บทที่ 548 ลือกระฉ่อน
“ไม่ต้องมาทำตัวเหมือนว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะความล้มเหลวในชีวิตรักของเจ้า! มันเป็นเพราะชีวิตรักของเจ้ามันเฮงซวยจนทำให้เราต้องมาตกอยู่ในความฉิบหายเช่นนี้!

“เฮงซวย! มุมมองเรื่องความรักของเจ้ามันเฮงซวยที่สุด! หากเจ้ารักฟลอเรนเซียจริงๆ เจ้าย่อมไม่มีทางทำร้ายนางครั้งแล้วครั้งเล่า! เจ้ามันโสโครกน่ารังเกียจ!”

เมื่อลูเซียนมาถึงห้องสมุดของเฟอร์นันโดบนหอคอยชั้นที่สามสิบสาม เขาก็ได้ยินเสียงคำรามกึกก้องของอาจารย์ ส่วนโอลิเวอร์นั่งหลบมุมอยู่อีกทางด้านหนึ่ง มิกล้าเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งพายุเลยสักนิด ดูน่าสังเวชเหมือนกับเรือลำน้อยท่ามลางพายุโหมกระหน่ำ

“อาจารย์ขอรับ เกิดอะไรขึ้นเช่นนั้นหรือ” ลูเซียนพยายามใช้เวทพยากรณ์ขณะอยู่ในลิฟต์ แต่มันกลับไม่แสดงผลอันใด

เป็นตอนนั้นเองที่เฟอร์นันโดหยุดสาดน้ำลาย “เจ้าลูกเต่าโง่ที่ในหัวมีแต่เรื่องทางเพศกับเรื่องบ้าบอลืมซ่อนรายงานของเจ้าหลังจากอ่านมันเสร็จ! แล้วเขาก็พาดักลาสเข้าไปในห้องสมุดทั้งอย่างนั้น!”

ในหัวลูเซียนพลันทำงานหนัก ก่อนที่เขาจะถามด้วยความตกตะลึงและวิตกกังวล “ท่านประธานไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ”

“ท่านไม่เป็นไร ศีรษะของท่านดักลาสไม่ได้ระเบิด และโลกแห่งปัญญาของท่านก็ไม่ถูกแช่แข็ง” โอลิเวอร์แย้มยิ้มขื่นขม กล้ามเนื้อบนใบหน้าเขากระตุกเล็กน้อย

หัวใจลูเซียนกลับมาสงบดังเดิม “นั่นเป็นเรื่องดีขอรับ มันช่วยแก้ปัญหาที่เรากังวลกันมาตลอด ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าท่านประธานจะค้นพบเส้นทางสู่การเลื่อนระดับพลังขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งได้หรือไม่”

เฟอร์นันโดถลึงตาใส่โอลิเวอร์ “เหตุใดเจ้าไม่เล่าให้จบล่ะ ดักลาสได้อ่านเพียงมูลบทในรายงานของเจ้าแล้วอนุมานเนื้อหาส่วนที่เหลือด้วยตัวเอง เขายังไม่ค้นพบอิทธิพลของสัมพัธภาพ หากว่าเขาบังเอิญค้นพบมันตอนอ่านวารสารแล้วลงมือทำการทดลองล่ะก็นะ โอลิเวอร์ เจ้าคงจะกลายเป็นนักบุญที่น่ายกย่องที่สุดของศาสนจักร!”

