เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้เป่าแตรได้เป่าแตรขนาดใหญ่และเสียงกลองศึกก็ดังขึ้นตามมาติดๆ ทุกครั้งที่เสียงดังขึ้นช่างทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นกังวล อวิ๋นเยี่ยซุกศีรษะไว้ใต้ผ้าห่ม อยากจะทำเสมือนไม่ได้ยิน ใครจะคิดว่าจะถูกถังเจี่ยนที่พักอยู่ด้วยกันบังคับลากขึ้นมา
“เหล่าถัง เจ้าก็ละเว้นข้าสักครั้งได้หรือไม่ เมื่อวานนี้รักษาทหารจำนวนมากเช่นนั้น ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว เจ้าให้ข้านอนต่ออีกสักพักได้ไหม” อวิ๋นเยี่ยเหมือนกำลังอ้อนวอน สภาพอากาศข้างนอกทั้งหนาวและแห้งแล้ง ลมหายใจที่สูดเข้าล้วนแต่เป็นการทรมาน ตอนเช้าเช่นนี้ ไม่รู้ว่าหลี่จิ้งเกิดคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมา
“หึๆ เจ้าหนุ่ม นี่เป็นฉากที่หาดูยากมาก ตั้งแต่การก่อตั้งราชวงศ์ถังเป็นต้นมา มันถูกจัดขึ้นเพียงสามครั้ง เจ้าถือว่ามีวาสนามากที่ได้เห็น ทำไมยังมัวแต่นอนขี้เกียจอยู่อีก อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงโหวเหยียคนหนึ่ง ต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง รีบลุกขึ้นแล้วสวมเสื้อเกราะเสีย เป็นอู่โหวก็ต้องดูมีภาพลักษณ์ของโหวเหยียฝ่ายบู๊สิ”
เมื่อดื้อด้านสู้ถังเจี่ยนไม่ได้ จึงจำต้องลุกขึ้น รอจนสวมชุดเกราะเสร็จ เสียงกลองก็หยุดแล้ว
ถังเจี่ยนไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย ค้อนปะหลับปะเหลือกพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เสียงกลองหยุดไปนานแล้ว หากเจ้าเป็นทหารจริงๆ ศีรษะคงต้องถูกตัดเสียบไว้บนเสาธงหลายครั้งแล้ว โชคดีที่เป็นแต่ในนาม ไม่เช่นนั้นหน้าตาของทหารต้าถังคงต้องถูกเจ้าทำลายไม่มีเหลือ”
“เหล่าถัง ข้าจะเสียหน้าหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย รอจนกลับถึงฉางอันก่อน ข้าจะมาสนิทกับหน่วยหงหลูซื่อของเจ้าให้มากๆ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ทำการค้าครั้งใหญ่ด้วยกัน” อวิ๋นเยี่ยนั้นได้ฝึกหนังหน้าเอาไว้นานแล้วเพียงแค่ประเด็นนี้ยังไม่มากพอที่จะกระตุ้นให้เขารู้สึกแย่ได้
“ใต้หล้านี้ คนที่ไม่ว่าจะอ้าปากหรือหุบปากก็เอาแต่พูดเรื่องการค้าเห็นทีคงมีแต่เจ้าเพียงคนเดียว หน่วยหงหลูซื่อเป็นหน่วยงานมือสะอาด ไม่สามารถรับมือกับการข่มขู่ขูดรีดของเจ้าได้” ถังเจี่ยนก็ไม่สนใจ เขาสร้างผลงานชิ้นใหญ่ในครั้งนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด การสร้างผลงานด้านการศึกในต้าถังถือเป็นเรื่องยากที่สุด อยากจะแต่งงานมีครอบครัวหากไม่มีผลงานทางการศึกถือว่าเป็นเพียงความฝันอย่างแท้จริง ครั้งนี้ตนเองใช้ชีวิตเข้าแลกเพื่อสร้างผลงาน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นขณะคุยกับอวิ๋นเยี่ยจึงค่อนข้างปล่อยตัวตามสบายมากกว่าเดิมและระมัดระวังตัวน้อยลง
