ประตูหิน

“ไปกันเถอะ!” เห็นรูปปั้นเดินนำหน้า จางเซวียนกับคนอื่นๆรีบตามเข้าไปในหอหรันจื่อ

ทางเดินนั้นมีไข่มุกกระจ่างราตรีมากมายเรียงรายอยู่บนเพดาน ให้แสงสว่างทั่วทั้งบริเวณ ดังนั้น แม้จะอยู่ในพื้นที่ปิด แต่ก็สว่างไสวราวกับกลางวัน

มีอักษรจารึกโบราณถูกสลักไว้ตามทางเดิน ให้รายละเอียดถึงค่านิยมและมารยาทที่คนๆหนึ่งควรฝึกฝนและจำให้ขึ้นใจ

“ไหนคุณบอกว่านักปราชญ์โบราณหรันชิวไม่ใส่ใจกับพิธีรีตองยุ่งยากไม่ใช่หรือ? แล้วทำไม…” จางเซวียนอดตั้งคำถามกับรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นไม่ได้

ก่อนหน้านี้ รูปปั้นเด็กชายบอกไว้ว่านักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นผู้ที่ไม่ให้ความสนใจกับพิธีการต่างๆ จึงดูออกจะย้อนแย้งที่เห็นอักษรจารึกเกี่ยวกับค่านิยมและมารยาทมาปรากฏอยู่ในทางเดินของหอหรันจื่อ

“ก็เพราะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้นี่แหละ จึงถูกปรมาจารย์ขงติติง ดังนั้นเขาจึงสลักตัวอักษรเหล่านี้เอาไว้เพื่อเตือนใจตัวเองไม่ให้หลงลืมเรื่องค่านิยมและมารยาท” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นตอบ

ครั้งหนึ่งปรมาจารย์ขงเคยพูดไว้ว่าแต่ละคนควรจะเรียนรู้จากพฤติกรรมของคนอื่น ในฐานะศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขง นักปราชญ์หรันชิวจึงให้ความสำคัญกับคำสอนนั้น

จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระซิบกระซาบ “แล้วสี่คนที่มาก่อนหน้าพวกเราน่ะ ผ่านการทดสอบด้วยหรือเปล่า?”

เพราะที่ผ่านมา พวกเขาไม่เห็นร่องรอยของเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 4 ตัวที่ออกเดินทางมาก่อนหน้าเลย หรือว่าพวกนั้นไม่ผ่านการทดสอบ?

 

แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งสี่ที่เดินทางมาก่อนพวกเขานั้นไม่ได้อ่อนแอ แต่สำหรับอาณาจักรโบร่ำโบราณที่ถูกทิ้งไว้โดยศิษย์สายตรงอันดับ 1 ของปรมาจารย์ขงนั้น อย่างน้อยก็น่าจะมีความละเอียดพอที่จะแยกแยะระหว่างมนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นไม่ใช่หรือ?

ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นล่ะก็ จะน่าผิดหวังสักแค่ไหน?

“พวกเขาผ่านการทดสอบและเข้าไปข้างในแล้ว” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นตอบอย่างสุภาพ

หลังจากรู้ว่าจางเซวียนได้รับมรดกตกทอดของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ ท่าทีของรูปปั้นเด็กชายก็ดูจะมีมารยาทและอ่อนน้อมขึ้นมาก

“พวกนั้นผ่านการทดสอบเหมือนกัน? แล้ว…คุณรู้สึกถึงความผิดปกติของพวกเขาหรือเปล่า?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

“ความผิดปกติ?” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นส่ายหน้า “ไม่มีอะไรทำนองนั้นนี่ พวกเขาเอาชนะนักรบทองคำแห่งลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณและผ่านการทดสอบไปได้อย่างชอบธรรม และคนหนึ่งในหมู่พวกเขายังมีของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียนอยู่กับตัวด้วย”

“ของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียน?” จางเซวียนนัยน์ตาโตด้วยความประหลาดใจ

นักปราชญ์โบราณเยียนเยียนเป็นหนึ่งในสิบจอมยุทธภายใต้การดูแลของปรมาจารย์ขง มีสถานภาพเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณโป๋ช่าง นักปราชญ์โบราณหรันชิว และคนอื่นๆ เขามีความสามารถพิเศษด้านดนตรี และได้ถ่ายทอดทอดมรดกของตัวเองให้กับสมาคมมือบรรเลงบทเพลงปีศาจ ด้วยเหตุนี้ มือบรรเลงบทเพลงปีศาจส่วนมากจึงยกย่องเขาในฐานะผู้ก่อตั้ง

ไม่น่าเชื่อว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 4 ตัวจะมีของล้ำค่าชิ้นหนึ่งของนักปราชญ์เยียนเยียน!

