ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะสตรีชั่วร้ายนางนั้น ทั้งๆ ที่เขาและชือฉิงอยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่อาจใช้ชีวิตเป็นดั่งสามีภรรยาทั่วไป!
เขาเกลียดชังนาง อยากให้ดวงจิตของนางแตกสลายดับสูญ!
นางคงหอบร่างของตนเองหนีลงไปใต้อารามที่เขาเคยสร้างห้องใต้ดินเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว
หลังจากตอนนั้นเขาพาชือฉิงที่กลายเป็นงูยักษ์ไปสร้างความเคลื่อนไหวที่แม่น้ำลี่เหอ เหล่าประชาชนต่างคิดกันว่าเทพธิดาไม่ยอมปกป้องแม่น้ำลี่เหออีกแล้ว จึงค่อยๆ พากันเลิกราการจุดธูปหอมบูชาไปจนหมด
ขอเพียงควันธูปดับมอด ศรัทธาเสื่อมสูญ ดวงจิตของนางก็ต้องสูญสลายไปจากโลกนี้
เมื่อถึงวันที่เขาย้อนกลับไปเพื่อทำลายอารามด้วยตนเอง ต้นฮว๋ายที่อยู่ในอารามก็เ**่ยวเฉาไปแล้ว
เขาจึงรู้ว่า ในที่สุดชือหลีก็จบสิ้นไปแล้ว
นับจากวันนี้ไป นางไม่อาจเป็นภัยคุกคามเขาและชือฉิงได้อีก
แต่ชือฉิงถูกคำสาปของนาง ไม่อาจกลายร่างเป็นคนได้อีกตลอดกาล เขาได้ยินวิธีการมาวิธีหนึ่ง ขอเพียงมีจิตใจมุ่งมั่นในรักแท้ ใช้เลือดของเขาเลี้ยงดูชือฉิง เมื่อผ่านไปหลายปีเข้า คำสาปนั้นก็จะถูกทำลายลง
เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะได้อยู่กันชือฉิงอีกครั้ง
ดังนั้นตลอดสิบปีมานี้ มิว่าจะต้องเผชิญลมฝนเช่นไรเขาก็ยังมอบเลือดของตนเองให้ชือฉิง เพียงวาดหวังให้คำสาปนั้นถูกทำลายลงโดยเร็ว
ที่จริงเขาเคยคิดเอาไว้ว่า ต่อให้คำสาปมิอาจทำลายลงไป เขาก็ยังจะเลี้ยงดูชือฉิงไปชั่วชีวิต ชาตินี้ทั้งชาติจะไม่ขอห่างจากนาง
” จีหราน เจ้าเคยสำนึกเสียใจสักนิดบ้างไหม? ” ในตอนนั้นเอง มือของชือหลีก็บีบคางของเขาเอาไว้จนแน่น
ตู๋กูซิงหลันสัมผัสได้ถึงจิตใจของชือหลี นี่คือความรู้สึกที่อยู่ในใจของนาง
นางเกลียดชังบุรุษผู้นี้อย่างถึงที่สุด เพียงต้องการจะฉีกเขาเป็นพันชิ้น หักกระดูกให้แหลกเป็นผุยผง!
” เจ้ามันเป็นนางปีศาจ ที่ฮ่องเต้ลากออกมาเพื่อปิดหูปิดตาประชาชน ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไรกัน! ” จีหรานยังคงปากแข็งดั่งเป็ดตายตัวหนึ่ง
ประชาชนเห็นท่าทางของเขาที่แม้จะตายก็ยังไม่ยอมรับ ก็ชักจะรู้สึกว่า หรือว่าหรานอ๋องจะถูกใส่ร้ายจริงๆ
เนื่องเพราะที่เขาพูดออกมาก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้
ฟังมาว่าฮ่องเต้พระองค์นี้น้ำพระทัยลึกล้ำ แม้แต่อี้อ๋องจีเย่ที่เป็นพระอนุชาแท้ๆ ยังถูกพระองค์ขับไล่ไปอยู่ซีเหลียงเลย
จีหรานเป็นเสด็จอา ทั้งยังได้รับความเคารพรักจากพวกเขา โอรสสวรรค์ไหนเลยจะยอมให้มีคนในราชวงศ์ได้รับความรักจากประชาชนมากกว่าตนเองได้กัน?