ทั้งสองคนยืนที่ประตู การตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือยังคงไม่ยอมที่จะเปิดม่านตรงนั้นออก ถังเจี่ยนนั้นถูกแช่แข็งจนกลัว เขาถูกแช่แข็งจนกลัวแล้วจริงๆ ขณะที่นอนอยู่ในหลุมที่เชิงเขาอินซัน เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรจากคนตาย ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะไปหนีไปยังที่รกร้างที่สุดทางตอนใต้ประเทศเดี๋ยวนี้เลย เพราะที่นั่นอบอุ่น
อวิ๋นเยี่ยปลุกปลอบความกล้า เปิดผ้าม่านออก กลั้นหายใจแล้วเดินออกจากกระท่อมหิมะ ถังเจี่ยนที่อยู่ข้างหลังก็กัดฟันแล้วเดินออกไป ทันทีที่ออกมาทั้งคู่ก็ตัวสั่นเทาพร้อมๆ กัน อวิ๋นเยี่ยถึงกับคิดอยากจะวิ่งกลับเข้าไป
นอกจากอวิ๋นเยี่ยและถังเจี่ยนแล้ว ทหารส่วนที่เหลือล้วนแล้วแต่ยืนอยู่บนหิมะอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่พูดอะไร แม้แต่เหอเซ่าที่ยืนอยู่ด้านข้างรอดูเรื่องสนุก สวี่จิ้งจงก็พยายามยืนตัวให้ตรงขึ้นอีกโดยไม่รู้ตัว ซุนซือเหมี่ยวและกงซูเจี่ยซุกมือไว้ในแขนเสื้อ หันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ โผล่ขึ้นมา ซึ่งทั้งสองดูเหมือนว่ากำลังยืนเหม่ออยู่
รถนักโทษคันหนึ่งถูกลากมา ในรถเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ที่คอถูกรัดแน่นด้วยแผ่นไม้ล็อกคอ ทำให้สามารถแหงนหน้ามองฟ้าได้เท่านั้น
“ผู้หญิงคนนี้คือใคร” อวิ๋นเยี่ยกระซิบถามถังเจี่ยน
“องค์หญิงอี้เฉิง ธิดาของอดีตฮ่องเต้สุยเหวินตี้ สตรีผู้นี้เป็นพวกเหลวแหลกจนชิน นางแต่งงานกับข่านของเผ่าทูเจวี๋ยถึงสี่รุ่น เป็นศัตรูตัวฉกรรจ์ของต้าถังเรา หลายๆ ครั้งที่ข่านเจี๋ยลี่บุกปล้นชายแดนก็มีเงาของนางอยู่ด้วย หากนางไม่คอยยั่วยุอยู่เบื้องหลัง ข่านเจี๋ยลี่คงจะไม่บ้าคลั่งถึงเพียงนี้แน่” ในแววตาของถังเจี่ยนมีแต่ความเคียดแค้น
“หมาป่ามีหรือจะไม่กินคน เหล่าถัง นี่เจ้าจะมาเคียดแค้นอะไรกัน เพราะมีผู้หญิงคนนี้ข่านเจี๋ยลี่จึงโจมตีต้าถัง เจ้าเชื่อในคำพูดของตัวเองหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยรำคาญที่สุดเมื่อได้ยินการนำผู้หญิงมากล่าวว่าเป็นต้นเหตุ เมื่อฮ่องเต้เลอะเลือนก็กล่าวโทษว่ามีนางสนมเป็นปีศาจ เมื่อแม่ทัพเลอะเลือนก็กล่าวโทษว่าเป็นเพราะสาวงามล่มเมือง นี่มันตรรกะอะไร
“สิ่งนี้ อย่างไรเสียผู้หญิงคนนี้ก็สมควรตาย เจ้าไม่รู้อะไร นางยังคงต่อต้านอยู่ทั้งที่กองทัพได้บุกตีค่ายของทูเจวี๋ยแตกแล้ว ถึงกับรวบรวมชาวเผ่าทูเจวี๋ยที่กระจัดกระจายมาล้อมโจมตีซูติ้งฟาง หากไม่เป็นเพราะผู้บัญชาการใหญ่ติดตามไปทันเวลา บางทีซูติ้งฟางอาจจะตายท่ามกลางความโกลาหลของกองทัพก็เป็นได้” ถังเจี่ยนค่อนข้างรู้สึกเก้อเขิน
