บทที่ 496 ตัวเลือก

บัลลังก์พญาหงส์

แม้ว่าสิ่งที่คาดเดาในใจนั้นจะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อเป็นจริง ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว 

 

 

           แต่อารมณ์เช่นนี้ก็ไม่ได้อยู่นานนัก แล้วถาวจวินหลันก็ค่อยๆ นั่งหลังตรง คุกเข่านั่งลงบนหัวเตียง ขมวดคิ้วถามหลี่เย่ “ถ้าเช่นนั้นราชสำนักในตอนนี้ทำอย่างไรเพคะ?” 

 

 

           ฮ่องเต้ล้มป่วยกะทันหัน แต่เรื่องราชการทุกวันก็ไม่อาจล่าช้าได้ จะต้องมีใครสักคนเข้ามาจัดการถึงจะถูก ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือ สุดท้ายแล้วควรจะเป็นใครมาจัดการเรื่องนี้แทนฮ่องเต้ 

 

 

           หลี่เย่ตบหลังมือของถาวจวินหลันเบาๆ เผยรอยยิ้มขบขันน้อยๆ “ไม่ต้องกังวลไป องค์รัชทายาทก็ป่วยอยู่ อีกอย่างบรรดาขุนนางชราเหล่านั้นก็ไม่ได้รับเงินเปล่าๆ ฮองเฮาไม่อาจเข้าร่วมราชการได้ นี่ถือเป็นเรื่องแน่นอนไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ อำนาจของจวนเหิงกั๋วโหวนั้นไม่น้อย แต่ก็ยังมีคนของเสด็จพ่อ แล้วก็ยังมีข้า ทั้งสองฝ่ายต่อกรกันนั้นยังสามารถทำได้” 

 

 

           เห็นหลี่เย่มีความมั่นใจเรียบนิ่งถึงเพียงนี้ ถาวจวินหลันก็รู้สึกสงบขึ้นไม่น้อย แต่จากนั้นก็พูดอย่างจริงจังว่า “ข้ามีเรื่องอยากพูดกับท่าน” 

 

 

           ที่นางเป็นเช่นนี้ทำให้หลี่เย่ตกใจยกใหญ่ รีบพูดว่า “เรื่องอะไรหรือ?” 

 

 

           ถาวจวินหลันพูดเรื่องที่นางสั่งให้หลิวเอินทำ  

 

 

           จากคำอธิบายของถาวจวินหลัน ท่าทีเคร่งเครียดของหลี่เย่กลับค่อยๆ สงบลง 

 

 

           สุดท้ายแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ขัดคำพูดของถาวจวินหลัน “ข้าพูดแล้วมิใช่หรือ ข้าแต่งงานกับจูเก๋อภาคสตรีมิใช่หรืออย่างไร?” 

 

 

           ถาวจวินหลันหน้าแดงระเรื่อ “ข้าจะเทียบกับท่านจูเก๋อได้อย่างไร?” แต่เขาพูดเช่นนี้ แม้จะเกินเลยแต่ก็ถือว่าสนับสนุนการกระทำของนาง นางย่อมต้องดีใจมาก นางไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้เขา แล้วยังช่วยเหลือเขาได้อีกด้วย ย่อมต้องควรค่าแก่ความดีใจ 

 

 

           “องค์หญิงเก้ามา ข้ารั้งเอาไว้ให้นางร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน หากท่านง่วงก็นอนอีกหน่อยเถิดเพคะ มิเช่นนั้นอีกครู่หนึ่งจิ้งผิงมา ท่านก็จะไม่ได้นอนแล้ว” ถาวจวินหลันมองแผ่นอกที่เผยออกมาของหลี่เย่ และพูดอีกว่า “ข้าขอดูแผลของท่าน แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

           หลี่เย่กลับจับมือของนางเอาไว้ ยิ้มและพูดว่า “จะถอดเสื้อผ้าของข้าอีกอย่างนั้นหรือ? ข้าอยากจะนอนอีกสักพักหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเจ้านอนกับข้าเสียซี?” 