พวกเขาเองก็เป็นเพียงประชาชนธรรมดา ยิ่งไม่กล้าตัดสินว่าผู้ใดจริงผู้ใดเท็จโดยง่าย ได้แต่ทำตนเป็นฉากหลังมองดูจากด้านข้างเท่านั้น
ทันทีที่จีหรานพูดจบ ก็ยิ่งโหมความโกรธเกรี้ยวของชือหลีขึ้นมา
ดวงจิตของชือหลีไหววูบอย่างรุนแรง แทบจะฉีกทำลายยันต์สีชาดของตู๋กูซิงหลัน
ดวงเนตรยาวรีของนางลุกโชนด้วยไฟแค้น ภายใต้การควบคุมของตู๋กูซิงหลัน ก็ตบลงไปบนพักตร์ของจีหรานอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ” เจ้ามันตัวเนรคุณ! “
ลูกตบของเทพเรียกเลือดสดๆ จากริมฝีปากของจีหราน ร่างของเขาปลิวไปดั่งเศษผ้าชิ้นหนึ่ง พอเห็นอยู่ว่ากำลังจะกระแทกเข้ากับลำต้นของต้นฮว๋ายในอาราม
ก็มีหางที่ใหญ่ยาวของงูยักษ์พุ่งออกมารับตัวจีหรานเอาไว้
งูตัวนั้นพอรัดตัวจีหรานเอาไว้ได้ก็คิดจะหนี
ผู้คนทั้งหลายหวาดกลัวมันต่างก็ไม่กล้าขัดขวาง
ฮ่องเต้เสด็จออกมาจากในอาราม ตรัสคำเดียวด้วยพระพักตร์เย็นชา ” ตาม”
เหล่าองครักษ์รับพระบัญชา ต่างโผร่างเหาะขึ้นไปขวางทางเจ้างูยักษ์ตัวนั้นเอาไว้
” ซี่ ซี่ ซี่…….” งูยักษ์แลบลิ้นออกมา จดจ้องพวกเขาด้วยสายตาชิงชัง
แต่กลับม้วนตัวจีหรานเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง ความกลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ประชาชานทั้งหลายต่อให้โง่เขลาเพียงใด ยามนี้ก็สามารถดูออกว่างูตัวนี้กำลังปกป้องจีหรานอยู่
หากว่าเป็นปีศาจที่ฮ่องเต้ทรงเรียกออกมาจริงๆ เช่นนั้นจะปกป้องจีหรานไปทำไมกัน?
ประกอบกับเมื่อครู่งูตัวนั้นก็พุ่งออกมาจากตำหนักของจีหราน เช่นนี้ต่อให้มิได้พูดอะไร พวกเขาก็เข้าใจได้ แล้ว ว่างูตัวนี้ต้องถูกจีหรานเลี้ยงเอาไว้อย่างแน่นอน
เหล่าองครักษ์เคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายลม หลังไล่ตามอยู่เพียงครู่เดียว ในมือของพวกเขาก็ปรากฎตาข่ายสีทองขึ้นมา ตาข่ายถูกเหวี่ยงขึ้นไป คิดจะจับงูตัวนั้นเอาไว้
แต่น่าเสียดายที่เกล็ดบนตัวมันแข็งแกร่งมาก ตาข่ายสีทองพอคลุมลงไปถูกมันดิ้นเพียงไม่กี่ครั้งก็ขาดกลายเป็นรูขนาดใหญ่
ในตำหนักของจีหราน อู้เจินและอู๋ซื่อต่างก็รีบรุดออกมาช่วยเหลือ ที่ด้านหลังของพวกเขายังมีเหล่าลูกศิษย์ที่งดงามดั่งบุปผาชุ่มน้ำตามมาอีกด้วย
เหล่านักพรตน้อยที่งดงามเหาะลงมาดุจเซียนวิเศษ พวกเขาพากันเขวี้ยงยันต์และชักกระบี่วิเศษใส่งูยักษ์ คิดจะสกัดจับมันเอาไว้
หลังจากรับมือกันอยู่หลายรอบ งูยักษ์นั้นก็พังท้องถนนเสียจนราบคาบ มันโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ส่งเสียงกรีดร้องดังกึกก้อง น้ำในแม่น้ำลี่เหอก็เกิดคลื่นซัด เห็นอยู่ว่ากำลังจะถาโถมเข้าสู่เมืองลี่โจวอีกครั้ง
” ที่แท้ปีศาจที่ทำให้แม้น้ำลี่เหอวิปริตไปก็คืองูตัวนี้! ” ในบรรดาฝูงชนมีคนคิดขึ้นมาถึงเสียงประหลาดที่ดังกึกก้องขึ้นมาในวันนั้นได้
” ใครจะไปคิดกัน ว่าหรานอ๋องยามปกติคำนึงถึงประชาชนก่อนอยู่เสมอ ที่แท้ก็คือเจ้านายของสัตว์ปีศาจ! “
” สวรรค์ทรงโปรด พอคิดดูให้ดีๆ ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว ตกลงเขาคิดอะไรอยู่กันแน่? ทั้งหมดนี้คือการวางแผน รวบไปถึงที่สละร่างเข้าขวางเขื่อนแตกด้วยหรือ? “
ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ หากว่าวันนี้ฮ่องเต้มิได้เสด็จมา เมื่อลี่โจวจะกลายเป็นเช่นไร “
…………………………….