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไรกับถังเจี่ยนอีก ชะเง้อคอเพื่อดูองค์หญิงอี้เฉิงที่อยู่ในรถ เห็นเพียงผมสีขาวที่กระจัดกระจายอยู่บนใบหน้า จึงเห็นหน้านางไม่ชัด ภรรยาเช่นนี้หรือจะเป็นหญิงงามล่มเมืองที่เป็นภัยต่อแคว้น
เบื้องหน้ามีลานกว้างขนาดใหญ่อยู่ ทหารหลายคนเปิดรถนักโทษ ลากองค์หญิงอี้เฉิงออกมาแล้วโยนนางลงบนลานกว้าง นางพยายามดิ้นรนที่จะยืนขึ้น ศีรษะยังคงแหงนหน้ามองท้องฟ้า หมอกสีขาวที่หายใจออกจากปากกระหืดกระหอบ บนร่างมีเพียงหนังบางๆ ห่อหุ้มอยู่ มองออกว่านางพยายามอย่างมากที่จะรักษากิริยาท่าทีของนางไว้
“ทำไมนางต้องแหงนหน้าอยู่ตลอดเวลา แผ่นไม้ล็อกคอปลดออกมาแล้วไม่ใช่หรือ” อวิ๋นเยี่ยมักจะรู้สึกว่าท่าทางของนางค่อนข้างแปลก
“ข้าเคยอยู่ในกรมอาญามาก่อน แผ่นไม้ล็อกคอที่หนักสิบห้าจินนี้เจ้าคิดว่ามันน่าสวมนักหรือ นางไม่ใช่ไม่อยากก้มศีรษะ แต่เพราะนางไม่สามารถก้มลงมาได้ เกรงว่ากระดูกคอน่าจะเคลื่อนผิดตำแหน่งไปแล้ว ก้มศีรษะลงได้สิจึงเป็นเรื่องแปลก” ถังเจี่ยนรู้สึกค่อนข้างมีความสุขที่เห็นนางเป็นทุกข์
ร่างกายที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก หลี่จิ้งจึงดูเหมือนหมีดำตัวใหญ่ เมื่อมาถึงลานกว้างสองมือไพล่หลังพูดกับองค์หญิงอี้เฉิงว่า “ชายชาติทหารสี่พันนายของข้าตายด้วยน้ำมือเจ้า ทุกวันนี้เมื่อคิดถึงพวกเขา ในใจข้าก็เจ็บปวดหาที่เปรียบไม่ได้ ในฐานะที่เป็นชาวฮั่น ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยชนเผ่าของตัวเองเท่านั้น กลับยังไปสมคบคิดกับข่านเจี๋ยลี่ทำเรื่องชั่วช้า บุกปล้นชายแดนไม่หยุดหย่อน มีชาวฮั่นจำนวนเท่าไรที่ตายด้วยน้ำมือเจ้า ตอนนี้ข้าจะลงโทษหญิงชั่วช้าเช่นเจ้าอย่างเป็นทางการเพื่อเซ่นไหว้ทหารต้าถังของข้าที่ตายไป หญิงชั่ว วันนี้คือเวลาตัดศีรษะเจ้าแล้ว”
คำพูดของหลี่จิ้งเพิ่งจะจบลง เหล่าทหารที่ยืนอยู่ใต้ลานกว้างได้ตะโกนเรียกโห่ร้องพร้อมกันว่า “ประหาร! ประหาร! ประหาร!” บรรยากาศนั้นครึกครื้นมาก
ชาวจีนนั้นชอบยืนมุงดู ตั้งแต่มุงดูการทะเลาะวิวาทจนถึงมุงดูการฆ่าคน พวกเขามักจะวางตัวอยู่ในมุมมองของผู้ชม อีกทั้งยังสามารถหาเหตุผลที่จะทำให้ตนเองตื่นเต้นหรือมีความสุขจากสิ่งนั้นได้ด้วย
การที่หลี่จิ้งจะประหารผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้านั้นชอบด้วยเหตุผล นางเป็นศัตรู อีกทั้งเพราะทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกมากมาย เพียงแค่บอกเหตุผลข้อนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอื่นมาร่วมด้วย การเพิ่มโทษหนักให้กับผู้หญิงคนหนึ่งมันช่างเป็นการสิ้นเปลืองเหตุผลจริงๆ