“ข้าไม่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรอก ท่านประธานกลับไปด้วยอารมณ์มั่นคงดี อีกอย่าง ท่านยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับสมองด้วยแนวคิดเชิงปรัชญาของลูเซียนเกี่ยวกับความจริงสมบูรณ์และความจริงสัมพัทธ์แล้วด้วย ข้าเชื่อว่า แม้ว่าท่านจะได้อ่านบทความและทำการทดลองจริงๆ ท่านก็จะยอมรับพวกมันได้หลังจากตกตะลึงในช่วงแรก” โอลิเวอร์คิดไปในแง่ดี หรือพูดให้ถูกคือ ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้นอกจากคิดในแง่ดี

เฟอร์นันโดสะกดกลั้นโทสะเอาไว้ “โอลิเวอร์ สักวันหนึ่งเจ้าคงตายเพราะชีวิตรักแสนยุ่งเหยิงของเจ้า! เราไปที่แดนสัจธรรมกันก่อนเถิด ข้าหวังว่ามันจะยังอยู่นะ…”

มิติพิเศษของมหาจอมเวททั้งเจ็ดและจอมเวทระดับตำนานทั้งสิบต่างเชื่อมต่อกับหอคอยเวทมนตร์อัลลิน ดังนั้นเฟอร์นันโดจึงเปิดประตูมิติเข้าไปได้

เมื่อเห็นว่าแดนสัจธรรมยังคงงดงามเหมือนเคย และทะเลสาบก็ยังคงสั่นเป็นระลอกคลื่นเปล่งแสงวิบวับภายใต้สายลมโชยอ่อน เฟอร์นันโดจึงรู้สึกหวาดหวั่นน้อยลง เขาตวัดสายตาไปทางโอลิเวอร์และกล่าวว่า “เจ้าโชคดีมากทีเดียว”

ทั้งสามเดินตามหุ่นกระบอกผ่านโถงทางเดินยาวจนมาถึงห้องสมุดของดักลาส เพียงเพื่อจะพบว่าเขากำลังยืนจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง

“ดักลาส ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้อ่านงานเขียนของลูเซียนแล้ว เจ้ามีความเห็นอย่างไรบ้าง” เฟอร์นันโดใช้ลูเซียนเป็นข้ออ้างในการมาเยี่ยมเยือนครั้งนี้

ดักลาสยังคงสวมเสื้อโค้ตชายยาวสีดำ แต่หูกระต่ายกลับถูกดึงให้หลวมราวกับว่าเขาพยายามจะทำให้ตัวเองหายใจได้สะดวกขึ้น เขาหันกลับมามองทั้งสามคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ความจริงแล้ว พวกเจ้าอาจมาช้าเกินไป ข้าทำการทดลองกับเครื่องไซโคลตรอนไปแล้วล่ะ”

“โลกแห่งปัญญาของเจ้ามิได้พังทลายและถูกแช่แข็งใช่หรือไม่” เฟอร์นันโดรับมือกับผลลัพธ์เช่นนั้นได้

ในเมื่อดักลาสยังคงยืนอยู่ตรงนี้ ผลลัพธ์ร้ายแรงที่สุดคงไม่ย่ำแย่นัก

ดักลาสส่ายศีรษะ ใบหน้าอิดโรยของเขายังเต็มไปด้วยความสับสนมึนงง “ต้องขอบคุณจริงๆ ที่สภาพจิตใจข้าเตรียมพร้อมมาแล้วไม่มากก็น้อย ข้าเคยพบเจอปัญหาคล้ายกันนี้ในอดีต และข้านึกถึงแนวคิดของลูเซียนเกี่ยวกับความจริงสมบูรณ์และความจริงสัมพัทธ์ขึ้นมาได้ สุดท้าย ข้าก็สร้างโครงประกอบของโลกแห่งปัญญาได้จากระดับสูงลงมาและผสมผสานองค์ความรู้แต่เดิมของข้าเข้าไป แม้ว่ามันจะสั่นคลอนและได้รับความเสียหาย แต่โลกแห่งปัญญาของข้าก็ยังมิถูกพังทลายและแช่แข็ง”

