บทที่ 86 เจ้าเกลียดเรามิใช่หรือ

Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี

“ใจเย็นก่อน ราฟาเอลา”

แพทริเซียยังคงดูสงบนิ่ง ราฟาเอลาจึงมีความคิดสงสัยวูบหนึ่งว่าอีกฝ่ายเสียสติไปแล้วหรือไม่ แพทริเซียฉีกชุดเดรสออกมาอีกสายและนำมาพันรอบแขนของตนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ริซซี่ เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ”

ราฟาเอลาถามเสียงสั่น ในขณะที่แพทริเซียตอบอย่างเฉยเมย

“โชคดีที่ข้าไม่ได้เสียสติอย่างที่เจ้าพูด”

“แล้วทำไมเจ้าถึง…”

“เจ้าบาดเจ็บ ข้าก็ต้องเจ็บด้วยสิ” แพทริเซียอธิบายอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่คิดจะปล่อยให้เรื่องนี้เงียบไปเฉยๆ ข้าจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ และเพื่อการนั้น…ข้าเองก็ควรจะบาดเจ็บสักหน่อย”

เมื่อเห็นแผลนี้ ‘เขา’ จะมีท่าทีอย่างไรนะ จู่ๆ แพทริเซียนึกสงสัยขึ้นมา แต่นางก็สงสัยเพียงครู่เดียวก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องอื่น

“ข้าไม่ได้กรีดจนกลายเป็นแผลเป็นหรอก อย่าห่วงเลย”

“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นเสียหน่อย…”

“ฉากสุดท้ายใกล้เข้ามาเต็มที เลือดเพียงเท่านี้ข้ายอมหลั่งได้”

แพทริเซียยกยิ้มมุมปากพลางผูกปมผ้าที่พันแขน มองเลือดไหลซึมย้อมผ้าขาวให้กลายเป็นสีแดงฉานขณะตกอยู่ในภวังค์ความคิด

***

ลูซิโอเดินไปเดินมาในห้องด้วยสีหน้าร้อนรน แม้เวลาจะล่วงเลยมาค่อนคืนแล้วแต่เขาก็ยังคงนอนไม่หลับ หัวหน้านางกำนัลตำหนักกลางเห็นดังนั้นก็เข้ามาในห้องอย่างห่วงใย

“ฝ่าบาท นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบเข้าที่บรรทมเถิดเพคะ”

“เรา…เรานอนไม่หลับเลย”

เขาพึมพำราวกับทรมานใจเหลือแสน หัวหน้านางกำนัลได้ยินดังนั้นก็ปลอบโยนอย่างใจเย็น

“พระจักรพรรดินีจะต้องปลอดภัยแน่เพคะ หากมีเรื่องอันใดหม่อมฉันจะปลุกพระองค์ทันที ตอนนี้เข้าที่บรรทมก่อนเถิดเพคะ”

“แต่ว่า…!” เขาส่ายหน้า “เราจะอยู่รอ อย่างไรก็มีงานที่คั่งค้างอยู่ เราจะอ่านรอไปพลาง”

“…”

หัวหน้านางกำนัลไม่อาจทำลายความตั้งใจของลูซิโอจึงได้แต่ล่าถอยออกไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น เมื่อในห้องเหลือลูซิโออยู่คนเดียว เขาก็เดินไปที่โต๊ะหนังสืออย่างว้าวุ่นใจ แต่แม้จะนั่งลงที่โต๊ะแล้วเขาก็ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานได้เลย ความสนใจของเขาไปอยู่ที่แพทริเซียซึ่งอยู่นอกวังหมดแล้ว

‘ถ้าข้าคาดการณ์ถูกล่ะก็…’

“ฝ่าบาท!”

ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงหัวหน้านางกำนัลร้องเรียกด้วยความตกใจดังมาจากด้านนอก ลูซิโอตะโกนขานรับอย่างเผลอตัว

“เกิดอะไรขึ้น”

“พระจักรพรรดินีมาขอเข้าเฝ้าเพคะ”

เพียงคำพูดเดียวนั้นทำให้ลูซิโอถึงกับลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นร่างของแพทริเซีย สภาพของหญิงสาวไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่อาจเรียกได้ว่าปกติเรียบร้อยดี ผมยาวปล่อยสยายกระเซอะกระเซิง ชุดเดรสฉีกขาดหลายจุด และที่เป็นปัญหาที่สุดคือบาดแผลที่ยาวตั้งแต่บ่าถึงแขน ลูซิโอรีบวิ่งเข้าไปหาร่างบางด้วยความตกใจ

“จักรพรรดินี!”

