ตั้งแต่เริ่มเดินไปในเส้นทางของการฝึกตน หวังเป่าเล่อก็ผ่านประสบการณ์เสี่ยงตายมามากมาย เขาต้องเผชิญหน้ากับต้นไม้ยักษ์ หนีเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ภัยพิบัติบนดวงจันทร์ พยายามรักษาชีวิตตนในวัตถุเวทแห่งความมืดที่ใต้ดินดาวอังคาร และยังต้องต่อสู้กับอุปสรรคมากมายบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ เหตุการณ์เหล่านั้นอาจฟังดูผ่านไปได้ด้วยดี แต่ความจริงแล้ว หากก้าวพลาดแม้เพียงก้าวเดียว สิ่งที่เหลืออยู่คงจะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ เถ้ากระดูก และเศษธุลี
การสังหารหมู่นี้ดำเนินไปหลังจากที่เรือบินรบลำแรกพุ่งเข้าโจมตี ชายหนุ่มไม่รู้แล้วว่าตนเองสังหารผู้ฝึกตนไปมากเท่าใด
ผู้ที่ผ่านประสบการณ์เช่นนี้จะเริ่มมีจิตใจและท่าทีเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่หวังเป่าเล่อ ความโหดเหี้ยมอำมหิตฝังลึกอยู่ในกระดูกของชายหนุ่ม และไม่เว้นแม้กระทั่งตนเอง ความไร้เมตตาปรานีแม้แต่กับตนเองนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อไร้ซึ่งความเมตตาต่อศัตรูของเขาเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ รูปร่างอวบอ้วนและนิสัยที่ติดตัวเขามาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กน้อย ทำให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดีที่มีความสุขอยู่ตลอดเวลา
นี่คือคราบของแกะน้อยที่หวังเป่าเล่อเรียนรู้ที่จะสวมใส่ตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก!
ภาพชายเจ้าสำราญนี้กำลังเบาบางลงเรื่อยๆ เมื่ออยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงตาปีศาจ แล้วพอเขาโยนภาพชายอารมณ์ดีทิ้งไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็เผยธาตุแท้ของตนเองออกมาในที่สุด
การสังหารหมู่อุบัติขึ้นในทันที ด้วยพลังปราณขั้นจุติวิญญาณชั้นปลาย ความไร้เทียมทานของเกราะจักรพรรดิ และพลังที่เพิ่มขึ้นจากวิญญาณจุติดวงดารา บวกกับอำนาจประหลาดของดวงตาปีศาจ ทำให้ชายหนุ่ม…เปรียบได้กับเทพเจ้าแห่งความตาย
เสียงระเบิดเปลี่ยนสภาพไปเป็นคลื่นพลังปราณที่กระเพื่อมผ่านสมรภูมิรบ ผู้ฝึกตนที่ถูกดวงตาปีศาจกักขังไว้ ตกอยู่ในสภาวะเคลื่อนไหวไม่ได้ และต้องชดใช้ความผิดพลาดนั้นด้วยชีวิต!
เส้นปราณสีโลหิตมากมายพุ่งออกจากเกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อ ดูคล้ายอสรพิษสีแดงที่ชอนไชไปในอากาศ และเสียบทะลุสิ่งมีชีวิตรอบกายไปตลอดทางที่ชายหนุ่มเหาะผ่าน ความเร็วของเขาทำให้ใครก็ตามที่พุ่งเข้ามาชนแม้ในเวลาสั้นๆ ร่างระเบิดแหลกสลายกลายเป็นเศษเนื้อในทันที
เกราะจักรพรรดิลักอัคคียังคงดูดพลังชีวิตจากเหยื่ออย่างต่อเนื่อง เมื่อดูดพลังของอีกฝ่ายจนแห้งเหือดแล้ว เกราะจักรพรรดิก็ยิ่งทวีความน่าสยองขวัญขึ้นทุกวินาที เส้นกระดูกสีขาวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว และเริ่มจับตัวเข้าด้วยกันเป็นกระดูกที่เสียดแทงออกจากเกราะกลายเป็นหนามแหลมคม ขณะที่การสังหารหมู่เดินหน้าต่อไปนั้น ความกระหายเลือดและความตื่นเต้นดีใจ ยิ่งเผยตัวตนให้เด่นชัดขึ้นในจิตใจของหวังเป่าเล่อที่ดวงตาปีศาจอาศัยอยู่
มันสูบวิญญาณแล้ววิญญาณเล่าเข้าใส่ตนด้วยความตะกละตะกลาม เปลี่ยนสภาพวิญญาณแต่ละดวงเป็นดวงตาสีดำขนาดเท่ากำปั้นที่ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ แม้กระทั่งตอนที่อำนาจซึ่งขังทุกคนให้นิ่งอยู่กับที่สลายไปแล้ว ผู้ฝึกตนที่กลับมาควบคุมตนเองได้อีกครั้งก็ยังหนีไปไหนไม่พ้น สิ่งที่รออยู่ปลายทางมีเพียงความตายเท่านั้น!
