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรออกมา วัวดินสีเหลืองกินเข้าไปหนึ่งก้านธูปก็สามารถดิ้นรนลุกขึ้นยืนได้ แม้ว่าทั่วร่างจะยังคงเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็สามารถเดินได้ไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรเดิมทีเผ่าพันธ์ปีศาจของบนโลกก็มีร่างกายที่แข็งแกร่ง มีความอดทนมากจนเป็นที่เลื่องลืออยู่แล้ว อีกทั้งปีศาจขอบเขตประตูมังกรตนนี้ยังกล่าวว่า ตนได้หลอมขวดกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งมาเป็นหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตของตน สามารถบรรจุและสะสมปราณวิญญาณฟ้าดิน เฉินผิงอันได้ยินประโยคนี้ก็ฟังความนัยของถ้อยคำนี้ออก จึงยกยาปราณวิญญาณขวดนั้นให้กับวัวดินสีเหลืองทั้งหมดอย่างใจกว้าง ให้มันเก็บไว้ในขวดกระเบื้องเคลือบแห่งชะตาชีวิต ค่อยๆ ดึงดูดปราณวิญญาณไปรักษาบาดแผล