ตอนที่ 572 เจ้ามันปิศาจ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 572 เจ้ามันปิศาจ

ฟู่เสี่ยวกวนมองวัดที่ถล่มลงมาและยังคงมีไฟลุกโชนอยู่ จากนั้นจึงส่ายศีรษะแล้วยกยิ้มขึ้นมาทันใด

ในเมื่อวัดร้างพังทลายลงแล้ว เขาก็ไร้ที่หลบฝนเสียแล้วสิ

โชคดีเสียเหลือเกินที่กระต่ายย่างตัวนั้นยังคงส่งกลิ่นหอมลอยมา… เอาเถอะ บัดนี้แม้แต่กระต่ายย่างก็มิได้กินแล้ว

“กำจัดจุดลมปราณของนาง แล้วพวกเรารีบเดินหน้าต่อกันเถอะ”

สวี่ซินเหยียนใช้นิ้วกดไปยังจุดตันเถียนของเฉินซีหยุน จึงทำให้เฉินซีหยุนส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาราวกับหมูถูกเชือด ดวงตาที่เดิมทีก็ขุ่นมัวอยู่แล้วยิ่งเบิกกว้างมากยิ่งขึ้น จากนั้นกลับกลายเป็นหมองหม่นลงทันที

ฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ นำเสื้อคลุมสีดำของนางมาฉีกออกช้า ๆ และบรรจง จากนั้นแบ่งเป็นเส้นเล็ก ๆ มัดรวมกันเป็นเชือกยาว

เผิงยวี๋เยี่ยนและสวี่ซินเหยียนคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะแบกแม่ชีเฒ่าผู้นี้ไปด้วย เนื่องจากขาทั้งสองข้างของนางมิอาจใช้การได้แล้ว มิสามารถเดินเองได้ แต่พวกนางกลับคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะใช้เชือกยาวเส้นนี้มัดเข้ากับข้อเท้าของเฉินซีหยุน…

เขาลากเฉินซีหยุนไปพลางบ่นไปพลางว่า “ลัทธิจันทรามีความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น คาดมิถึงว่าแม่ชีจะตัวหนักถึงเพียงนี้ ! ”

ภูเขาที่เปียกชื้นพื้นเป็นหลุมเป็นบ่อ เดิมทีก็เดินทางลำบากอยู่แล้ว พอเฉินซีหยุนถูกฟู่เสี่ยวกวนลากไปทั้งอย่างนั้น ทั้งร่างก็พลันเจ็บปวดขึ้นมาราวกับว่ากระดูกจะหักเสียให้ได้ โดยเฉพาะอย่างบริเวณหลังศีรษะที่กระทบกับพื้นดินและหินอยู่ตลอดเวลา ทำให้นางรู้สึกมึนงงเสียจนมองเห็นดาวระยิบระยับอยู่เบื้องหน้า บัดนี้นางอยากตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

เผิงยวี๋เยี่ยนมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างจริงจัง เจ้าปัญญาชนผู้นี้ดูไร้พิษสง แท้จริงแล้วช่างดุร้ายมากยิ่งนัก !

แต่ทว่าสวี่ซินเหยียนกลับขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล นางเอ่ยขึ้นมาว่า “หากทำเช่นนี้นางคงได้ตกตายไปเป็นแน่”

ฟู่เสี่ยวกวนเบ้ปากหัวเราะ “ข้าต้องการให้นางตายอยู่แล้ว เพียงแต่จะให้นางตายง่าย ๆ ได้เยี่ยงไรเล่า ! ”

“นางกับเจ้ามีความแค้นต่อกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ” เผิงยวี๋เยี่ยนเอ่ยถามด้วยความสงสัย มิเช่นนั้นเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงโหดเหี้ยมกับนางถึงเพียงนี้กัน ?

“มิมีหรอก ! เพียงแต่นางคือศัตรูของข้า การปฏิบัติต่อศัตรู…ข้ามิเคยออมมือ”

จากนั้นท้องนภาก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นมา

หากพวกเขาหันกลับไปมองก็จะพบว่าทางอันคับแคบนี้…เต็มไปด้วยสายโลหิต

มิรู้ว่าฝนหยุดตกตั้งแต่เมื่อใด

ทั้งสามคนหยุดพักตรงบริเวณรอยต่อระหว่างหุบเขาแห่งหนึ่ง

จากนั้นก็สุมกองไฟขึ้นมา สวี่ซินเหยียนจับกระต่ายป่ามาได้ 2 ตัวดังเดิม

สวี่ซินเหยียนกำลังย่างกระต่าย ฟู่เสี่ยวกวนลากเชือกที่มัดกับเฉินซีหยุนเข้ามา

เขานั่งลงข้างกายของเฉินซีหยุนแล้วหัวเราะเหอะ ๆ “อย่าแกล้งตาย เจ้ามิได้มีวิชากัศยปแสร้งตายหรอกหรือ ? จงลืมตาขึ้นมาประเดี๋ยวนี้ ข้ามีคำถาม หากเจ้าตอบได้ถูกใจข้า…ข้าจะทำให้เจ้าจากไปอย่างมิทรมาน”

เฉินซีหยุนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ลมหายใจของนางรวยริน ราวกับสามารถสิ้นใจได้ทุกเมื่อ

ทว่าปากของนางกลับขยับขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้า…จะมิบอกสิ่งใดทั้งสิ้น”

“ดีมาก… ! ” ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถามอันใดออกมาอีก เขาหันหลังไปมองสวี่ซินเหยียน “ขอยืมกระบี่เจ้าใช้สักหน่อยได้หรือไม่ ? ”

สวี่ซินเหยียนยื่นกระบี่ให้กับเขา พลางคิดไปว่าเขาต้องการจะฆ่าแม่ชีผู้นี้เป็นแน่

แต่ว่านางกลับคาดมิถึง ฟู่เสี่ยวกวนเดินถือกระบี่ไปยังป่าไผ่ริมผา ไม่นานก็แบกไม้ไผ่มัดหนึ่งกลับมาด้วย

เขากำลังจะทำอันใดกัน ?

……

……

“ต่อจากนี้จะมีกลิ่นคาวเลือดบ้าง หากพวกเจ้ารับมิไหว อีกประเดี๋ยวก็จงหันหลังไปเสีย”

ฟู่เสี่ยวกวนใช้มีดสั้นเหลาไม้ไผ่อย่างละเมียดละไม ตัดไปด้วยพึมพำไปด้วย “บางคนเกิดมาเพื่อฝึกตน ข้ารู้สึกว่าชีวิตคนเราก็เหมือนกับการท่องเที่ยว การฝึกตนเป็นสิ่งลำบากเหลือเกิน แต่การท่องเที่ยวทำให้จิตใจแจ่มใส”

“ข้าเองก็เคยฝึกตนมาก่อน แต่ก็มิใช่คนดีอันใด แน่นอนว่านั่นคือการกระทำต่อศัตรู…” เขามองไปยังไม้ไผ่ที่เพิ่งเหลาเสร็จแล้วนำมาวางไว้ข้าง ๆ กาย จากนั้นก็ลงมือเหลาต่ออีกหนึ่งเล่ม

“บัดนี้ ข้าเพียงต้องการท่องเที่ยวอย่างสนุกสนานเท่านั้น อยากชื่นชมบรรยากาศตามข้างทางไปเรื่อย ๆ จะมิลืมเลือนสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ข้าต้องการจดจำเรื่องราวตลอดเส้นทางนี้เอาไว้ในความทรงจำ…”

เศษไม้ไผ่กระเด็นลอยไป ไม้ไผ่ในมือถูกเหลาออกไปอย่างง่ายดายราวกับดอกไม้ที่บอบบางก็มิปาน

เผิงยวี๋เยี่ยนและสวี่ซินเหยียนมิได้เอ่ยอันใดออกมา ทำเพียงแค่มองเขาและฟังอย่างนิ่งเงียบเท่านั้น ลอบคิดอยู่ในใจว่าการท่องเที่ยวสำหรับเขาเป็นเยี่ยงไรกัน ?

“เวลาผ่านไปราวสายน้ำ ยากที่จะบรรยาย หากมีชีวิตที่ดี ก็เปรียบได้กับแสงสว่าง…”

“อืม…”

เขาเพ่งไปยังไม้ไผ่แล้ววางไว้ข้างกาย ก่อนจะหยิบออกมาเหลาต่ออีกเล่ม

“แท้จริงแล้ว มนุษย์เรา มิอาจลืมเลือนเรื่องในวันวานได้ อีกทั้งยังวุ่นวายอยู่กับวันนี้ และยัง…มิอาจคาดเดาได้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นเยี่ยงไร”

เขาขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ย ราวกับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้อย่างแท้จริง

“ความทรงจำมิอาจหวนรำลึกได้หมดสิ้น เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกทุกข์สุขที่มิรู้จบสิ้น กวีฮ่าวเทียนจื่อของเมิ่งจื่อ เขียนเอาไว้ว่า ก่อนที่ฟ้าดินจะประทานภารกิจอันยิ่งใหญ่ให้กับผู้ใดสักคน จะต้องฝึกฝนจิตใจของเขาให้พบความปวดร้าวเสียก่อน ให้เขาได้เหน็ดเหนื่อยและหิวโหย ให้ร่างกายของคนผู้นั้นซูบผอม…บ้าสิ้นดี ! ”

