ตอนที่ 202 เพียงต้องการฉีกเขาเป็นพันชิ้น หักกระดูกจนเป็นผุยผง!

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะสตรีชั่วร้ายนางนั้น ทั้งๆ ที่เขาและชือฉิงอยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่อาจใช้ชีวิตเป็นดั่งสามีภรรยาทั่วไป! 

 

 

เขาเกลียดชังนาง อยากให้ดวงจิตของนางแตกสลายดับสูญ! 

 

 

นางคงหอบร่างของตนเองหนีลงไปใต้อารามที่เขาเคยสร้างห้องใต้ดินเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว 

 

 

หลังจากตอนนั้นเขาพาชือฉิงที่กลายเป็นงูยักษ์ไปสร้างความเคลื่อนไหวที่แม่น้ำลี่เหอ เหล่าประชาชนต่างคิดกันว่าเทพธิดาไม่ยอมปกป้องแม่น้ำลี่เหออีกแล้ว จึงค่อยๆ พากันเลิกราการจุดธูปหอมบูชาไปจนหมด 

 

 

ขอเพียงควันธูปดับมอด ศรัทธาเสื่อมสูญ ดวงจิตของนางก็ต้องสูญสลายไปจากโลกนี้ 

 

 

เมื่อถึงวันที่เขาย้อนกลับไปเพื่อทำลายอารามด้วยตนเอง ต้นฮว๋ายที่อยู่ในอารามก็เ**่ยวเฉาไปแล้ว 

 

 

เขาจึงรู้ว่า ในที่สุดชือหลีก็จบสิ้นไปแล้ว 

 

 

นับจากวันนี้ไป นางไม่อาจเป็นภัยคุกคามเขาและชือฉิงได้อีก 

 

 

แต่ชือฉิงถูกคำสาปของนาง ไม่อาจกลายร่างเป็นคนได้อีกตลอดกาล เขาได้ยินวิธีการมาวิธีหนึ่ง ขอเพียงมีจิตใจมุ่งมั่นในรักแท้ ใช้เลือดของเขาเลี้ยงดูชือฉิง เมื่อผ่านไปหลายปีเข้า คำสาปนั้นก็จะถูกทำลายลง 

 

 

เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะได้อยู่กันชือฉิงอีกครั้ง 

 

 

ดังนั้นตลอดสิบปีมานี้ มิว่าจะต้องเผชิญลมฝนเช่นไรเขาก็ยังมอบเลือดของตนเองให้ชือฉิง เพียงวาดหวังให้คำสาปนั้นถูกทำลายลงโดยเร็ว 

 

 

ที่จริงเขาเคยคิดเอาไว้ว่า ต่อให้คำสาปมิอาจทำลายลงไป เขาก็ยังจะเลี้ยงดูชือฉิงไปชั่วชีวิต ชาตินี้ทั้งชาติจะไม่ขอห่างจากนาง 

 

 

” จีหราน เจ้าเคยสำนึกเสียใจสักนิดบ้างไหม? ” ในตอนนั้นเอง มือของชือหลีก็บีบคางของเขาเอาไว้จนแน่น 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสัมผัสได้ถึงจิตใจของชือหลี นี่คือความรู้สึกที่อยู่ในใจของนาง 

 

 

นางเกลียดชังบุรุษผู้นี้อย่างถึงที่สุด เพียงต้องการจะฉีกเขาเป็นพันชิ้น หักกระดูกให้แหลกเป็นผุยผง! 

