บทที่ 4 บทที่ 60-2 ‘แอนนา’

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 60-2 ‘แอนนา’ โดย Ink Stone_Fantasy

ท้องฟ้าของมอสโกยังคงเย็นสดชื่นเหมือนเดิม เช่นเดียวกับตอนที่ตัวเขามาที่นี่ครั้งแรก…ตอนนั้นเขามาพร้อมกับความฝันสินะ?

เขาทุ่มเงินทั้งหมดไปกับการวาดภาพที่ไม่มีคนเดินถนนคนไหนยอมซื้อมัน สุดท้ายก็ได้แต่วาดรูปตามถนนไปเรื่อยๆ

จำได้ว่าครึ่งปีก่อนอากาศหนาวมาก ส่วนตัวเขาได้แต่นอนตากหิมะบนถนนจนเกือบแข็งตาย

สองมือของเขาล้วงกระเป๋ากางเกง กำลังเดินอยู่บนถนนอย่างไร้จุดหมาย โดยเลิกคิดไปแล้วว่าโดนไล่ออกเพราะอะไร…ที่สำคัญกว่าคือ ควรจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรดี

“ความฝันกินแทนข้าวไม่ได้นะ”

ยูริจำเจ้าของคำพูดนี้ไม่ได้แล้ว…บางทีตัวเขาอาจไม่มีพรสวรรค์จริงๆ ได้แต่ใช้แรงผลักดันทั้งหมดมาประคับประคองสิ่งที่เรียกว่าความฝัน

แต่เพื่ออาหารสามมื้อและเสื้อผ้านุ่งห่ม เขาก็ควรเริ่มครุ่นคิดให้ดีแล้ว…ว่าถึงเวลาละทิ้งความฝันแล้วหรือยัง

“ที่นี่คือ…”

ยูริหยุดฝีเท้า เขาไม่รู้ตัวว่ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร…อาจเพราะเขามัวแต่คิดปัญหาต่างๆ จนเผลอเดินมาที่นี่อีกครั้ง

ตึกเก่านี้มีด้านหนึ่งก่อด้วยกำแพงอิฐสีแดง ยูริค่อยๆ มองภาพวาดเมืองที่บิดเบี้ยวตรงกำแพงนี้คนเดียว

เขานึกย้อนแล้วก็ตลกตัวเอง…ทำไมตอนนั้นถึงมุ่งมั่นวาดภาพอยู่ที่นี่ทั้งที่หนาวขนาดนั้นได้นะ?

เขาเหมือนมีแรงผลักดันบางอย่าง ให้เติมเส้นไปบนภาพที่เขายอมแพ้ไปตอนนั้น…ไหนๆ วันนี้เขาก็ว่างอยู่แล้ว

ยูริจึงก้มหาก้อนหินบนพื้นขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วเดินไปที่ขอบกำแพงพร้อมกับหลับตาลง

หลังจากผ่านไปสักพัก เขาถึงเริ่มลงมือใช้มุมแหลมของหินวาดรอยสีขาวอ่อนทีละเส้นๆ

ภาพนี้วาดได้ยังไม่สมบูรณ์ดี…ตอนนี้ก็แค่เพิ่มสิ่งที่ตกหล่นไปบางอย่าง เหมือนจะใช้เวลาไม่นาน…แต่ก็เหมือนใช้เวลานาน

“เหมือน…ยังขาดอะไรไป”

จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำชัดเจนดังขึ้นจากด้านหลัง ยูริจึงหันตัวไปมองทันที แล้วก็พบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมาอยู่ที่ด้านหลังเขา

ใส่หมวกแก๊ป ผ้าปิดปาก และชุดกีฬาทั้งตัว…คงจะเป็นคนที่มาวิ่งตอนเช้าล่ะมั้ง แต่เขาคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้มาก “คุณคือ?”

ผ้าปิดปากของนักวิ่งยามเช้าขยับเล็กน้อย เหมือนกำลังอมยิ้มเล็กน้อย “คุณมีความฝันไหมครับ?”