“ฝ่าบาท”

เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจมาก แพทริเซียเห็นดังนั้นก็ทำตัวไม่ถูก ปฏิกิริยาของเขาดูมากกว่าที่นางคิด แต่นางก็ลบความรู้สึกนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินซวนเซเข้าไปหาลูซิโอ

ลูซิโอรีบเข้ามาประคองร่างบาง “จักรพรรดินี นี่มันเกิดอะไรขึ้น…”

“ระหว่างทางกลับ” แพทริเซียตอบเสียงแผ่ว “หม่อมฉันถูกโจมตีเพคะ”

“…”

เขามองนางด้วยสีหน้าตกตะลึง สายตานั้นทำให้แพทริเซียเสียการทรงตัวและล้มลง ลูซิโอรีบยื่นมือออกไปคว้า แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ทรุดตัวลงนั่งตรงนั้น

“โอย…”

ร่างบางล้มก้นกระแทกพื้น นางจึงร้องอย่างเจ็บปวด ลูซิโอได้ยินเสียงร้องนั้นก็ร้อนใจ

“เดี๋ยวค่อยเล่าเถอะ ตามหมอหลวงมาก่อน” เขาพูด

พูดจบลูซิโอก็เรียกหาหมอหลวงอย่างเร่งร้อน แพทริเซียมองท่าทีของเขาด้วยสายตาสับสนวุ่นวาย ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นขนาดนี้ นางรู้สึกแปลกๆ และไม่คุ้นชินกับการที่เขาตกใจและกังวลเมื่อเห็นสภาพของนาง นี่คงเป็นความเมตตาสงสาร เขาเพียงแต่เห็นใจนางเช่นเดียวกับที่นางเห็นใจเขากระมัง แพทริเซียคิดเช่นนั้นก่อนจะหลับตาลงเงียบๆ

“เดี๋ยวหมอหลวงก็มา ระหว่างนี้เจ้าพักก่อนเถอะ”

พูดจบลูซิโอก็อุ้มแพทริเซียตัวลอย หญิงสาวตกใจคว้าหัวไหล่เขาไว้โดยอัตโนมัติ

“ไม่ต้องเกร็ง เราไม่ปล่อยให้เจ้าตกหรอก” เขาพูดเสียงเรียบ

“…”

แพทริเซียเหม่อมองลูซิโอโดยไม่ปริปาก ระยะทางจากจุดที่นางล้มไปจนถึงเตียงของลูซิโอนั้นไม่ไกลกันนัก เขาจึงอุ้มนางมาถึงเตียงอย่างรวดเร็ว ลูซิโอวางแพทริเซียลงบนเตียงอย่างเบามือก่อนจะมองหญิงสาวด้วยสายตาร้อนรน สายตานั้นทำให้แพทริเซียรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก นางจึงค่อยๆ เบนสายตามองต่ำ ในใจภาวนาให้หมอหลวงมาเร็วๆ

“ฝ่าบาท หมอหลวงมาถึงแล้วเพคะ”

ไม่นานนักหมอหลวงก็มาถึงอย่างที่แพทริเซียปรารถนา ลูซิโอซิโอรีบตะโกนเรียก

“รีบเข้ามาเดี๋ยวนี้”

หมอหลวงรีบเข้ามาในห้องและวิ่งไปที่เตียง เขาหอบหายใจและเอ่ยทำความเคารพคนทั้งคู่

“ถวายบังคมสุริยันและจันทราแห่งจักรวรรดิ ขอให้มาวินอสจง…”

“ไม่ต้องมากพิธี รีบมาดูอาการจักรพรรดินีเร็วเข้า”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

ได้ยินน้ำเสียงเร่งร้อนของลูซิโอ หมอหลวงก็รีบขยับตัวเข้าไปใกล้แพทริเซีย แกะผ้าพันแผลออกและตรวจดูบาดแผลอย่างละเอียด ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายลงราวกับโล่งใจ

“แผลยาวก็จริงแต่โชคดีที่ไม่ลึกจึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตพ่ะย่ะค่ะ เพียงทายาให้ดี อีกไม่นานก็จะหายเป็นปกติ”