 

 

” เจ้ามันเป็นนางปีศาจ ที่ฮ่องเต้ลากออกมาเพื่อปิดหูปิดตาประชาชน ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไรกัน! ” จีหรานยังคงปากแข็งดั่งเป็ดตายตัวหนึ่ง 

 

 

ประชาชนเห็นท่าทางของเขาที่แม้จะตายก็ยังไม่ยอมรับ ก็ชักจะรู้สึกว่า หรือว่าหรานอ๋องจะถูกใส่ร้ายจริงๆ 

 

 

เนื่องเพราะที่เขาพูดออกมาก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ 

 

 

ฟังมาว่าฮ่องเต้พระองค์นี้น้ำพระทัยลึกล้ำ แม้แต่อี้อ๋องจีเย่ที่เป็นพระอนุชาแท้ๆ ยังถูกพระองค์ขับไล่ไปอยู่ซีเหลียงเลย 

 

 

จีหรานเป็นเสด็จอา ทั้งยังได้รับความเคารพรักจากพวกเขา โอรสสวรรค์ไหนเลยจะยอมให้มีคนในราชวงศ์ได้รับความรักจากประชาชนมากกว่าตนเองได้กัน? 

 

 

พวกเขาเองก็เป็นเพียงประชาชนธรรมดา ยิ่งไม่กล้าตัดสินว่าผู้ใดจริงผู้ใดเท็จโดยง่าย ได้แต่ทำตนเป็นฉากหลังมองดูจากด้านข้างเท่านั้น 

 

 

ทันทีที่จีหรานพูดจบ ก็ยิ่งโหมความโกรธเกรี้ยวของชือหลีขึ้นมา 

 

 

ดวงจิตของชือหลีไหววูบอย่างรุนแรง แทบจะฉีกทำลายยันต์สีชาดของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ดวงเนตรยาวรีของนางลุกโชนด้วยไฟแค้น ภายใต้การควบคุมของตู๋กูซิงหลัน ก็ตบลงไปบนพักตร์ของจีหรานอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ” เจ้ามันตัวเนรคุณ! “ 

 

 

ลูกตบของเทพเรียกเลือดสดๆ จากริมฝีปากของจีหราน ร่างของเขาปลิวไปดั่งเศษผ้าชิ้นหนึ่ง พอเห็นอยู่ว่ากำลังจะกระแทกเข้ากับลำต้นของต้นฮว๋ายในอาราม 

 

 

ก็มีหางที่ใหญ่ยาวของงูยักษ์พุ่งออกมารับตัวจีหรานเอาไว้ 

 

 

งูตัวนั้นพอรัดตัวจีหรานเอาไว้ได้ก็คิดจะหนี 

 

 

ผู้คนทั้งหลายหวาดกลัวมันต่างก็ไม่กล้าขัดขวาง 

 

 

ฮ่องเต้เสด็จออกมาจากในอาราม ตรัสคำเดียวด้วยพระพักตร์เย็นชา ” ตาม” 

 

 

เหล่าองครักษ์รับพระบัญชา ต่างโผร่างเหาะขึ้นไปขวางทางเจ้างูยักษ์ตัวนั้นเอาไว้ 

 

 

” ซี่ ซี่ ซี่…….” งูยักษ์แลบลิ้นออกมา จดจ้องพวกเขาด้วยสายตาชิงชัง 

 

 

แต่กลับม้วนตัวจีหรานเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง ความกลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม 

 

 

ประชาชานทั้งหลายต่อให้โง่เขลาเพียงใด ยามนี้ก็สามารถดูออกว่างูตัวนี้กำลังปกป้องจีหรานอยู่ 

 

 

หากว่าเป็นปีศาจที่ฮ่องเต้ทรงเรียกออกมาจริงๆ เช่นนั้นจะปกป้องจีหรานไปทำไมกัน? 

 

 

ประกอบกับเมื่อครู่งูตัวนั้นก็พุ่งออกมาจากตำหนักของจีหราน เช่นนี้ต่อให้มิได้พูดอะไร พวกเขาก็เข้าใจได้ แล้ว ว่างูตัวนี้ต้องถูกจีหรานเลี้ยงเอาไว้อย่างแน่นอน 

 

 

เหล่าองครักษ์เคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายลม หลังไล่ตามอยู่เพียงครู่เดียว ในมือของพวกเขาก็ปรากฎตาข่ายสีทองขึ้นมา ตาข่ายถูกเหวี่ยงขึ้นไป คิดจะจับงูตัวนั้นเอาไว้ 

 

 

