เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 689
เวลาเปรียบได้ดั่งเม็ดทรายที่ไหลผ่านปลายนิ้วมือไป พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว

เกล็ดหิมะลอยตกลงมา โดยหิมะของเมืองตงหวานี้ เหมือนจะตกลงมาก่อนเมืองเจียงหลินบ้านเกิดของลู่ฝานเสียอีก โอ้ว ไม่ใช่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าเมืองลู่แล้ว

เมื่อพูดถึง เรื่องเมื่อวานนี้เอง ภาษีอากรงวดแรกของเมืองลู่ได้ส่งมอบมาถึงเขาแล้ว ถึงแม้ว่าทางราชสำนักจะนำเงินส่วนมากนั้นไป แต่ส่วนที่เหลืออยู่ก็ถือว่ามากพอสมควรเลย

อย่างน้อยตามที่ลู่เฮ่าหรานพูดนั้น ชั่วชีวิตนี้เขายังไม่เคยพบเห็นเงินมากขนาดนี้มาก่อน

นี่คือผลประโยชน์ด้านหนึ่งของตำแหน่งผู้ตรวจการชั้นกลาง ที่สามารถครอบครองภาษีอากรส่วนหนึ่งของจากทั้งเมืองได้

เมื่อเปรียบเทียบกับผู้เฝ้าเมืองทั่วไปแล้ว อำนาจของลู่ฝานนั้นยิ่งใหญ่จนน่าตกตะลึง อย่างน้อยผู้เฝ้าเมืองคนอื่น ต่างก็รับเงินเดือนจากราชสำนัก ส่วนภาษีอากรนั้น เหอะเหอะ ตนเองก็แค่แอบลักลอบนำเอาส่วนเล็กน้อย ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา แต่หากจะบอกว่าครั้งหนึ่งได้รับกี่ส่วนนั้น ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งอยากจะจบชีวิตแค่ไหนก็คงจะไม่คิดจบชีวิตด้วยวิธีการแบบนี้แน่

หลังจากที่เขาได้พูดคุยกันกับผู้เฝ้าเมืองจางและคนอื่น ๆ แล้ว ลู่ฝานก็พบว่า ตนเองนั้นก็คือราชาท้องถิ่นของเมืองลู่แล้ว ต่อให้จะสังหารผู้คนอย่างไร้เหตุผลในเมืองลู่ ก็ไม่เป็นปัญหา ดั่งที่พูดกันว่า มีอำนาจปกครองแบบเบ็ดเสร็จ

อิทธิพลอำนาจระดับนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ลู่หาวผู้เป็นพ่อและลู่เฮ่าหรานผู้เป็นปู่รู้สึกพึงพอใจอย่างที่สุดแล้ว

ตอนนี้ทั้งสองคนเวลาฝันก็ยังคงยิ้มแย้ม

หลังจากที่ลู่ฝานคิดพิจารณาแล้ว ในตำแหน่งของผู้เฝ้าเมืองลู่นี้ ก็ได้ใส่ชื่อของลู่หมิงไป

ลู่ฝานไม่รู้ว่าเมื่อลู่หมิงได้รับทราบข่าวสารนี้แล้ว จะแสดงอาการอย่างไรบ้าง

อย่างไรก็ตามในจดหมายที่ลู่หมิงส่งกลับมานั้น ลู่ฝานเห็นว่าตัวอักษรที่เขาเขียนล้วนไม่หนักแน่น

นั่นเป็นเพราะ ตอนที่เขียนจดหมายนั้น มือของเขากำลังสั่นเทา ใช้แรงกำลังได้ไม่เต็มที่

การที่มีเมืองแห่งหนึ่งเป็นฐานที่มั่นคงหนักแน่นของตระกูลลู่ ทำให้ตระกูลลู่ในวันนี้ มีพัฒนาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปทุกวัน

คฤหาสน์เพียงหลังเดียว ไม่เพียงพอต่อการที่ตระกูลลู่จะทำการขยับขยายแล้ว

ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงหนึ่งเดือน คฤหาสน์ของตระกูลลู่ก็เพิ่มมากขึ้นสิบหลัง ทั้งในแบบเปิดเผย และแบบแอบแฝงเอาไว้ก็มีทั้งหมด

ร้านค้าก็มีเพิ่มมากขึ้นสิบกว่าแห่ง โดยไม่มีผู้ใดกล้าที่จะมาแย่งกิจการค้าขายจากตระกูลลู่

ถึงขนาดที่ว่ามีร้านค้าจำนวนไม่น้อยที่ยอมแขวนป้ายร้านเป็นชื่อตระกูลลู่ และยอมที่จะจ่ายเงินให้กับตระกูลลู่ในแต่ละปีอีกด้วย

เวลานี้ พวกลูกหลานของตระกูลลู่ แต่ละคนต่างก็องอาจห้าวหาญ ไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจ อย่างกับตอนที่เพิ่งเข้ามาในเมืองใหม่ ๆ

เมืองใหญ่ แล้วอย่างไรล่ะ?