เข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้โดยสามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับของเหล่าปรมาจารย์ค้นพบอาณาจักรโบร่ำโบราณที่แม้แต่สภาปรมาจารย์ก็ยังไม่รู้ว่ามีอยู่แถมยังได้ครอบครองของล้ำค่าชิ้นหนึ่งของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียน*…ดูเหมือนเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้จะเตรียมตัวมาอย่างดี!*

จางเซวียนคิดอย่างเคร่งเครียด

สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นกับมวลมนุษย์ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับทั้งสองฝ่ายมาตลอดระยะเวลาหลายปี มนุษย์ต้องสูญเสียของล้ำค่ามากมายให้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ จึงไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะมีของล้ำค่าชิ้นหนึ่งของนักปราชญ์เยียนเยียนอยู่ในครอบครอง

แต่ถึงอย่างนั้น จางเซวียนก็ออกจะประหลาดใจเล็กน้อยกับการเตรียมพร้อมของพวกมัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตบตารูปปั้นเด็กชายวัยรุ่น

เหตุผลที่จางเซวียนตั้งคำถามนี้ก็เพื่อจะเตือนรูปปั้นเด็กชายโดยอ้อมๆ หากทั้งสี่เผยให้เห็นความผิดพลาดในการปลอมตัวของพวกมันออกมา รูปปั้นเด็กชายก็จะได้ใช้มาตรการเล่นงานพวกมันโดยทันที

แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดจะไม่มีประโยชน์ เพราะเขาไม่มีหลักฐานมัดตัวสี่คนนั้น การที่เขาจะโน้มน้าวใจรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นให้สนใจเรื่องนี้ไม่สำเร็จก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่คงจะเป็นหายนะแน่หากเขาทำให้รูปปั้นเด็กชายเกิดความเป็นปฏิปักษ์ขึ้นมา

แน่นอนว่าเจ้าพวกนั้นคงเตรียมการเรื่องนี้มานานแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดพวกมันถึงจับตัวจ้าวหย่ากับพรรคพวกไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ การรับมือกับทั้งสี่ย่อมไม่ง่ายอย่างแน่นอน

“เรามาถึงแล้ว”

ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด จางเซวียนได้ยินเสียงดังมาจากด้านข้าง เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าพวกเขามาถึงห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง

ห้องนั้นมีรูปร่างกลม และมีประตูหลายบานอยู่โดยรอบ มองแวบเดียวก็พอกะได้คร่าวๆว่าน่าจะมีเกือบ 100 บาน

“ที่นี่มีประตู 99 บาน แต่ละบานเปิดออกสู่การทดสอบที่แตกต่างกันไป พวกคุณแต่ละคนจะเข้าสู่ประตูได้เพียงบานเดียวเท่านั้น และไม่สามารถเลือกประตูบานซ้ำกันได้ หากคุณผ่านการทดสอบและไปถึงอีกด้านหนึ่ง ก็จะได้พบสิ่งที่คุณตามหา” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นหันมาอธิบาย “แต่ถ้าคุณไม่ผ่านการทดสอบ ก็จะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับผมที่นี่จนกว่าเวลาของคุณจะหมดลง!”

“เอ่อ…” จางเซวียนมองประตูมากมายที่อยู่รอบตัวขณะถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “แปลว่าเราจะเลือกประตูบานไหนที่เราต้องการก็ได้อย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว เลือกได้ตามสบาย แต่คุณมีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น ตัดสินใจให้เร็วด้วย!”

หลังจากพูดจบ รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นก็ถอยหลังไป 2 ก้าวและยืนอยู่เงียบๆ

รู้ดีว่าจะซักถามเพื่อหาเงื่อนงำเพิ่มเติมจากอีกฝ่ายก็คงไม่มีประโยชน์ ทั้งจางเซวียน หลัวลั่วชิง และหวู่เฉินสบตากันขณะเริ่มสำรวจประตูแต่ละบานอย่างถี่ถ้วน

ประตูทุกบานทำจากหินแกรนิตและมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ ไม่มีอะไรที่จะช่วยระบุความแตกต่าง หากพวกเขาหลับตาและหมุนรอบตัวเอง ก็ไม่มีทางบอกได้เลยว่าเคยหมายตาประตูบานไหนไว้

“ไม่ต่างอะไรกับเขาวงกต…” จางเซวียนมองประตูแต่ละบานและรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เมื่อไม่อาจทำความเข้าใจสถานการณ์ได้ เขาจึงเพ่งสมาธิ ดวงตาหยั่งรู้*!*

วิ้งงงง!