จีฉวนประทับอยู่ในอาราม สายพระเนตรเหลืบลงที่ใต้โต๊ะบูชาอย่างจดจ้อง
ทันทีที่ทอดพระเนตรลงไป ก็เห็นว่าใต้บันไดหลายขั้นนั้นมีความเคลื่อนไหว
พอดวงเนตรหงส์ของเขาหรี่ลง ก็พบว่าเป็นศีรษะของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมา แม้จะมีหนวดเครารกครึ้มแต่ก็ไม่อาจปิดบังใบหน้าที่งดงามนั้นได้
” ฝ่าบาท? ” ตู๋กูเจวี๋ยเห็นพระองค์ก็พลอยตกตะลึง เขากวาดตามองฮ่องเต้ที่แต่งพระองค์มาอย่างเต็มยศ ชนิดที่เรียกว่าแทบจะเขียนเอาไว้บนพระพักตร์ว่า ” ข้าคือฮ่องเต้” อย่างไรอย่างนั้น
เขาถวายพระพรจีฉวนครั้งหนึ่ง ค่อยกราบทูลว่า “พวกเขาพูดจามั่วซั่ว ตอนนั้นคนที่เอาตัวเข้าไปขวางเขื่อนที่แตกก็คือกระหม่อม จีหรานผู้นั้นมิใช่ตัวดี! “
” ฝ่าบาท พระองค์มิได้ทรงทราบ ตอนนั้นสถานการณ์อันตรายมาก เขื่อนนั้นเดิมทีก็อ่อนเป็นเต้าหู้ แค่มีงูตัวหนึ่งเข้าไปชนเพียงเบาๆ ก็พังทลายออกมาแล้ว ตอนนั้นกระหม่อมร้อนใจ ไม่มีหนทางอื่นได้แต่ใช้ร่างที่ผ่ายผอมเล็กบางของตนเองขวาง แต่ก็ไม่อาจปิดรอยแตกนั้นเอาไว้ได้ ทั้งยังถูกกระแสน้ำพัดพาไป เฮ้อ โชคดีที่ยามปกติกระหม่อมทำบุญแผ่เมตตาเอาไว้มาก จึงได้รับความคุ้มครองจากสวรรค์ ตอนนี้ถึงได้ถูกเทพธิดาช่วยออกมาแล้วอย่างไรเล่าพะยะค่ะ”
ทูลแล้ว ตู๋กูเจวี๋ยก็หันไปกล่าวกับเทพธิดาว่า ” เทพธิดา บุญคุณที่ช่วยชีวิตไม่รู้จะตอบแทนเช่นไรดี ประเดี๋ยวข้าจะช่วยแทงจีหรานให้ท่านสักสองดาบ ให้ท่านได้ระบายแค้นในปีนั้นออกมา”
” ถึงแม้ว่าช่วงนี้ทั้งร่างกายและจิตใจของข้าจะพึ่งผ่านการถูกทรมานอย่างอย่างหนักหนา แต่ว่าบุญคุณช่วยชีวิตจะอย่างไรย่อมยิ่งใหญ่กว่าและสำคัญกว่า ข้ามิใช่จิ้งจอกตาขาว ย่อมไม่มีทางลืมเลือนอยู่แล้ว “
ยามนี้พอชือหลีได้ยินเสียงของเขาขึ้นมาทีไรนางเป็นต้องรู้สึกคลื่นไส้วิงเวียน!
เจ้าช่วยลืมมันไปเสียเถอะ!
ฮ่องเต้เองก็ทรงขมวดพระขนงเบาๆ เห็นตัวเขาสกปรกไปหมดทั้งยังมีกลิ่นเหม็นโชยชาย ฮ่องเต้จึงขยับพระองค์ไปทางด้านข้างหลายก้าว ไม่คิดจะเสวนากับเขาเลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ก็รู้อยู่แล้ว ว่าคุณชายรองตระกูลตู๋กูเป็นคนช่างพูด แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีวาจาไร้สาระมากมายถึงเพียงนี้
ชาวบ้านทั้งหลายได้เห็นเขา และได้ฟังคำพูดของเขา ก็กึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
หรานอ๋องจะแย่เพียงไร ก็คงไม่ถึงขั้นแย่งผลงานปิดกั้นเขื่อนของผู้อื่นหรอกมั้ง?
พอมองออกไป ทั้งองครักษ์ นักพรต และงูยักษ์ตัวนั้นต่างก็ต่อสู้กันไปอีกหลายรอบแล้ว ตลอดทั้งถนนถูกทุบทำลายจนกลายเป็นพื้นที่ราบ
ชือหลียังคงถูกควบคุมเอาไว้ ไม่อาจกระทำการเกินเลยด้วยตนเอง นัยตายาวรีทั้งสองของนางมองดูชือฉิงที่กลายเป็นงูยักษ์ กำลังพยายามปกป้องจีหรานเอาไว้อย่างดี ก็คิดถึงตอนที่ถูกคนทั้งสองหักหลังขึ้นมา ใจของนางราวกับถูกฉีกกระชากออกจากกัน
ตู๋กูซิงหลันไม่อยากจะเสียเวลาอีกต่อไป ทั้งไม่อยากเห็นประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ในมือจึงเพิ่มยันต์สีแดงอีกแผ่นหนึ่งขึ้นมา ขณะที่นางยังไม่ทันได้เขวี้ยงออกไป ก็เห็นสหายติ๊งต๊องชิงอาสากระโดดนำไปก่อนเสียแล้ว