ลูเซียนเดาะลิ้นด้วยความอึ้งทึ่ง ช่างสมแล้วที่บุรุษแสนอัศจรรย์ผู้นี้คือผู้ที่สร้างสภาเวทมนตร์ขึ้นโดยเริ่มจากศูนย์ มีเพียงสหาย ผู้น้อย และลูกศิษย์ไม่กี่คนของเขาเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากที่อาร์คานาศาสตร์พัฒนาไป หลังจากการโค่นล้มทฤษฎีต่างๆ และการลอบสังหารของศาสนจักร เขาสมควรได้รับการเรียกขานว่าเป็นตำนานในทุกๆ แง่มุม หากเป็นลูเซียน เขาอาจจะไม่เปิดใจกว้างถึงเพียงนี้เพื่อยอมรับมัน เป็นไปได้มากทีเดียวที่โลกแห่งปัญญาของเขาจะพังทลายและถูกแช่แข็งไปแล้ว

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะสามารถเลื่อนขั้นไปได้อีกนะ” ความกังวลก่อนหน้านี้ของเฟอร์นันโดและโอลิเวอร์หายไปในที่สุด

ดักลาสส่ายหน้าพลางยิ้มขื่น “ยังหรอก ข้าโชคดีในครั้งนี้เพราะสิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดจากรายงานของลูเซียนหาใช่การหักล้างระบบการเคลื่อนไหว แต่เป็นความเข้าใจต่อเวลาและอวกาศในรูปแบบใหม่ต่างหากเล่า”

“ในระหว่างการวิจัยและการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ข้าก็พอจะมีแนวคิดคล้ายกันนี้ในเรื่องของการเคลื่อนไหว เว้นแต่ว่าข้ายึดติดกับความรู้อันล้าสมัยของข้าเกินกว่าจะโค่นล้มความคิดของตัวเองได้ แต่ว่าความเข้าใจเกี่ยวกับเวลาและอวกาศที่อยู่เหนือจินตนาการได้หักล้างความรู้ของข้าอย่างแท้จริง โลกที่เคยค่อนข้างชัดเจนสำหรับข้าจู่ๆ ก็กลับกลายเป็นพร่าเลือน ต้องขอบคุณที่ข้าสามารถบอกได้ว่าการสำรวจเรื่องเวลาและอวกาศของเจ้ายังเป็นเพียงขั้นต้นและมีข้อบกพร่อง นั่นคือเหตุผลที่ข้ายังรับมันไหว”

ลูเซียนแย้มยิ้ม “มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ขอรับที่จะยอมรับหรือเข้าใจเวลาและอวกาศสัมพัทธ์ ข้าหวังว่าในอนาคตท่านประธานจะสามารถสำรวจปริศนาลี้ลับแห่งเวลาและอวกาศไปด้วยกันกับข้านะขอรับ”

“รอจนกว่าข้าจะเข้าใจงานเขียนชิ้นนี้ก่อนเถิดนะ” ดักลาสยิ้มอ่อน ดวงตากระจ่างใสของเขาบังเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย “อะไรคือเวลา และอะไรคืออวกาศ คำถามพวกนี้กวนใจข้าไม่น้อย”

“เจ้าอาจจะเลื่อนระดับขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพได้หลังจากเข้าใจงานเขียนของลูเซียน” เฟอร์นันโดจงใจเปลี่ยนเรื่อง เผื่อว่าดักลาสจะจมปลักอยู่ในโลกของคำถามว่าเหตุใด

ดักลาสส่งสัญญาณเชิญทั้งสามให้นั่งลงก่อนส่งยิ้มให้ “มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย การเปลี่ยนแปลงในระบบการเคลื่อนไหวแทบจะเรียกว่าช่วยพัฒนาพลังของข้าได้เพียงน้อยนิด มันเพียงแต่ทำให้การร่ายคาถาง่ายขึ้น หากจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ ข้าต้องเข้าใจความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของเวลาและอวกาศอย่างถ่องแท้ หรือไม่ก็เข้าใจเรื่องแรงโน้มถ่วงในระดับลึกกว่านี้ มันก็เหมือนกับที่บรูคต้องตระหนักถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างแท้จริงและเข้าใจในพลังแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมโลกแห่งปัญญาขึ้นใหม่ มีเพียงสิ่งที่เชื่อมโยงกับต้นกำเนิดเท่านั้นที่จะช่วยให้คนคนหนึ่งเลื่อนขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพได้”