 

 

           หลี่เย่ยิ้มพลางพูดอย่างปกติ แต่ถาวจวินหลันกลับรู้สึกว่าไม่ปกติเลยสักนิด จึงตีมือของเขาพลางพูดอย่างไม่พอใจนัก “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ท่านไปนอนเสียเถิด” พอพูดจบก็ไม่สนใจดูบาดแผลอีก รีบหนีออกไป 

 

 

           หลี่เย่อมยิ้มมองถาวจวินหลันเดินออกไป แล้วถึงได้ถอนหายใจยาวๆ ตอนนี้ข้อศอกบวมดำช้ำเลือดเป็นบริเวณใหญ่ แล้วยังบวม จะกล้าให้ถาวจวินหลันเห็นได้อย่างไร? แม้จะปิดบังไปตลอดไม่ได้ แต่ก็จะปิดเอาไว้เท่าที่ปิดได้ สองวันมานี้นางมีเรื่องเหนื่อยไม่น้อยแล้ว ถ้าต้องเป็นกังวลอีก แล้วเขาจะไม่สงสารได้อย่างไร? 

 

 

           ถาวจวินหลันก็หนีออกไปด้วยความร้อนรน ออกจากห้องไปแล้วก็รู้สึกว่าหน้ายังร้อนผ่าวอยู่เล็กน้อย จึงกัดปากแรกๆ ทีหนึ่ง รู้สึกว่าหลี่เย่ไม่เอาเรื่อง แต่ไม่ได้คิดว่าทำไมหลี่เย่ถึงยังมีเวลามาคิดเรื่องเหล่านี้ตอนนี้ด้วย 

 

 

           พอสงบใจได้บ้างแล้ว นางก็ไปที่ห้องครัวด้วยตนเองครั้งหนึ่ง มองดูอาหารก็รู้สึกว่าพออยู่ และให้ทำเพิ่มอีกสองสามอย่าง สุดท้ายเหมือนเพิ่มมากเกินไปหน่อย คิดไปคิดมาก็ให้คนไปถ่ายทอดคำพูดถึงตระกูลเฉิน บอกถาวซินหลันคู่สามีภรรยามาที่นี่สักครั้งหนึ่ง ในเมื่อคู่สามีภรรยาองค์หญิงเก้ามาแล้ว จะเพิ่มอีกคนสองคนก็เหมือนกัน 

 

 

           อีกอย่างเรื่องที่ถาวซินหลันต้องเข้าไปปรนนิบัติไทเฮา นางเองก็อยากจะปรึกษากับถาวซินหลันเช่นกัน 

 

 

           ถาวจิ้งผิงตรงมายังจวนตวนชินอ๋องจากศาลาว่าการ พอเห็นถาวจวินหลันก็มองพิจารณาพี่สาวของตนเองอย่างละเอียดก่อน เห็นว่ายังมีท่าทางดีถึงได้รู้สึกสบายใจเล็กน้อย และกลัวว่าถาวจวินหลันจะเหนื่อยเกินไปเพราะเรื่องสองวันมานี้ จึงอดกำชับไม่ได้ว่า “ท่านพี่อย่าเหนื่อยเกินไปเลย ท้องฟ้าจะถล่มลงมาก็ยังมีผู้ชายอย่างพวกเรารับอยู่” 

 

 

           ถาวจวินหลันอดหัวเราะไม่ได้ ตีข้อศอกถาวจิ้งผิงเบาๆ “พูดเรื่องอะไรกัน? เหมือนว่าดูถูกผู้หญิงอย่างพวกเราอย่างไรอย่างนั้น เจ้าอยู่ที่บ้านก็ปฏิบัติเช่นนี้กับองค์หญิงเก้าเหมือนกันหรือ?” 

 

 

           เมื่อพูดถึงองค์หญิงเก้า รอยยิ้มบนใบหน้าของถาวจิ้งผิงก็ชะงักไป จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องสนทนาไปเงียบๆ “ใช่แล้ว พี่เขยเล่า?” 