แต่น่าเสียดายที่เกล็ดบนตัวมันแข็งแกร่งมาก ตาข่ายสีทองพอคลุมลงไปถูกมันดิ้นเพียงไม่กี่ครั้งก็ขาดกลายเป็นรูขนาดใหญ่ 

 

 

ในตำหนักของจีหราน อู้เจินและอู๋ซื่อต่างก็รีบรุดออกมาช่วยเหลือ ที่ด้านหลังของพวกเขายังมีเหล่าลูกศิษย์ที่งดงามดั่งบุปผาชุ่มน้ำตามมาอีกด้วย 

 

 

เหล่านักพรตน้อยที่งดงามเหาะลงมาดุจเซียนวิเศษ พวกเขาพากันเขวี้ยงยันต์และชักกระบี่วิเศษใส่งูยักษ์ คิดจะสกัดจับมันเอาไว้ 

 

 

หลังจากรับมือกันอยู่หลายรอบ งูยักษ์นั้นก็พังท้องถนนเสียจนราบคาบ มันโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ส่งเสียงกรีดร้องดังกึกก้อง น้ำในแม่น้ำลี่เหอก็เกิดคลื่นซัด เห็นอยู่ว่ากำลังจะถาโถมเข้าสู่เมืองลี่โจวอีกครั้ง 

 

 

” ที่แท้ปีศาจที่ทำให้แม้น้ำลี่เหอวิปริตไปก็คืองูตัวนี้! ” ในบรรดาฝูงชนมีคนคิดขึ้นมาถึงเสียงประหลาดที่ดังกึกก้องขึ้นมาในวันนั้นได้ 

 

 

” ใครจะไปคิดกัน ว่าหรานอ๋องยามปกติคำนึงถึงประชาชนก่อนอยู่เสมอ ที่แท้ก็คือเจ้านายของสัตว์ปีศาจ! “ 

 

 

” สวรรค์ทรงโปรด พอคิดดูให้ดีๆ ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว ตกลงเขาคิดอะไรอยู่กันแน่? ทั้งหมดนี้คือการวางแผน รวบไปถึงที่สละร่างเข้าขวางเขื่อนแตกด้วยหรือ? “ 

 

 

ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ หากว่าวันนี้ฮ่องเต้มิได้เสด็จมา เมื่อลี่โจวจะกลายเป็นเช่นไร “ 

 

 

……………………………. 

 

 

จีฉวนประทับอยู่ในอาราม สายพระเนตรเหลืบลงที่ใต้โต๊ะบูชาอย่างจดจ้อง 

 

 

ทันทีที่ทอดพระเนตรลงไป ก็เห็นว่าใต้บันไดหลายขั้นนั้นมีความเคลื่อนไหว 

 

 

พอดวงเนตรหงส์ของเขาหรี่ลง ก็พบว่าเป็นศีรษะของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมา แม้จะมีหนวดเครารกครึ้มแต่ก็ไม่อาจปิดบังใบหน้าที่งดงามนั้นได้ 

 

 

” ฝ่าบาท? ” ตู๋กูเจวี๋ยเห็นพระองค์ก็พลอยตกตะลึง เขากวาดตามองฮ่องเต้ที่แต่งพระองค์มาอย่างเต็มยศ ชนิดที่เรียกว่าแทบจะเขียนเอาไว้บนพระพักตร์ว่า ” ข้าคือฮ่องเต้” อย่างไรอย่างนั้น 

 

 

เขาถวายพระพรจีฉวนครั้งหนึ่ง ค่อยกราบทูลว่า “พวกเขาพูดจามั่วซั่ว ตอนนั้นคนที่เอาตัวเข้าไปขวางเขื่อนที่แตกก็คือกระหม่อม จีหรานผู้นั้นมิใช่ตัวดี! “ 

 

 