“ความฝัน?” ยูริอึ้งไป

นักวิ่งยามเช้า “อ่า คุณคงลืมไปแล้ว หน้าหนาวปีที่แล้ว ผมเคยถามคุณว่าอากาศหนาวขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เผาถ่านในมือเพิ่มความอุ่น”

ความทรงจำเมื่อครั้งนั้นแวบเข้าหัวทันที ยูริยิ้มพร้อมกับพูดปลงว่า “ถ้าเป็นตอนนี้ ผมคงจะเผาถ่านในมือก้อนนั้นทิ้ง”

นักวิ่งอึ้งไป จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดเบาๆ ว่า “งั้นก็น่าเสียดายมากนะครับ”

ยูริยักไหล่ เงยหน้าขึ้นมองภาพวาดขนาดใหญ่ภาพนี้ แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “ก็ไม่แน่ ยังไงก็ไม่มีใครชอบภาพนี้”

“งั้นผมไม่รบกวนคุณแล้วครับ” นักวิ่งยามเช้าบอกลาอย่างสุภาพ

ยูริพยักหน้าเล็กน้อยตอบกลับ ตอนที่เขาเห็นนักวิ่งยามเช้ากำลังหันตัวไป ก็เผลอร้องเรียกอีกฝ่ายไว้ “เดี๋ยวก่อนครับ ช่วยผมสักอย่างได้ไหมครับ?”

“คุณมีอะไรให้ช่วยหรือครับ?”

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ยูริมักรู้สึกว่าเสียงของอีกฝ่ายเย็นชาเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก “ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอขี่หลังหน่อยได้ไหมครับ?”

“ขี่หลัง?”

“ใช่แล้ว ไปทางซ้ายหน่อย อีกหน่อย โอเคแล้วๆ ตรงนี้แหละครับ! นิ่งๆ นะครับ! อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้วครับ!”

ด้านล่างกำแพงอิฐเก่าแก่ นักวิ่งยามเช้าให้ยืมขี่ไหล่ของตัวเอง เพื่อให้เขาไปถึงจุดที่อยู่สูงขึ้นได้

ยูริล้วงหลอดสีจากในเสื้อออกมา ปกติแล้วเขามักจะพกสีจำนวนหนึ่งติดตัวไว้เสมอ…

เขาเริ่มบีบสีจากในหลอดออกมาทั้งหมด ก่อนค่อยๆ ใช้นิ้วแต้มไปที่ด้านซ้ายบนของภาพวาดนี้

สีเหลืองมะนาว

วงกลมหนึ่งวง…พระอาทิตย์หนึ่งดวง

ในเมืองที่บิดเบี้ยว พระอาทิตย์สีเหลืองสดดูขัดกับสีดำมืดของภาพวาดอย่างมาก จนแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด…พอวางยูริลง นักวิ่งยามเช้ากลับจ้องมองอยู่นาน

จู่ๆ เขาก็พูดเสียงเบาว่า “ผมว่าคุณคิดผิดไปนะครับ ที่ว่าไม่มีคนชอบภาพนี้ อย่างน้อยผมก็ชอบมันมาก ในที่สุดผมก็ได้เห็นมันเสร็จสมบูรณ์สักที”

ยูริยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “คุณเป็นคนแปลกจริงๆ”

แล้วยูริก็ส่ายหน้าอีกครั้ง “ผมเสียเวลาไปมากแล้ว ตอนนี้ผมจะต้องไปหางานใหม่ ไม่งั้นครั้งหน้าผมคงไม่เหลือแม้แต่ถ่าน…ลาก่อนนะครับ ดีใจมากๆ ที่ได้พบคุณอีกครั้ง”

“ผมขอทราบชื่อคุณได้ไหมครับ?”

“ยูริ ผมชื่อยูริ”

“คุณชอบวาดรูปไหม?”

ยูริเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าพูดว่า “ตอนนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ”

ทันใดนั้นนักวิ่งยามเช้าก็หยิบปากกาออกมาจากด้านหน้าเสื้อ “ขอมือได้ไหมครับ”

เขาเขียนเบอร์โทรศัพท์ไว้ในมือยูริ แล้วบอกเขาว่า “ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง ชอบวาดรูปเหมือนคุณเลย ว่างๆ ก็ลองคุยดูนะครับ ผมแนะนำให้คุณลองเรียนรู้จากเขา อืม…คุณบอกเขาว่าเพื่อนเก่าที่ชื่อวลาดิมีโรวิชในคลาสยูโดแนะนำมาก็แล้วกัน”

“ยูโด?”

“หวังว่าอีกหน่อยจะได้เห็นผลงานของคุณนะครับ” นักวิ่งยามเช้าพูดชื่อเขาอย่างเรียบเฉยอีกครั้ง “คุณยูริ”

“ที่แท้ก็คนมีเงิน”

ยูริมองเบอร์โทรที่เขียนอยู่บนฝ่ามือตัวเอง แล้วก็มองรถเก๋งสีดำคันหนึ่งที่นักวิ่งยามเช้าคนนี้ขึ้นไปนั่ง…คนขับรถดูกำยำไปหน่อยหรือเปล่า?