ได้ยินคำวินิจฉัยของหมอหลวง ลูซิโอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ระหว่างที่หมอหลวงทำการรักษาแพทริเซีย ลูซิโอก็คอยสังเกตนางอย่างละเอียด ความสนใจและสายตาที่ไม่ทราบจุดประสงค์นั้นทำให้แพทริเซียรู้สึกลำบากใจ แต่นางก็ทำเพียงดูหมอหลวงรักษาตนเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรเท่านั้น

หมอหลวงพันแผลด้วยผ้าขาวสะอาดให้แพทริเซียเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะออกจากห้องไป แพทริเซียนิ่งเงียบอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยออกมาคำหนึ่ง

“หม่อมฉันมิได้มาที่นี่เพื่อรับการรักษานะเพคะ รบกวนฝ่าบาทโดยไม่ตั้งใจเสียแล้ว”

“รบกวน?” คำนั้นทำให้ลูซิโอรู้สึกจุกอก “นี่หาใช่…การรบกวน”

“…”

“ดังนั้น เจ้าไม่ต้องพูดเช่นนั้นก็ได้”

“ฝ่าบาท…”

“บอกมาเถอะ จักรพรรดินี เกิดอะไรขึ้นหรือ”

ดวงตาของเขาดูแดงขึ้นมาอีกครั้ง แพทริเซียจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสียงอ่อนต่างจากที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก

“หม่อมฉันพบนักฆ่าระหว่างทางกลับพระราชวัง โชคดีที่หม่อมฉันติดต่อกับกองอัศวินหมู่สองไว้ก่อนจึงรอดชีวิตมาได้ ทั้งยังจับนักฆ่ากลับมาได้สองคน แต่…”

“…”

“หากมีอะไรผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย องครักษ์ของหม่อมฉันคงสิ้นชีวิตไปแล้ว”

นางบอกเล่าเรื่องราวที่มีการแต่งเติมเล็กน้อย ลูซิโอได้ฟังดังนั้นก็ทำสีหน้าซับซ้อน ส่วนหนึ่งคล้ายโล่งใจ อีกส่วนคล้ายเป็นทุกข์ แพทริเซียรู้สึกฉงนในสีหน้านั้นจึงเอ่ยถาม

“ไฉนจึงมีสีพระพักตร์เช่นนั้นเพคะ”

“ดูเหมือนเราจะช้าเกินไป”

“…หมายความว่าอย่างไรเพคะ”

“เราคาดคะเนเวลาที่เจ้าจะกลับและส่งอัศวินออกไป”

“…”

นางไม่รู้เรื่องนั้นมาก่อน แพทริเซียถามอย่างงุนงง

“ทำไมหรือเพคะ”

“…”

“ฝ่าบาท…ทรงทราบอยู่แล้วหรือว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้? หรือทรงอยู่เบื้องหลัง…”

“ไม่ใช่ แพทริเซีย ไม่ใช่อย่างนั้น”

ลูซิโอรีบปฏิเสธก่อนที่แพทริเซียจะพูดจบ แพทริเซียจ้องมองลูซิโอด้วยดวงตาแดงก่ำ ลูซิโอเห็นดังนั้นสีหน้าก็พลันร้อนใจ

“…เราแอบได้ยินจากมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์”

“…”

“จึงส่งอัศวินออกไปเผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เราหวังว่า…เจ้าจะไม่เข้าใจผิดไป”

“นั่นมัน…”

“แต่นั่นก็ยังช้าไปสินะ ถ้ากองอัศวินหมู่สองไปไม่ทันการ…”

เขาหลับตาแน่น สีหน้าดูเจ็บปวด ขณะเดียวกันภาพที่เขาไม่ต้องการแม้แต่จะคิดก็ปรากฏขึ้นมาในหัว

“ขอโทษนะ แพทริเซีย ทั้งหมดนี้เรา…” เขาพูดอย่างเจ็บปวด

“เอ่อ…”

เห็นเขาโทษตัวเอง แพทริเซียก็ทำอะไรไม่ถูก นางกะพริบตาปริบๆ อย่างทึ่มทื่อ ทันใดนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“ใจเย็นๆ ก่อนเพคะ ฝ่าบาท”