” ฝ่าบาท พระองค์มิได้ทรงทราบ ตอนนั้นสถานการณ์อันตรายมาก เขื่อนนั้นเดิมทีก็อ่อนเป็นเต้าหู้ แค่มีงูตัวหนึ่งเข้าไปชนเพียงเบาๆ ก็พังทลายออกมาแล้ว ตอนนั้นกระหม่อมร้อนใจ ไม่มีหนทางอื่นได้แต่ใช้ร่างที่ผ่ายผอมเล็กบางของตนเองขวาง แต่ก็ไม่อาจปิดรอยแตกนั้นเอาไว้ได้ ทั้งยังถูกกระแสน้ำพัดพาไป เฮ้อ โชคดีที่ยามปกติกระหม่อมทำบุญแผ่เมตตาเอาไว้มาก จึงได้รับความคุ้มครองจากสวรรค์ ตอนนี้ถึงได้ถูกเทพธิดาช่วยออกมาแล้วอย่างไรเล่าพะยะค่ะ” 

 

 

ทูลแล้ว ตู๋กูเจวี๋ยก็หันไปกล่าวกับเทพธิดาว่า ” เทพธิดา บุญคุณที่ช่วยชีวิตไม่รู้จะตอบแทนเช่นไรดี ประเดี๋ยวข้าจะช่วยแทงจีหรานให้ท่านสักสองดาบ ให้ท่านได้ระบายแค้นในปีนั้นออกมา” 

 

 

” ถึงแม้ว่าช่วงนี้ทั้งร่างกายและจิตใจของข้าจะพึ่งผ่านการถูกทรมานอย่างอย่างหนักหนา แต่ว่าบุญคุณช่วยชีวิตจะอย่างไรย่อมยิ่งใหญ่กว่าและสำคัญกว่า ข้ามิใช่จิ้งจอกตาขาว ย่อมไม่มีทางลืมเลือนอยู่แล้ว “ 

 

 

ยามนี้พอชือหลีได้ยินเสียงของเขาขึ้นมาทีไรนางเป็นต้องรู้สึกคลื่นไส้วิงเวียน! 

 

 

เจ้าช่วยลืมมันไปเสียเถอะ! 

 

 

ฮ่องเต้เองก็ทรงขมวดพระขนงเบาๆ เห็นตัวเขาสกปรกไปหมดทั้งยังมีกลิ่นเหม็นโชยชาย ฮ่องเต้จึงขยับพระองค์ไปทางด้านข้างหลายก้าว ไม่คิดจะเสวนากับเขาเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ก่อนหน้านี้ก็รู้อยู่แล้ว ว่าคุณชายรองตระกูลตู๋กูเป็นคนช่างพูด แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีวาจาไร้สาระมากมายถึงเพียงนี้ 

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายได้เห็นเขา และได้ฟังคำพูดของเขา ก็กึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง 

 

 

หรานอ๋องจะแย่เพียงไร ก็คงไม่ถึงขั้นแย่งผลงานปิดกั้นเขื่อนของผู้อื่นหรอกมั้ง? 

 

 

พอมองออกไป ทั้งองครักษ์ นักพรต และงูยักษ์ตัวนั้นต่างก็ต่อสู้กันไปอีกหลายรอบแล้ว ตลอดทั้งถนนถูกทุบทำลายจนกลายเป็นพื้นที่ราบ 

 

 

ชือหลียังคงถูกควบคุมเอาไว้ ไม่อาจกระทำการเกินเลยด้วยตนเอง นัยตายาวรีทั้งสองของนางมองดูชือฉิงที่กลายเป็นงูยักษ์ กำลังพยายามปกป้องจีหรานเอาไว้อย่างดี ก็คิดถึงตอนที่ถูกคนทั้งสองหักหลังขึ้นมา ใจของนางราวกับถูกฉีกกระชากออกจากกัน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่อยากจะเสียเวลาอีกต่อไป ทั้งไม่อยากเห็นประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ในมือจึงเพิ่มยันต์สีแดงอีกแผ่นหนึ่งขึ้นมา ขณะที่นางยังไม่ทันได้เขวี้ยงออกไป ก็เห็นสหายติ๊งต๊องชิงอาสากระโดดนำไปก่อนเสียแล้ว