บัดนี้…ชายหนุ่มได้กลายมาเป็นสิ่งที่น่ากลัว น่าหวาดหวั่น และเป็นความสิ้นหวังหนึ่งเดียว ท่ามกลางผู้คนมากมายที่แทบสิ้นสติด้วยความขนพองสยองเกล้า ความรู้สึกดำมืดไร้ทางออกแพร่กระจายไปทั่วสนามรบเหมือนไฟลามทุ่ง ทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับกำลังโดนเงาทะมึนทาบทับอยู่บนร่างกายและจิตใจ ทุกคนครองสติเอาไว้ไม่อยู่ รักษาตำแหน่งของตนเองในสนามรบเพื่อข่มขวัญศัตรูไม่ได้ และหมดซึ่งเรี่ยวแรงจะโจมตีกลับ อันเป็นเป้าหมายของการเข้าโจมตีก่อนของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้!
เขาต้องการสร้างความตกใจจนขาดสติและความตายให้เห็นกันต่อหน้าต่อตา ชายหนุ่มรู้ดีว่าผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลคิดอย่างไรและจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร หากเขาลังเลในการกระทำของตนเองแม้แต่น้อย ทุกคนจะฉวยโอกาสนี้เข้ามาสุมไฟแห่งการสู้รบให้โหมกระหน่ำ สิ่งที่รอเขาและเฟิ่งชิวหรันอยู่ย่อมเป็นการผนึกกำลังกองทัพผู้ฝึกตนกว่าหนึ่งหมื่นคนปราบพวกเขา แม้ชายหนุ่มจะฆ่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณได้โดยง่าย แต่ก็รู้ดีแก่ใจว่าขีดจำกัดของตนอยู่ตรงใด ลำพังตัวเขาเพียงลำพังคงต่อกรกับกองทัพที่มีจุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวไม่ได้อย่างแน่นอน!
แม้มดจะตัวเล็ก แต่หากรวมกันมากพอก็สามารถล้มราชันอสูรลงได้!
กลยุทธ์การข่มขวัญคู่ต่อสู้คือทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ ดวงตาสีดำมากมายที่สร้างขึ้นโดยดวงตาปีศาจอาจควบคุมจิตใจศัตรูได้ชั่วคราวในยามที่มันเปิดออก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเช่นกัน ยิ่งร่างกายของเขาได้รับผลกระทบจากการใช้พลังเกินตัวมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ของดวงตาปีศาจที่มีต่อศัตรูก็ยิ่งอ่อนกำลังลงเท่านั้น
แผนการของหวังเป่าเล่อคือทำให้ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลหยุดชะงักไปชั่วคราว เมื่อผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเริ่มตะโกนสั่งให้ทุกคนตั้งแถว และหลอกล่อพวกเขาด้วยแต้มการรบ คนส่วนมากก็เริ่มจัดการตนเองให้เป็นระเบียบท่ามกลางความอลหม่านเลือดพล่านของสนามรบ
แต่ก่อนที่จะได้จัดแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ส่งไม้ตายออกไปจัดการ…โดยการท่องบทสวดแห่งเต๋า!
พลังอำนาจของบทสวดเข้าแทนที่ดวงตาปีศาจ พุ่งลงมาจากสรวงสวรรค์เบื้องบน และปักลงกลางใจอันระส่ำด้วยความกลัวของเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล จากนั้นการสังหารที่บ้าคลั่งก็เริ่มต้นอีกครั้ง!