ชายคนนี้มีแผลในใจ เขาสังหารมารดาแท้ๆ ของตัวเอง เรื่องในวันนี้อาจกลายเป็นภาพสะท้อนของเรื่องในวันนั้นก็เป็นได้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของแพทริเซียก็ยิ่งฟังดูร้อนใจ

“หากจะว่ากันตามจริง เรื่องนี้หาใช่ความผิดของฝ่าบาทเพคะ”

“…”

“อย่างที่พระองค์กล่าว นี่เป็นความผิดของมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ เมื่อเรื่องนี้จบนางจะหายไปจากพระราชวังเพคะ”

“…”

“แม้ฝ่าบาทจะไม่พอทระทัย แต่หม่อมฉัน…”

“ทำตามใจเจ้าเถิด” ลูซิโอเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

“จริง…หรือเพคะ” แพทริเซียถามอย่างงุนงง

“เจ้าบอกว่าจับนักฆ่ากลับมาได้มิใช่หรือ หลักฐานก็มีแล้ว ขอเพียงนางรับสารภาพ อย่างไรความผิดก็เป็นที่ประจักษ์ เราจะมอบสิทธิ์ในการสอบสวนแก่เจ้าทั้งหมด”

“…รับสั่งเหมือนไม่เหลือเยื่อใยให้นางแล้วเลยนะเพคะ”

“…”

เยื่อใยหรือ เยื่อใยที่มีให้นางนั้นสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่นางบอกความจริงที่ปิดบังมาตลอดให้เขารู้ที่งานเลี้ยงแล้ว ที่เหลืออยู่มีเพียงบาดแผลที่ปวดร้าวเท่านั้น

ลูซิโอยิ้มเยาะ “ใช่แล้วล่ะ”

ตอนนี้เขาไม่เหลือเยื่อใยแล้ว ทั้งหมดนี้คือฝันร้ายที่เกิดจากความโง่ของเขา หากเขายังอาลัยอาวรณ์โรสมอนด์และอ้อนวอนจักรพรรดินีให้ปล่อยนางไปอีกครั้งคงน่าขันสิ้นดี

“ทำทุกอย่างให้ถูกต้องทีเถิด ทำแทนเราผู้โง่เขลาคนนี้” เขากล่าว

“…”

การปัดความรับผิดชอบเช่นนี้เป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน แพทริเซียกัดริมฝีปากเงียบๆ รู้สึกสองจิตสองใจ แพทริเซียไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดและด้วยเหตุผลอะไรเขาถึงได้มีท่าทีเช่นนี้ต่อโรสมอนด์ ทำได้เพียงคาดเดาว่าอาจเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นระหว่างคนทั้งคู่

“หม่อมฉันขออนุญาตทูลถามได้หรือไม่ว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน” นางถาม

“ไม่มีอะไรพิเศษหรอก เราเพียงแต่ได้รู้ในวันที่สายว่าเรื่องที่เราคิดว่าเป็นความจริงมันเป็นเพียงเรื่องโกหกเท่านั้น”

“…”

นางไม่รู้ว่าเขาตระหนักรู้เรื่องอันใด แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าใช่เรื่องที่นางกำลังจะเปิดเผยต่อจากนี้ หากเขาได้รู้เรื่องนั้นเขาจะมีสีหน้าอย่างไรนะ เขาจะรู้สึกอย่างไร

“หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูลเพคะ” แพทริเซียเอ่ยปากเสียงเบา

“เรื่องอันใด”

“เป็นเรื่องเกี่ยวกับโรสมอนด์…มาร์เชอเนสเอธิลเลอร์เพคะ”

“เราไม่อยากคุยเรื่องนั้นตอนอยู่กับเจ้าเลย”

“มิใช่ตอนนี้เพคะ ตอนนี้หม่อมฉันเองก็เหนื่อยล้าเกินกว่าจะกราบทูลสิ่งใด อีกทั้งเวลานี้ก็ยังไม่เหมาะ”

แพทริเซียพูดต่ออย่างสงบนิ่ง “มันเป็นเรื่องที่จะกระทบกระเทือนจิตใจของฝ่าบาทเพคะ”

“…”

“หม่อมฉันกังวลว่าพระองค์จะรับไม่ไหว”

“กังวลหรือ” เขายิ้มหยัน “น่าแปลกที่เจ้าเป็นห่วงเรา”

“…”

“เจ้าเกลียดเรามิใช่หรือ”