เขาใช้ชีวิตอยู่กับระดับสูงสุดของชั้นตำนานมานานมากพอ และเขาก็มีความรู้อันลึกล้ำ แม้ว่าเขาจะยังไม่พบเส้นทางที่ถูกต้องเพื่อก้าวไปอีกขั้น แต่ก็นับว่าเขาได้ค้นพบบางอย่างจริงๆ

หลังจากนั้น เขาไม่ได้พูดต่อเรื่องนั้น กลับส่งยิ้มให้ลูเซียน “ข้าอนุมานสูตรการแปลงของโอลิเวอร์แล้วล่ะ แต่เหตุใดข้าจึงหาสมการมวลสาร-พลังงานอย่างในงานเขียนของเจ้าไม่ได้กันเล่า”

ลูเซียนรู้ได้ทันทีว่าพวกเขามาที่นี่เร็วเกินไป มิเช่นนั้น ด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านอาร์คานาศาสตร์ของท่านประธาน เขาย่อมไขปริศนาได้ในเร็ววันนี้ ดังนั้นลูเซียนจึงหันไปสั่งหุ่นกระบอกให้นำกระดาษกับปากกามาเพื่อทำการอนุมานบัดเดี๋ยวนั้น

“มวลสาร พลังงาน… มิน่าเล่า ปฏิกิริยาฟิวชันอะตอมของเจ้าจึงได้ทรงพลังนัก” ดักลาสสังเกตการณ์สูตรด้วยดวงตาเปล่งประกาย “แม้ว่าจะมีแบบจำลองหลักๆ อีกมากมายที่ยังอธิบายไม่ได้ แต่ข้าเชื่อว่าข้าคงใช้เวลาสั้นลงในการสร้าง ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’

เขาพยายามสร้างแบบจำลองเวทมนตร์บทนี้ด้วยพลังจิตมาสักพักแล้ว

แล้วเขาก็เริ่มโยนคำถามใส่ลูเซียนอีกครั้ง “เหตุใดพลังงานและมวลสารจึงต้องหลอมเข้าด้วยกัน อะไรคือธรรมชาติของสสาร…”

เฟอร์นันโดสูดจมูกเสียงดัง “ดักลาส ในเมื่อตอนนี้เจ้ายอมรับงานเขียนของลูเซียนแล้ว เรามาหารือกันเรื่องซาร์ดและการเตรียมรับมือหากว่าเขาคิดจะผิดสัญญาด้วยวิธีอื่นกันดีหรือไม่ ลูเซียนเพิ่งเสนอแผนการให้ข้าน่ะ”

ดักลาสสงบจิตใจให้เย็นลงแล้วแย้มยิ้ม “ข้าชอบแผนการ ไม่มีใครจะฉลาดและทรงพลังมากพอจะคิดคำนวณทุกอย่างได้หรอก กุญแจสำคัญคือการรวบรวมข้อมูลและจำลองเหตุการณ์ล่วงหน้าในทุกรูปแบบเท่าที่จะเป็นได้ นั่นแหละคือจุดแข็งของเหล่านักเวท”

ทั้งสี่พูดคุยหารือกันอยู่นาน และในตอนเดินมาส่งลูเซียน เฟอร์นันโด กับโอลิเวอร์กลับ ดักลาสก็อมยิ้ม “ข้าจะตั้งตาคอยวันที่เจ้าเริ่มศึกษาเรื่องแรงโน้มถ่วงนะ ลูเซียน”

“ข้าเองก็หวังว่าจะได้รับการชี้แนะจากท่านเมื่อวันนั้นมาถึงนะขอรับ ท่านประธาน” ลูเซียนตอบอย่างนอบน้อม