องค์หญิงอี้เฉิงเอียงคอหันมาจ้องมองหลี่จิ้งแล้วพูดช้าๆ ว่า “หลี่จิ้ง เจ้าเองก็เป็นข้าราชสำนักของต้าสุย วันนี้พบข้าแล้วยังไม่คุกเข่าอีกหรือ เลือดอันมีเกียรติที่สุดไหลเวียนอยู่ในร่างกายข้า ทำศึกกับคนทรยศเช่นเจ้า ข้าทำผิดตรงไหน การล่วงเกินเบื้องสูงก็คือโทษตาย เจ้าคงไม่ใช่ว่าไม่รู้กระมัง”
“ราชวงศ์สุยต้องล่มสลายลงเพราะความโหดร้ายป่าเถื่อนของพี่น้องเจ้า ตอนนี้เป็นแผ่นดินของต้าถัง เจ้าก็ไม่ใช่องค์หญิงของข้า เจ้าก่อกรรมทำเข็ญย่อมต้องรับกรรมเป็นเรื่องธรรมดา ทหาร!เตรียมลงทัณฑ์” ดูเหมือนว่าหลี่จิ้งไม่อยากจะทำสงครามน้ำลายกับนางต่อ วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองใหญ่ องค์หญิงอี้เฉิงก็คือของเซ่นไหว้ที่มีเกียรติที่สุด
“หลี่จิ้ง ข้าหนาวมาก ก่อกองไฟให้ข้าสักกอง ข้าอยากจะอบอุ่นร่างกายสักครั้งก่อนตาย มิฉะนั้นเมื่อไปถึงปรโลกแล้วก็จะไม่รู้ว่าอะไรคือความอบอุ่น” องค์หญิงอี้เฉิงก็ไม่ได้ต่อต้านหลี่จิ้งอีก เพียงแค่มีคำร้องขอก่อนตาย
ในต้าถัง หากคำร้องขอของนักโทษประหารไม่มากเกินไป โดยมากแล้วก็จะอนุญาตตามคำขอ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าเป็นคำขอของอดีตองค์หญิงแห่งต้าสุย แม้ว่าหลี่จิ้งจะเจ็บปวดกับการตายของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่กลับไม่ปฏิเสธคำร้องขอข้อนี้ของนาง
กองไฟขนาดใหญ่ถูกก่อขึ้น มันเป็นของที่เตรียมไว้สำหรับการเฉลิมฉลองชัยชนะในวันนี้ มีกองไฟเช่นนี้อยู่เป็นจำนวนมาก องค์หญิงอี้เฉิงมาอยู่ข้างกองไฟและยื่นมือของนางเพื่อผิงไฟ เพียงแต่คอของนางก็ยังคงเคลื่อนที่ผิดตำแหน่งอยู่ ซึ่งทำให้นางรู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก
ซุนซือเหมี่ยวเดินเข้าไปข้างหน้าและกดต้นคอของนางเบาๆ ดันนิ้วขึ้นด้านบน แล้วบิดดันไปทางซ้าย ศีรษะขององค์หญิงอี้เฉิงก็ขยับได้อย่างอิสระ นางยิ้มและคารวะซุนซือเหมี่ยว “หมอเทวดาซุน ช่างเก่งสมคำร่ำลือ”
ซุนซือเหมี่ยวถอนหายใจแล้วเดินจากไป เงาด้านหลังดูเหมือนจะแสดงออกถึงความชอกช้ำ ท่าทางการเดินที่ปกติจะเดินอย่างอกผายไหล่ผึ่งดูเหมือนจะห่อไหล่ไปสักหน่อย พวกเขาเคยรู้จักมาก่อน อวิ๋นเยี่ยเริ่มรู้สึกสนใจ หากระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรที่ให้ใครรู้ไม่ได้อยู่จนทำให้เหล่าซุนปล้นลานประหาร แล้วตนเองจะช่วยหรือไม่
“เหล่าถัง นักพรตซุนกับองค์หญิงคนนี้ดูเหมือนจะเคยรู้จักกันมาก่อน ถ้าหากเหล่าซุนจะปล้นลานประหาร เจ้าจะช่วยหรือไม่” เพียงประโยคเดียว ทำให้ถังเจี่ยนถึงกับสำลักจนแทบหายใจไม่ออก เขาไออยู่หลายครั้งกว่าที่จะสงบลงได้ จ้องหน้าอวิ๋นเยี่ยอย่างฉุนเฉียวและพูดว่า “ตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์สุยแล้ว นักพรตซุนก็มักจะเข้าออกวังหลวงอยู่บ่อยๆ การรู้จักองค์หญิงอี้เฉิงก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร เจ้าอย่าได้ใช้ความคิดสกปรกของเจ้ามามองนักพรตซุน”