 

 

           ถาวจวินหลันยิ้มและพูดว่า “เพิ่งตื่น กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ คิดว่าอีกเดี๋ยวคงจะออกมาแล้ว เขาเพิ่งกลับมาวันนี้ตอนบ่าย เมื่อวานไม่ได้พักผ่อน เมื่อครู่นี้ถึงได้พักไปครู่หนึ่ง” 

 

 

           ถาวจิ้งผิงย่อมต้องรู้เรื่องภายในวังหลวงบ้างเล็กน้อย จึงถอนหายใจพูดว่า “ไม่รู้ว่าอาการของฮ่องเต้เป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

            เพราะองค์หญิงเก้ายังไม่ออกมา ดังนั้นถาวจวินหลันจึงผลักถาวจิ้งผิงเบาๆ “ไปดูองค์หญิงเก้าเถิด วันนี้นางอยู่ในวังหลวงก็ไม่ได้สบายนัก” 

 

 

           ถาวจิ้งผิงทำได้แค่เดินไป เพียงไม่นาน คู่สามีภรรยาเฉินฟู่ก็มาถึง พอดีกับที่หลี่เย่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย 

 

 

           ด้วยตอนนี้อากาศหนาว ดังนั้นถาวจวินหลันจึงให้คนไปต้มเหล้ามา ทั้งหกคนเข้าไปนั่งที่ ถาวซินหลันก็เห็นอาหารเต็มโต๊ะ จึงหัวเราะทันที “ท่านพี่ยังดีเหมือนเดิม คิดรอบคอบทุกสิ่งอย่าง ทำอาหารที่ข้าและพี่ใหญ่ชอบทั้งหมด” 

 

 

           ถาวจวินหลันได้ยินก็หัวเราะเช่นกัน “ข้าเลี้ยงดูพวกเจ้ามาจนโต ข้าจะจำไม่ได้ได้อย่างไร?” 

 

 

           บนโต๊ะอาหารนั้นกลับไม่มีใครพูดเรื่องในวังหลวง ดังนั้นจึงถือว่าสมัครสมานกลมเกลียว พอทานอาหารเสร็จแล้ว พวกหลี่เย่ทั้งสามคนก็พากันไปที่ห้องหนังสือ เหลือผู้หญิงสามคนให้ดื่มชาย่อยอาหาร 

 

 

           องค์หญิงเก้าดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  ยกถ้วยชาขึ้นมาอย่างเหม่อลอย ถาวซินหลันกลับถามเรื่องไทเฮาอย่างเป็นกังวล “ไทเฮาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? ข้าเข้าวังหลวงไปไม่ได้ วันนี้ก็ถูกห้ามเอาไว้” 

 

 

           ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ “ขวางเอาไว้ถือเป็นเรื่องปกติ เกรงว่าผ่านไปอีกสองสามวันองค์หญิงเก้าก็คงไม่ได้เข้าวังหลวงง่ายดายเช่นนี้อีกแล้ว” หากปล่อยให้ฮองเฮาจัดการถืออำนาจทุกอย่าง สถานการณ์ก็จะเลวร้ายเช่นนี้ต่อไป 

 

 

           ถาวจวินหลันรู้สึกกังวลใจทันที “ไม่รู้ว่าไทเฮาเป็นเช่นไรบ้าง? ฮองเฮาเป็นเช่นนี้ไม่รู้ว่าไทเฮาจะกริ้วมากเพียงใด” ปรนนิบัติไทเฮามาหลายปี ถาวซินหลันย่อมเข้าใจความคิดของไทเฮาอยู่หลายส่วน แม้จะบอกว่าเวลาอยู่ต่อหน้าฮองเฮา ไทเฮาจะไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก แต่ความจริงแล้ว ไทเฮารังเกียจคิดแค้นฮองเฮามาก 

 

 

           ถาวจวินหลันเล่าอาการของไทเฮาให้ถาวซินหลันรู้ ก่อนถอนหายใจพูดว่า “อาการของไทเฮาไม่สู้ดีนัก อีกทั้งนางยังไม่ยอมบอกให้คนอื่นรู้” 