เส้นสายแห่งการหยั่งรู้ปรากฏขึ้นในดวงตาของจางเซวียน เขาสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด

ในเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 4 เข้ามาที่นี่ก่อนหน้าพวกเขา พวกมันก็จะต้องมาถึงห้องนี้และทำการตัดสินใจไปแล้วเช่นกัน

ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกมันเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อการเข้าสู่อาณาจักรโบร่ำโบราณ ถึงกับนำเรือแห่งเมืองบาดาลและของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณเยียนเยียนมาด้วย ก็ชี้ให้เห็นว่าพวกมันมีความรู้เรื่องสถานที่แห่งนี้อยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงน่าจะปลอดภัยกว่าหากตามรอยพวกมันไป

จางเซวียนสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขมวดคิ้ว เอ๊ะ*?ทำไมถึงไม่มีร่องรอยอะไรหลงเหลือเลย?*

เขาคิดว่าเขาน่าจะหาเงื่อนงำบางอย่างได้เหมือนอย่างที่เคยทำด้านนอก แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าสี่คนนั่นไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้แม้แต่น้อย ถึงขนาดที่ดวงตาหยั่งรู้ก็ตรวจจับอะไรไม่ได้สักอย่าง

เหมือนจะล่วงรู้ความคิดของจางเซวียน หลัวลั่วชิงส่งโทรจิตหาเขา “อย่าพยายามเลย ในเมื่อนี่เป็นการทดสอบ ก็ไม่มีทางที่มันจะปล่อยให้คุณเห็นอะไรหรอก อีกอย่าง รูปปั้นหินก็บอกแล้วว่าคนสองคนจะเข้าสู่ประตูบานเดียวกันไม่ได้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าต่อให้คุณพบประตูบานที่พวกมันเข้าไป เราก็ตามมันเข้าไปไม่ได้อยู่ดี”

“เอ่อ…” จางเซวียนใบ้กิน

จริงด้วย

ในเมื่อนี่คือการทดสอบ ก็ไม่มีทางที่นักปราชญ์โบราณหรันชิวจะทิ้งช่องโหว่ที่เห็นได้ชัดเอาไว้ อีกอย่าง หลังจากที่ใครคนหนึ่งเข้าสู่ประตูสักบานแล้วทำให้กับดักรวมทั้งค่ายกลในนั้นถูกเปิดใช้งานแล้ว สิ่งที่อยู่หลังประตูบานนั้นก็จะไม่มีอันตรายอีกต่อไป

“แล้วตอนนี้เราควรทำอย่างไร?” จางเซวียนถาม

“ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา เลือกมาสักบานก็แล้วกัน” หลัวลั่วชิงพูดขณะเลือกประตูบานหนึ่งและดึงมันให้เปิดออกโดยปราศจากความลังเล

“คุณ…ระวังด้วยนะ!” เห็นหลัวลั่วชิงพรวดพราดเข้าไปแบบนั้น จางเซวียนอดเป็นห่วงไม่ได้

“วางใจเถอะน่ะ!” หลัวลั่วชิงตอบพร้อมกับยิ้มน้อยๆอย่างมั่นใจ “การทดสอบของนักปราชญ์โบราณหรันชิวย่อมไม่ง่าย แต่จะกักตัวฉันไว้ที่นี่ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน!”

หลังจากพูดจบ เธอก็เดินเข้าประตูไป

“ก็จริง…”

จางเซวียนไม่เคยเห็นหลัวลั่วชิงเปิดการโจมตีมาก่อน แต่เมื่อพิจารณาจากความเก่งกาจของหวู่เฉิน ก็แน่นอนว่าหลัวลั่วชิงจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความเก่งกาจไม่เบาเช่นกัน

การทดสอบของนักปราชญ์โบราณหรันชิวอาจเป็นความท้าทายอย่างมากกับเหล่าอัจฉริยะทั่วไป แต่สำหรับเธอ ก็ไม่น่าจะเป็นภัยคุกคามมากมายนัก

“ผมจะเข้าไปละนะ” เห็นหลัวลั่วชิงเข้าประตูบานหนึ่งไปแล้ว หวู่เฉินเลือกประตูอีกบานและเดินเข้าไป

“เหลือคุณเพียงคนเดียวแล้ว…” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“อือ” จางเซวียนพยักหน้า เขากำลังจะเลือกประตูบานหนึ่ง ก็พอดีกับที่นึกบางอย่างได้ ดวงตาหยั่งรู้อาจมองไม่เห็นว่าอะไรอยู่ด้านหลังประตูนั่นแต่หอสมุดเทียบฟ้าล่ะ?