ขณะเฝ้ามองแผ่นหลังของคนทั้งสามขณะเดินจากไป จู่ๆ ดักลาสก็ถอนหายใจ “ข้าเองยังสับสนเรื่องแรงโน้มถ่วงอยู่เลย มันมาจากที่ไหน ถือกำเนิดได้อย่างไร…”

วันหนึ่งในเดือนเมษายน ปี 824 ภายในสหพันธ์บทเพลงจันทราสาขาอัลลิน

เหล่านักเวทระดับสูงจากสำนักแม่เหล็กไฟฟ้าบังเอิญมาเจอกันจึงถกกันถึงหัวข้ออาร์คานาศาสตร์ที่เป็นกระแสในช่วงนี้

“แอนน์โฮรา ยังไม่มีบทความตอบโต้จากลูเซียน อีวานส์ ในเรื่องสูตรการแปลงของโอลิเวอร์อีกหรือ” นักเวทระดับอีกคนถามแอนน์โฮรา ผู้เป็นสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานา

แอนน์โฮราสวมวิกผมสีขาวและดูเหมือนขุนนางมากกว่านักเวท เขาตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “ไม่มีเลย ตลอดแปดเดือนที่ผ่านมา นอกเหนือจากบทความไม่กี่บทเกี่ยวกับการเล่นแร่แปลธาตุร่วมสมัยกับเครื่องไซโคลตรอน ผลงานวิจัยทั้งหมดของเขาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวิเคราะห์เทนเซอร์และเรขาคณิตอีวานส์ เขาเขียนงานของตัวเองออกมาสิบชิ้นและเขียนร่วมกับเลฟสกีอีกหกชิ้น ด้วยความร่วมมือจากเลฟสกี นีชกา มิลินา และซาแมนธา ระบบคณิตศาสตร์ใหม่จึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว”

“แต่ข้าไม่เข้าใจคณิตศาสตร์เลยสักนิด” จอมเวทระดับกลางวัยชราดูท่าทางหัวเสียไม่น้อย “อีกอย่าง สิ่งที่เราเป็นกังวลมากที่สุดคือความคิดเห็นของเขาต่อการแปลงของโอลิเวอร์…”

นักเวทระดับเจ็ดอีกคนทอดถอนใจ “ใช่เลย เรารู้ว่าการแปลงของโอลิเวอร์เป็นเพียงการประยุกต์ใช้ทางคณิตศาสตร์เท่านั้นในตอนนี้ และมันก็ไม่สามารถพิสูจน์การมีอยู่ของ ‘อีเธอร์’ ได้ แต่มันก็อธิบายการทดลองอัตราความเร็วของแสงได้ด้วยทฤษฎีอีเธอร์ จนถึงตอนนี้ มันคือข้อสันนิษฐานที่สมบูรณ์แบบที่สุด และเราต่างก็เต็มใจจะสนับสนุนมัน แต่… แต่เหตุใดลูเซียน อีวานส์ จึงไม่ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับประเด็นนี้เลยเล่า ข้าไม่อาจวางใจได้จนก่อนจะได้รู้ความคิดเห็นของเขา”

แอนน์โฮราพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ทุกครั้งที่ข้านึกถึงแอ่งโลหิตที่เขาเป็นผู้ก่อและทฤษฎีหักล้างทั้งหลายที่เขานำเสนอ ข้าก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเชื่อในผลการวิจัยของท่านโอลิเวอร์จนกว่าเขาจะแสดงความเห็น ข้ามักตั้งตาคอยบางสิ่งบางอย่างด้วยความกังวล มันเหมือนกับว่าข้าจะไม่มีทางมั่นใจท่ามกลางเสียงฟ้าร้องคำรามจนกว่าหยาดฝนจะโปรยลงมา”