หวังเป่าเล่อคลั่งไปเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกเหมือนโดนกองกำลังจากดาวพุธเพ่งเล็ง ทำให้กระดูกสันหลังของเขาเย็นวาบ สัมผัสของภัยอันตรายทำให้ชายหนุ่มหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ เขารู้สึกราวกับว่าไม่ได้มีอำนาจกำหนดชีวิตตนเอง
แต่โชคดีที่ขณะเขาเดินหน้าฟาดฟันคู่ต่อสู้ ดวงตาที่อยู่เบื้องหลังก็เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกเย็นวาบเหล่านั้นค่อยๆ จางหายไปตามจำนวนดวงตาปีศาจที่เพิ่มขึ้น
ยังไม่พอ ยังไม่มากพอ! ดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงก่ำ ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่าตนเองอยู่ที่ใด ความรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ทาบลงมาบนร่าง ทำให้เขาค้นหาความอบอุ่นอย่างบ้าคลั่ง ความอบอุ่นที่จะทำให้ความเย็นจับขั้วหัวใจมลายหายไป ในตอนนี้สำหรับเขาแล้ว ทุกคนที่อยู่เบื้องหน้าคือเป้าหมายที่ต้องทำลายให้สิ้น!
ฆ่า!
เขาก้าวไปข้างหน้า ปรากฏตัวขึ้นข้างผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทันที เมื่อโดนเข้าประชิดตัว ผู้ฝึกตนผู้นั้นก็ตกใจรีบผละถอยหลังไป แต่หวังเป่าเล่อก็พุ่งเข้าใส่โดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ เสียงปะทะดังลั่นขึ้น ร่างของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นพุ่งไปด้านหลังราวกับเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่พุ่งเข้าชนเครื่องบินรบ กระดูกของเขาแหลกสลายไปในทันที ส่วนดวงวิญญาณก็ดับสิ้นไป!
ฆ่า!
หวังเป่าเล่อไม่ยอมหยุด เขากระโจนไปข้างหน้าพร้อมขบกรามแน่น ขณะที่สมบัติเวทนับร้อยถาโถมเข้าใส่จากทุกทิศทาง เกราะจักรพรรดิและแขนอาวุธเทพปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าออกมาขณะฟันไปด้านหน้า ก้อนสายฟ้าขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นและระเบิดทันที เปลี่ยนเป็นตาข่ายกว้างสามกิโลเมตรที่เผาทุกสิ่งที่เข้ามาปะทะให้มอดไหม้!
ความตายที่ได้จากวิธีการโจมตีเช่นนี้มากมายก็จริง แต่พลังงานที่ต้องใช้ไปก็มากเช่นกัน แม้เกราะจักรพรรดิลักอัคคีจะเดินหน้าดูดพลังชีวิตจากผู้สิ้นชีพอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอในระยะยาว เนื่องจากผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลมีมากจนเกินไป!
ความลำบากนี้ทวีเพิ่มขึ้นอีกด้วยผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นในคราบคนของสำนักวังเต๋าไพศาล เป้าหมายของพวกเขาคือการทำให้หวังเป่าเล่อหมดทางสู้ คำสั่งของโยวหรันทำให้ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลยังคงปักหลักอยู่ที่สมรภูมิรบโดยไม่หนีไปไหน เฝ้ารอให้หวังเป่าเล่อแสดงวินาทีของความอ่อนแอให้เห็น!
พวกเขาเหมือนขดลวดสปริงที่ย่อตัวลงด้วยแรงกดทับมหาศาล และเมื่อหวังเป่าเล่อเริ่มอ่อนแรงลง ก็พร้อมที่จะปล่อยพลังงานทั้งหมดที่สั่งสมไว้ออกมาทันที แต่แน่นอนว่าขดลวดสปริงเองก็มีขีดจำกัด หากแรงกดทับมีมากเกินไป ก็คงถูกทำลายย่อยยับในพริบตา หมดสิ้นซึ่งหนทางจะปล่อยพลังออกมาได้!
สิบห้านาทีผ่านไปท่ามกลางความรุนแรงอำมหิตที่เดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด…ขดลวดสปริงก็พังทลายลง!
สนามรบตกอยู่ในความโกลาหล กองทัพผู้ฝึกตนไม่สามารถทานทนแรงกดดันได้อีกต่อไป จนเริ่มแสดงท่าทีว่าจะยอมจำนน ไม่มีใครรู้ว่าคนแรกที่หลบหนีด้วยใบหน้าสยดสยองคือใคร แต่ทุกคนก็แห่กันทำตามโดยไม่ลังเล สมรภูมิกลายเป็นกระแสผู้คนที่หลบหนีไปด้านหลัง กองทัพย่อยยับไปด้วยตนเองจากภายใน
“ข้าไม่สนแต้มการรบแล้ว ไอ้บ้านี่มันไม่ใช่คน!”