 

 

           “ไทเฮาต้องรักษาหน้า ย่อมไม่ยอมให้คนอื่นรู้เป็นแน่ อีกทั้ง หากฮองเฮารู้เข้าไม่ใช่ว่าจะทำให้ฮองเฮาได้ใจหรืออย่างไร?” ถาวซินหลันขมวดคิ้วกัดฟันแน่น “ไม่รู้ว่าจางหมัวหมัวรับมือได้หรือไม่” 

 

 

           องค์หญิงเก้าเพิ่งได้สติกลับมา “ท่าทีของจางหมัวหมัวก็ไม่ค่อยดีนัก อย่างไรนางก็อายุมากแล้ว เรื่องนี้ส่งผลกระทบไม่น้อย เกรงว่าจะรับมือไม่ไหว พวกเราคิดหาวิธีส่งคนที่พึ่งพาได้เข้าไปดูแลไทเฮาเถิด” 

 

 

           ถาวจวินหลันก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าใจ “แล้วจะส่งใครไป?” ไม่ต้องพูดว่าไทเฮาจะเชื่อใจคนที่ส่งไป จะยอมร่วมมือด้วยหรือไม่ พูดแค่ว่าคนคนนี้จะหามาจากที่ไหนก็ไม่ง่ายแล้ว 

 

 

           ถาวซินหลันครุ่นคิด ก่อนเสนอชื่อตัวเอง “ให้ข้าไปเองเถิด ไทเฮาดีกับข้าขนาดนั้น ข้าเองจะต้องตอบแทนนางให้ดี อีกอย่าง ข้ากลับไปครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นไทเฮาหรือจางหมัวหมัวก็เชื่อใจข้าทั้งนั้น ข้าเองก็สามารถช่วยเหลือได้ ดีกว่าไปหาคนอื่นมาเยอะนัก” 

 

 

           ถาวจวินหลันกับองค์หญิงเก้าสบตากัน มองเห็นความลังเลและความคล้อยตามของฝ่ายตรงข้าม ใช่แล้ว เหมือนที่ถาวซินหลันพูด ยามนี้ถาวซินหลันถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด แต่ถาวซินหลันก็ไม่ใช่นางกำนัลแล้ว และยิ่งเป็นสตรีที่ออกเรือนไปแล้วด้วย หากส่งกลับไปก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับทางตระกูลเฉินอย่างไร 

 

 

           ถาวซินหลันย่อมต้องรู้ความกังวลของถาวจวินหลัน จึงแย้มยิ้มพูดว่า “ไทเฮาดีกับข้าขนาดนั้น ข้าทำเรื่องเพียงเท่านี้ก็เพียงแบ่งเบาภาระเท่านั้น ถือว่าข้ากตัญญูตอบแทนแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร? หรือว่าพวกท่านจะแสดงความกตัญญูของพวกท่านได้ แล้วไม่อนุญาตให้ข้าแสดงความกตัญญูหรืออย่างไร? อีกอย่าง ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะต้องอยู่ที่วังหลวงตลอดเวลา พอสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ข้าเองก็ยังต้องออกมาจากวังหลวง” 

 

 

           ที่ถาวซินหลันไม่ได้พูดก็คือเฉินฟู่ไม่กล้าขัดขวางนางเป็นแน่ หากเฉินฟู่กล้าพูดว่า ‘ไม่’ ออกมา ก็รอดูว่านางจะจัดการกับเขาอย่างไร! ส่วนพ่อสามีแม่สามีก็ยิ่งไม่มีทางต่อต้านนางเป็นแน่ 

 

 

           ถาวจวินหลันครุ่นคิด จากนั้นก็พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันพรุ่งนี้ก็เข้าวังหลวงไปเถิด ดึกวันนี้เจ้าเองก็พูดกับเฉินฟู่ให้ละเอียด ใช่แล้ว เจ้าพาคนเข้าไปอีกสองคน หรือจะเลือกคนใหม่จากในวังหลวงก็ได้ เจ้าคนเดียวจะเหนื่อยเกินไป” 

 

 

           เรื่องพูดคุยปรึกษาจบลง องค์หญิงเก้าก็ถามถาวซินหลันอีกว่า “เจ้ายังไม่ท้องอีกหรือ? แม่สามีของเจ้าไม่เร่งหรืออย่างไร?” 