คงจะเป็นบอดี้การ์ดล่ะสิ?

ยูริครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกดเบอร์โทรออก

“สวัสดีครับ ที่นี่สถาบันเรปินอาร์ต ผมคือศาสตราจารย์อาบูเลมีร์ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”

ยูริยื่นมือไปตบหน้าตัวเองทันที… สถาบันเรปินอาร์ต…สถาบันโรยัลอาร์ต…อาบูเลมีร์…ผู้มีอิทธิพลในวงการศิลปะนี่!

“วลาดิมีโรวิช…วลาดิมีโรวิช…ยูโด?” ยูริใจเต้นไม่เป็นจังหวะเฉียบพลัน “คงไม่ใช่…เขา!! นี่ฉันขี่หลังเขางั้นเหรอ…!!”

ยูริหันขวับกลับมาดูภาพวาดบนกำแพง

วันนี้เทพแห่งโชคลาภคงเห็นใจเขาแล้วสินะ “ฮัลโหลๆ? สวัสดี? ฮัลโหลๆ? ยังอยู่ในสายไหมครับ?”

“โอ้…สวัสดีครับ!ผมยังอยู่!ผมยังอยู่!ผมชื่อยูริ ขอโทษที่โทรหาครับศาสตราจารย์อาบูเลมีร์ คืออย่างนี้ครับ มีคน…”

ลั่วชิวอ่านเนื้อหาในม้วนหนังแกะบนมือช้าๆ

“ข้อหนึ่งให้คุณยูริลืมทุกอย่างเกี่ยวกับคุณและคุณเยฟิม แล้วย้อนความจำของเขากลับไปก่อนได้เจอกับคุณ…สำเร็จ”

“ข้อสอง ให้โอกาสเขาไล่ตามความฝัน…สำเร็จ”

“ข้อสาม ทำให้คุณยูริกลับไปมีอายุขัยเพิ่มขึ้นยี่สิบห้าปีอีกครั้ง…อืม ขอโทษนะครับคุณแอนนา ก่อนหน้านี้คุณยูริเคยแลกเปลี่ยนกับพวกเรามาแล้ว และวิญญาณของคุณไม่พอซื้ออายุขัยทั้งหมดของเขากลับมา มากสุดก็ได้แค่ยี่สิบห้าปีเท่านั้นครับ”

ลั่วชิวม้วนหนังแกะขึ้นอย่างเบามือ อยู่ภายในบ้านเก่าของโอเล็ก ซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่พักชั่วคราวของเขา เขามองแอนนาที่อยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนพูดเสียงเบาว่า “ขอโทษนะครับ ที่พูดไปข้างต้นตรงกับสิ่งที่คุณแอนนาต้องการแล้วใช่หรือเปล่าครับ?”

“โอเคแล้วค่ะ” แอนนาพยักหน้าน้อยๆ

ตอนนี้เธอสงบลงมากอย่างชัดเจน

เธอสงบนิ่งมาก และตอนนี้เอง เธอก็ค่อยๆ ปิดตาของตัวเองลง ยอมรับชะตากรรมหลังจากนี้เพียงลำพัง

ตาย…เธอต้องมอบวิญญาณให้กับอีกฝ่าย แม้นไม่รู้ว่าวิญญาณเป็นแบบไหน แต่เธอกลับรู้จักความตาย

ผ่านไปสักพัก แอนนากลับไม่ได้รู้สึกแปลกไปจากเดิม

นี่ทำให้เธอจำต้องลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“คุณแอนนา ผมมีเรื่องที่สงสัยมากๆ อยู่เรื่องหนึ่ง”

ลั่วชิวพูดถามเสียงเบา “คุณบอกว่าตอนแรกเยฟิมกับภัณฑารักษ์รวมหัวกันขโมยภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ออกมา ความจริงภัณฑารักษ์อาศัยช่วงบำรุงรักษาภาพประจำวันแอบเอาสีชนิดพิเศษไปทาไว้บนภาพ จากนั้นก็แขวนขึ้นไปใหม่ สีประเภทนี้จะทำให้สีค่อยๆ จาง จะต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงสองครั้งเริ่มจากยังเห็นจนกระทั่งหายไป”

“อืม…” ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนแขวนขึ้นไปยังปกติดี แต่พอใช้รังสีพิเศษยิงใส่ สีพิเศษก็จะปรากฏออกมา ภาพดีๆ ก็จางจนสีเหมือนกรอบรูป ดูเผินๆ แล้วอาจคิดว่าภาพจริงหายไป หลังจากนั้นก็ทำได้แค่แจ้งความ รอให้ตำรวจถามแล้ว ค่อยเอาภาพที่เหลือแต่ ‘กรอบภาพ’ ออกมา ก็ไม่มีใครรู้แล้ว…”

แอนนาถามอย่างเฉยเมยว่า “คุณอยากพูดอะไรกันแน่?”