ตระกูลลู่ของฉัน ก็ยังสามารถที่จะเชิดหน้าชูตาได้เหมือนกัน

เพราะเหตุนี้เอง ลู่ฝานจึงได้กำหนดกฏระเบียบของตระกูลขึ้นโดยเฉพาะ ห้ามลูกหลานของตระกูลลู่ออกไปกำเริบเสิบสานและสร้างปัญหาความวุ่นวายเป็นอันขาด

หลังจากที่จัดการกำราบพวกลูกหลานที่โอ้อวดทะนงตนเหล่านั้นแล้ว ภาพลักษณ์ของตระกูลลู่ก็ดีขึ้นในทุกด้าน และเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นไปอีก

ดูจากสถานการณ์นี้แล้ว ไม่ถึงหนึ่งปี ตระกูลลู่ก็จะสามารถลงหลักปักฐานในเมืองตงหวาได้อย่างมั่นคงแล้ว บางที ในอีกไม่กี่ปี ชื่อของตระกูลลู่อาจจะโด่งดัง ไปทั่วทั้งเขตตงหวาเลยก็เป็นได้

ในช่วงเวลานี้ลู่หาว และลู่เฮ่าหราน ยุ่งวุ่นวายอย่างมากเลยทีเดียว

ตระกูลลู่กำลังขยับขยาย พวกลูกหลานที่เต็มใจโยกย้ายมาจากบ้านเกิดก็ต้องดูแล ส่วนนักบู๊ที่ปกป้องดูแลคฤหาสน์ ก็ต้องรับสมัครเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งชุด

เพราะว่าลำพังอาศัยแค่คนที่ทางจวนหัวหน้าเขตส่งมานั้น มันไม่เพียงพอต่อความเป็นจริง

หนึ่งตระกูล ยังไงก็จะต้องมีลูกน้องทีมงานเป็นของตัวเองด้วย

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกลูกหลานของตระกูลลู่ล้วนแต่มีวิทยายุทธที่ค่อนข้างต่ำ

ดังนั้น ลู่ฝานจึงได้ทำการเปิดเตากลั่นยาบางชนิดให้กับพวกเขาโดยเฉพาะ

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แผนการระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดนั้น ก็คือทักษะวิชาบู๊ และการอบรมสั่งสอนจากยอดฝีมือ

ตระกูลลู่แต่เดิมนั้น ไม่มียอดฝีมือ ในเมืองเล็กมีนักบู๊แดนปราณนอกคนหนึ่งก็ถือว่าสุดยอดแล้ว ต่อให้ต้องการจะพัฒนาพลังความสามารถขึ้นไปอีก ก็ไม่มีผู้ใดที่จะชี้แนะได้

แต่เมื่อมาถึงที่นี่ ล้วนเต็มไปด้วยยอดฝีมือทั้งนั้น

นักบู๊แดนปราณนอกนั้น เมื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลอง ก็จะสามารถพบเจอได้เป็นกอง

พวกลูกหลานของตระกูลลู่ที่สำนึกจากความผิดพลาด ต่างก็ตั้งใจฝึกฝนวิชาบู๊กันอย่างขะมักเขม้น กอปรกับตระกูลลู่เองตอนนี้ก็มีเงินทองมากมาย สมุนไพรหรือยาต่าง ๆ ก็ไม่เป็นปัญหา เพียงแค่แสดงพรสวรรค์ออกมาอย่างเต็มที่ ก็จะได้รับการบ่มเพาะฝึกฝนเป็นอย่างดีจากตระกูล

สำหรับวิชาบู๊นั้น ก็ไม่ใช่วิชาบู๊ระดับคนที่ไม่ได้เรื่องอีกแล้ว อย่างน้อยจะเริ่มต้นจากระดับทิพย์ ส่วนวิชาสุดยอดกายทองไฟอาบของตระกูลลู่นั้นก็กลายเป็นวิชาทั่วไป ที่ผู้ใดก็สามารถฝึกฝนได้แล้ว

ส่วนวิชาระดับดินที่แข็งแกร่งกว่านั้นก็มี โดยลู่ฝานได้มอบเคล็ดวิชาบู๊สองชุดที่เขาได้ศึกษาร่ำเรียนมาจากสถาบันสอนวิชาบู๊เอาไว้ให้ ซึ่งได้แก่กระบี่ฆ่าพิชิตฟ้า และหมัดมังกรเพลิงคำราม!

บวกกับด้านบนของฉากกั้นห้องที่ทางหัวหน้าเขตอี้ว์ได้มอบให้นั้นก็ยังมีเคล็ดวิชาบู๊อีกหนึ่งชุด ทำให้ตระกูลลู่มีเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินสามชุดเป็นทักษะพื้นฐานแล้ว

โดยทักษะพื้นฐานเหล่านี้ พูดได้เลยว่า เพียบพร้อมด้วยท่วงท่าลักษณะของความเป็นตระกูลใหญ่แล้ว