 

 

           ถาวซินหลันนิ่งอึ้งไป แล้วก็เริ่มเขินอายเล็กน้อย ก้มหน้าพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รองคลอดกันแล้ว ขาดข้าเพียงคนเดียวก็ไม่เห็นสำคัญ อีกทั้งไม่ได้รีบร้อนอะไร ยังมีเวลาให้ข้าบำรุงสุขภาพร่างกาย โตกว่านี้หน่อยค่อยมีลูกก็ไม่เห็นเป็นอะไร” 

 

 

           องค์หญิงเก้าอิจฉาทันที “แม่สามีของเจ้าดียิ่งนัก” 

 

 

           ถาวซินหลันหัวเราะ “ดูท่านพูดเข้า เหมือนว่าพวกเราไปเร่งท่านเสียอย่างนั้น! แต่พูดไปแล้ว ทำไมท่านถึงยังไม่ท้องอีกเล่า?” 

 

 

           ที่จริงแล้วถาวจวินหลันก็กังวลเรื่องนี้ แต่คิดว่าหากถามไปองค์หญิงเก้าก็จะไม่สบายใจ สุดท้ายแล้วก็ไม่กล้าเอ่ยถาม ตอนนี้ถาวซินหลันถามหยอกล้อ นางเองก็ตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ  

 

 

           องค์หญิงเก้าก้มหน้าลงไป หัวเราะขมขื่น ลูบท้องอย่างโศกเศร้าเล็กน้อย “ข้าเองก็คิดอยากจะมีลูกให้เร็วเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าโชคชะตายังมาไม่ถึงหรืออย่างไร ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มาเสียที” หยุดไปครู่หนึ่ง องค์หญิงเก้าก็เหลือบมองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง พลางหัวเราะและถามว่า “พูดไปแล้ว พี่หญิงมีเคล็ดลับอะไรหรือไม่เจ้าคะ พูดให้ข้าฟังบ้างเถิด” 

 

 

           ถาวจวินหลันแต่งงานกี่ปีกัน? แต่กลับดีพร้อมไปทุกอย่าง ใครบ้างไม่อิจฉา? ไม่ว่าใครก็คาดหวังว่าจะมีความสุขเช่นนี้ 

 

 

           องค์หญิงเก้าอยากมีลูก ในใจของนางคิดว่า มีลูก ถาวจิ้งผิงก็คงไม่เป็นเหมือนอย่างตอนนี้ 

 

 

           ถาวจวินหลันถอนหายใจ ส่ายหน้า “เคล็ดลับอะไรกัน? ข้าเองก็ไร้หลักการ” หรือจะพูดว่าอยู่ร่วมหอกันหลายครั้ง โอกาสมีลูกก็จะง่ายขึ้นใช่หรือไม่? แต่คำพูดนี้ไฉนเลยจะพูดออกไปได้? อีกทั้งถาวจิ้งผิงไม่มีอนุภรรยา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ 

 

 

           ดังนั้นนางจึงปลอบองค์หญิงเก้าพูดว่า “เจ้าเองก็อย่ากังวลไป รอจนเวลามาถึง ลูกก็จะมาเอง มีบางครั้งที่รีบมากเกินไปกลับยิ่งมีลูกยากขึ้น” 

 

 

           องค์หญิงเก้าถอนหายใจ ทั้งรู้สึกเศร้าและเสียดาย “ก็คงทำได้เท่านั้น” 

 

 

           ถาวซินหลันเห็นองค์หญิงเก้ามีท่าทีเศร้าสร้อย ก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุย พูดถึงเรื่องอื่นแทน ถึงได้ทำให้บรรยากาศกลับมาเป็นเช่นเดิม