“ไม่มีอะไรครับ” เจ้าของร้านลั่วเดินผ่านมาหลายก้าวจนถึงตรงห้องรับแขก

ตรงนี้มีขาตั้งภาพอันหนึ่งวางไว้ เขาดึงผ้าคลุมรูปบนขาตั้งภาพนั้นออก เผยให้เห็นภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ภาพหนึ่ง

“นี่…พวกคุณเอามันออกมาจากแกลเลอรี?”

“ไม่ นี่ไม่ใช่ที่แขวนอยู่ในแกลเลอรีตอนนี้ คุณยูริวาดภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ภาพที่สองที่คฤหาสน์…แต่เป็นภาพแรกที่ประมูลในงานของคุณแอนนาครับ”

“เป็นไปไม่ได้ เห็นชัดๆ ว่ายูริทำลายมันไปแล้ว!”

“อืม ผมเก็บกลับมา แล้วก็แอบซ่อมแซมเล็กน้อย” ลั่วชิวยื่นมือไปลูบภาพนี้เบาๆ ก่อนจ้องตาคู่สวยของแอนนา “ระหว่างที่ซ่อมก็เจอเรื่องที่น่าสนใจบางอย่าง เกี่ยวกับสีที่ผมเพิ่งพูดไป”

สีบนภาพค่อยๆ กระจายตัวออกเหลือเป็นคราบเล็กน้อย เหมือนถูกซักขาวอย่างไรอย่างนั้น

แล้วภาพสุภาพสตรีนิรนามก็หายไปไม่เหลือร่องรอย

แต่กลับมีภาพหญิงสาวเปื้อนยิ้มมาแทนที่…เธอมีแววตาอันน่าหลงใหล และรอยยิ้มสวยหยาดเยิ้ม

“ยูริ…”

แอนนายกมือทั้งสองขึ้นปิดปากตัวเองไว้ ก่อนมองภาพวาดแท้จริงที่ซ่อนอยู่อย่างเหม่อลอย

น้ำตาหยดแรกไหลรินจากตาทั้งสองข้างของเธอ พร้อมกับเสียงสะอื้นไม่ขาดสาย

“ขอบคุณ…ที่เคยรักฉัน”

ระหว่างสีดำและสีขาว สีสันต่างๆ ค่อยๆ แพร่กระจายขยายวงออกมา ไม่ได้สว่าง และก็ไม่ได้กว้าง เป็นแค่เพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ก็เพียงพอให้เจ้าของร้านลั่วหลงใหลและชื่นชมอยู่เงียบๆ

ลูกไฟวิญญาณลอยออกมาจากหน้าผากของแอนนาช้าๆ มันเหมือนดอกแดนดิไลออนล่องลอยไปตามทาง จนสุดท้ายก็ตกมาอยู่บนฝ่ามือลั่วชิว

สีสันแวววาวของมันค่อยๆ ลดลงทีละนิดทีละนิด

“สูงกว่าระดับมาตรฐาน”

คุณสาวใช้ที่กำลังรอคอยอยู่เงียบๆ ก็พูดเสียงเบา พร้อมกับอมยิ้มอยู่ข้างกายนายท่าน “ยินดีด้วยค่ะ”

ลั่วชิวดูอารมณ์ดีทีเดียว เขาหิ้วรูปลงมาจากชั้นวางภาพพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วเพ่งพิจารณาอย่างละเอียด “พอกลับไปแล้ว หาที่แขวนภาพสักที่เถอะ”

“รับทราบค่ะ” คุณสาวใช้ตอบรับเสียงเบา แล้วพูดว่า “เสียดายก็แค่ ยูริสูญเสียความทรงจำไปหมดแล้ว เลยยังไม่ทันตั้งชื่อให้มัน”

“ตั้งชื่อ?” ลั่วชิวอึ้งไป จากนั้นก็พูดพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “มันมีชื่อมานานแล้วไม่ใช่เหรอ? เธอดูสิ เขาวาดใคร?”

ให้ชื่อว่า…

‘แอนนา’