“ข้ายังมีมหาเต๋าอยู่เบื้องหน้าและมีหลายอย่างที่ยังอยากทำ ข้าไม่ยอมกลายเป็นก้อนกรวดให้ไอ้หมอนี่มันบดขยี้จนตายหรอก!”
การถอยร่นของกองทัพทำให้ทุกอย่างพังพินาศ ความวุ่นวายเข้าครอบคลุมสนามรบในห้วงอวกาศแห่งนี้ทันที ภาพนี้ทำให้เฟิ่งชิวหรันเย็นสันหลังวาบ นางมองหวังเป่าเล่อ และหันไปมองผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ล้อมพวกเขาทั้งสองไว้ หัวใจเอ่อล้นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แต่สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงถอนหายใจ
ขณะที่กองทัพกำลังแตกฮือเหมือนมดแตกรัง หวังเป่าเล่อก็โผล่ขึ้นที่ใจกลางสนามรบ ท่ามกลางทะเลเลือดและร่างไร้ชีวิต เกราะจักรพรรดิสีแดงชาดยังคงดูน่าสยองพองขน แต่สิ่งที่ทำให้ขนหัวลุกที่สุด คือดวงตาหลายหมื่นดวงที่ลอยอยู่เบื้องหลัง!
ดวงตาทั้งหมดปิดเปลือกตาอยู่ และกำลังดิ้นเร่าๆ จนทำให้อวกาศโดยรอบบิดเบี้ยวไม่มีชิ้นดี พวกมันลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ที่กำลังยืนอยู่ด้านบน รายล้อมด้วยซากศพมากมาย ราวกับเป็นเทพปีศาจร้ายจุติลงมาจากเบื้องบนเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็ไม่ปาน!
*แค่นี้ยังไม่พอ ต้องมีมากกว่านี้!*หวังเป่าเล่อหอบใจหอบ อ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจจนแทบยืนไม่ไหว พลังงานที่ยังคงหลั่งไหลเข้ามาจากเกราะจักรพรรดิและความกระหายเลือดของดวงตาปีศาจ บังคับให้ตัวเขาต้องรู้สึกทั้งความเหนื่อยล้าและความตื่นเต้นที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดง เขาขยับเท้าเพื่อพร้อมออกสังหารอีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง เสียงประหลาดก็ดังแว่วออกจากดาวพุธ สะท้อนก้องกังวานไปทั่วอวกาศ เรือบินรบเต๋ามรณะบนดาวพุธและสายฟ้าสีดำที่ก่อตัวขึ้นนั้น ปล่อยพลังของมันออกมาโดยฉับพลัน!
สายฟ้าสีดำนับไม่ถ้วนไม่ได้รวมตัวกันเป็นลำแสงกว้างสามกิโลเมตรอีกต่อไปแล้ว หากแต่ขยายออกเป็นสามสิบกิโลเมตร ลำแสงนั้นกลายสภาพเป็นมือยักษ์สีดำที่สร้างมาจากสายฟ้าทมิฬ!
มือสายฟ้ายักษ์กวาดห้วงอวกาศ ก่อให้เกิดพลังที่แซงหน้าขั้นเชื่อมวิญญาณ พลังที่น่าเกรงขามและน่าหวาดหวั่นนี้พอฟัดพอเหวี่ยงกับขั้นจิตวิญญาณอมตะเลยทีเดียว มันปรากฏขึ้นในสนามรบอย่างฉับพลัน และพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ หมายจะจับตัวเขาเอาไว้!
มือยักษ์อาจดูเหมือนเถ้าธุลีเมื่อเทียบกับจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล แต่มันยิ่งใหญ่ราวกับเป็นทั้งผืนฟ้าเมื่อเทียบกับขนาดของสมรภูมิรบ มันพร้อมที่จะจับทั้งหวังเป่าเล่อและดวงดาวโดยรอบเอาไว้ จากนั้นก็บดขยี้จนแหลกคามือ ก่อนจับไปฝังทั้งเป็น!
………………………..