“ข้ามักบอกคนอื่นๆ ว่าลูเซียน อีวานส์ ไม่กล้าถกปัญหาเรื่องนี้เพราะเขาได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเอง แต่ข้ากลับมิอาจข่มตาหลับได้ในยามกลางคืนหากไร้ซึ่งความคิดเห็นจากเขา บางครั้งข้ายังถึงกับฝันร้ายด้วยซ้ำ” จอมเวทระดับกลางวัยชรากล่าวอย่างกระสับกระส่าย

ฝันร้ายที่ว่าสมองและเลือดเกลื่อนกระจายเต็มพื้นยังคงทำให้เขาเสียสติได้เสมอ

แอนน์โฮรากำลังจะตอบ แต่ในทันใดนั้นก็มีเสียงปิ๊บดังมาจากกระเป๋ากางเกง เขารีบหยิบกล่องหน้าตาประณีตดูดีออกมากดปุ่ม “สวัสดีครับ ท่านโอลิเวอร์หรือขอรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ!”

นี่ก็คืออุปกรณ์การสื่อสารเคลื่อนที่ที่บริษัทโทรศัพท์และโทรเลขอัลลินเพิ่งพัฒนาขึ้น มันมีเงื่อนไขในการใช้ที่น้อยกว่าและจะไม่ขัดแย้งอะไรกับอุปกรณ์เวทมนตร์อื่นๆ

หลังจากบอกลาสหาย แอนน์โฮราก็รีบมาที่ห้องทำงานของโอลิเวอร์บนหอคอยเวทมนตร์อัลลินชั้นที่สามสิบสี่ แล้วเขาก็ได้พบว่าจอมเวทที่คุ้นตาดีนั่งรออยู่ที่นั่นแล้ว และโอลิเวอร์ก็ยังไม่ออกมาจากห้องสมุดชั้นใน

“มาเรียนา เหตุใดท่านโอลิเวอร์จึงเรียกตัวเรางั้นหรือ” แอนน์โฮราถามสตรีวัยกลางคนผู้มีผมดกดำเป็นประกาย

มาเรียนาที่ถือหมวกปีกกว้างอยู่ในมือเองก็ดูมึนงงไม่ต่างกัน “ข้าเองก็ไม่ทราบ”

ในตอนนั้นเอง โอลิเวอร์ก็เดินออกมาพร้อมกับรายงานสองฉบับในมือ “มาเรียนา แอนน์โฮรา ไม่ต้องมากพิธีหรอก ข้าขอให้เจ้าทั้งสองมาที่นี่ก็เพราะมีรายงานการวิจัยให้พวกเจ้าพิจารณา มันน่าจะเป็นที่ยอมรับได้ถ้าสมาชิกจากสำนักแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นผู้พิจารณา ลองอ่านดูก่อนเถิด หากทุกอย่างใช้การได้ ข้าจะส่งไปทางฝ่ายบริหารจัดการนักเวทและสั่งให้ชีวินรสายนเวทในห้องคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานาส่งไปให้พวกเจ้า”

มาเรียนาและแอนน์โฮราต่างรู้สึกสังหรณ์ใจ จึงถามออกมาพร้อมกัน “รายงานของผู้ใดหรือ”

โอลิเวอร์ลูบนิ้วมือตนเอง “ลูเซียน อีวานส์”

ตูม แอนน์โฮรารู้สึกเหมือนมีสายฟ้าร้องคำรามอยู่ในหัว เขาถามด้วยใบหน้าซีดเผือด “ท่านโอลิเวอร์ขอรับ ข้าขอปฏิเสธได้ไหม”

ขณะกล่าว เขาก็ลอบสังเกตศีรษะของมาเรียนาไปด้วย แต่แล้วก็พบว่ามาเรียนาเองก็กำลังสังเกตการณ์เขาอยู่เช่นกัน และสายตาของนางนั้นจดจ้องอยู่ที่ศีรษะเขา

……………………………………