“การท่องเที่ยวมิควรเป็นเช่นนี้ ชีวิตคนเรามิควรเป็นเช่นนี้ด้วย ถ้าเยี่ยงนั้นควรเป็นเช่นใดเล่า ? ”

เขาเหลาไม้ไผ่ได้ราว 10 อัน จากนั้นจึงลุกขึ้นบิดขี้เกียจ อีกทั้งยังหาวออกมา

“ข้าคิดว่า คงคล้ายกับการมีแสงสุริยา สายฝนและน้ำค้าง เดินเหยียบย่ำไปบนดอกไม้อย่างผาสุก มีความหลงใหล มิเกลียดการพรากจาก มิเกรงกลัวลมพายุเมฆฝน แม้จะถูกสาดด้วยสุราก็มิตื่นขึ้น…”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า เขามองไปทางเผิงยวี๋เยี่ยนและสวี่ซินเหยียน “ข้าติดจนกลายเป็นนิสัยแล้ว พวกเจ้าอย่าได้นำมาใส่ใจ”

เผิงยวี๋เยี่ยนมองไปที่ชายหนุ่มที่เพิ่งอายุเพียง 18 ปีผู้นี้ รู้สึกว่าเขาเหมือนชายชราอายุ 80 ปี วาจาของเขาเต็มไปด้วยอุดมการณ์และปรัชญาแห่งชีวิต

ความรู้สึกเช่นนี้ ราวกับสุราชั้นเลิศที่เก็บรักษาไว้ได้นานหลายปี มีรสชาติที่หอมกรุ่นชวนหลงใหลยิ่ง

ในใจของสวี่ซินเหยียนเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม นางมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้าแสนยินดี “อ่า แปลกจริงด้วย ราวกับ… ราวกับชายชราที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ”

ประโยคนี้เฉินซีหยุนก็ได้ยินเช่นกัน จิตใจของนางมิอาจสงบลงได้เลย

เมื่อมองย้อนกลับไป ชีวิตนี้นางได้แต่ฝึกตน !

ในความทรงจำของนางไร้ทิวทัศน์ใดซ่อนอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างในความคิดของนางมีเพียงลัทธิจันทราเท่านั้น ทำเพียงเพื่ออนาคตที่มีความหวังน้อยนิดน่าเศร้าของลัทธิจันทราเท่านั้น

ช่างเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดมิมีที่สิ้นสุด ความทุกข์สุขที่เผชิญมิเคยหมดสิ้น

หาได้มีดอกไม้ หรือความรักใด ๆ

ฟู่เสี่ยวกวนนำมือลูบจมูกแล้วนั่งลงข้างเฉินซีหยุน ใบหน้ายังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “ต่อจากนี้ไปอาจจะเจ็บสักหน่อยนะ หากท่านทนมิไหวอย่างแท้จริง ก็จงเอ่ยออกมา”

เขาจับแขนข้างขวาของเฉินซีหยุน แล้วใช้ไม้ไผ่อันหนึ่งแทงเข้าไปในนิ้วกลางของนาง พลางบ่นพึมพำว่า “ดูสิว่าชีวิตนี้ท่านเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“ที่อารามซุ่ยเยว่ แท้จริงแล้วก็ดี ท่านได้ใช้ชีวิตเป็นแม่ชีอย่างเงียบสงบ คอยรับใช้เทพหนี่วา อืม… เป็นการเดินทางแห่งชีวิตที่มิเหมือนผู้ใด”

“แต่ท่านกลับเป็นคนของลัทธิจันทรา กลับไปช่วยเหลือองค์ชายสี่ที่แสนโง่เขลานั่น ต้องคอยหลบแสงสุริยาอยู่ในความมืดมน สกปรก และอับชื้น”

“เพราะเหตุอันใด ? ”

“อ๊าก… ! ” เมื่อไม้ไผ่แทงเข้าไปลึกราว 3 ชุ่น ความเจ็บปวดแสนทรมานก็ได้ทำให้เฉินซีหยุนร้องออกมาอย่างรวดร้าว

ฟู่เสี่ยวกวนเบ้ปาก “ท่านร้องเสียงดังเยี่ยงนี้เนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? ผู้ใดมิรู้คงคิดว่าท่านมีความชื่นชอบแปลก ๆ อดทนเข้าไว้ หากทนได้ถึง 5 นิ้ว ถือว่าท่านชนะ ! ”

“ฟู่เสี่ยวกวน…เจ้าคือปิศาจ ! ”