หวังว่าพวกเขาจะไม่ได้มีอะไรจริงๆ ไม่เช่นนั้นถ้าหากเหล่าซุนคิดจะทำอะไรบางอย่างจริงๆ อวิ๋นเยี่ยคงได้แต่ต้องสละชีวิตเป็นเพื่อนเขาเท่านั้น ทหารมากมายเช่นนี้ เพียงแค่สองคนต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดก็คือโทษตัดศีรษะ ทำให้คนหนึ่งคนกลายเป็นสามคน
องค์หญิงอี้เฉิงยืนผิงไฟเป็นเวลานานและพูดกับหลี่จิ้งว่า “อบอุ่นจริงๆ มันทำให้ข้านึกถึงวันเวลาที่ข้าอาศัยอยู่ในวัง ในเวลานั้นข้าอายุเพียงสิบสองปี เสด็จพ่อบอกข้าว่าชาวเผ่าทูเจวี๋ยต้องการจะแต่งงานกับองค์หญิงที่เป็นราชนิกุลโดยแท้จริงสักคนหนึ่ง ถ้าหากไม่รับปาก พวกเขาจะไปที่กวนจงจับตัวหญิงหนึ่งหมื่นคนไป เพื่อไม่ให้พวกเขาก่อเรื่องเลวร้ายที่กวนจง ข้าจึงบอกเสด็จพ่อว่าข้าเต็มใจแต่งงานกับข่านของชาวเผ่าทูเจวี๋ย ข้าในตอนนั้นคิดอยู่เสมอว่าข่านแห่งทูเจวี๋ยก็คงเป็นวีรบุรุษท่านหนึ่ง บางทีข้าอาจจะทำให้เขาไม่มารุกรานจงหยวนอีกต่อไป เพราะข้าเป็นลูกสาวที่งามที่สุดของเสด็จพ่อ เมื่อไปถึงที่ทุ่งหญ้าจึงได้รู้ว่า ข่านแห่งทูเจวี๋ยเป็นชายชราที่ฟันหลุดหมดปาก ข้าอยากกลับบ้านแต่กลับไม่ได้แล้ว ได้แต่อยู่ในกระโจมที่สกปรกทั้งยังเหม็นกลิ่นสาบ ข้าอยากอาบน้ำมากแต่ท่านข่านไม่อนุญาต โดยบอกว่าผู้หญิงที่ไม่มีกลิ่นสาบแกะไม่ใช่ภรรยาของชาวเผ่าทูเจวี๋ย ดังนั้นข้าจึงไม่ได้อาบน้ำเป็นเวลานานมากแล้ว หลังจากนั้นข้าก็แต่งงานกับน้องชายของท่านข่านและลูกชายของท่านข่าน สุดท้ายก็แต่งงานกับเจี๋ยลี่ หลี่จิ้ง ตอนนี้ข้าสกปรกมาก ข้าอยากไปพบเสด็จพ่ออย่างสะอาด ได้หรือไม่” องค์หญิงอี้เฉิงมองหลี่จิ้งด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
“ถ้าหากเจ้าต้องการอาบน้ำ จะเห็นแก่ที่เจ้าอาสามาที่เผ่าทูเจวี๋ยนี้ ข้ารับปากเจ้า” หลี่จิ้งกำลังจะให้ทหารเสริมเตรียมน้ำอาบ
“ขอบคุณท่านแม่ทัพมาก ความสกปรกบนร่างกายข้า น้ำไม่สามารถล้างออกได้ ข้าต้องการล้างมันด้วยไฟ” นางยิ้มและคารวะหลี่จิ้งอย่างนอบน้อม จากนั้นก็หันกลับแล้วกระโจนเข้าไปในกองไฟที่ลุกโชน ชักกระตุกเพียงสองครั้ง จากนั้นก็ไม่ขยับอีกเลย…
เหล่าทหารโห่ร้องกันเสียงดังด้วยความดีใจ มีเพียงสีหน้าของหลี่จิ้งเท่านั้นที่เปลี่ยนไปมา ประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวดำ เขาดูออกว่าองค์หญิงอี้ต้องการทำอะไร แต่ไม่คิดว่านางจะตายอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ อี้เฉิงที่อยู่ในกองไฟยังคงยิ้มให้เขา แสดงให้เห็นว่านางไม่ได้กลัวความตาย นางมีชีวิตอยู่มานานพอแล้ว และต้องการจะตายมานานแล้ว