ตอนที่ 651 ผู้ที่ทำให้ฮ่องเต้สวรรคตคือรัชทายาท / ตอนที่ 652 ร่วมมือกับซู่อ๋อง

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

ตอนที่ 651 ผู้ที่ทำให้ฮ่องเต้สวรรคตคือรัชทายาท 

 

 

ตำหนักไท่ฉางของเซวียไท่เฟยกับห้องที่ฮ่องเต้จัดให้น่าอวี้ห่างเพียงกำแพงกั้น จะว่าอย่างไรไท่เฟยก็เป็นพระมเหสีของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เป็นพระมเหสีที่มีฐานะ ก่อนที่หลิ่วกุ้ยเฟยจะได้รับความเอ็นดูจากฮ่องเต้นั้น คนที่ฮ่องเต้รักที่สุดก็เป็นนางแล้ว แม้ว่ายามนี้จะตกอับก็ยังเป็นหงส์อยู่ดี เป็นเพื่อนบ้านกับหญิงไร้นามได้อย่างไร 

 

 

นางก็เคยไปเยี่ยมหญิงคนนั้น เพียงแต่ที่ประตูมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่ นอกจากฮ่องเต้น้อย ใครก็ไม่อาจเข้าได้ นางเคยไปหลายครั้งแล้ว ล้วนถูกไล่กลับมาทุกครั้ง ยามที่ไปถวายความเคารพไทเฮาอยู่นั้น นางก็เคยสืบเรื่องนี้ เพียงแต่ไทเฮาได้ยินแล้วกลับไม่ได้ตอบสนองมากนัก แถมยังบอกให้นางอย่ายุ่งนักเลย ดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องอยู่แล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ฮ่องเต้จะเลือกมเหสี แม้ว่าจะมีสาวปรนนิบัติอยู่สองคน เพียงแต่ก็ยังเป็นเด็ก หากเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้ ก็อธิบายได้ เพียงแต่ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ ต่อให้มีความรักจริง มีผู้หญิงแล้วก็ไม่อาจทำอะไรได้ คนที่อยู่ข้างในนั้น ตกลงเป็นคนเช่นใด ยิ่งพระองค์ซ่อนอย่างมิดชิด ก็ยิ่งทำเอาคนอื่นอยากรู้ 

 

 

สองแม่ลูกแม้ว่าจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เพียงแต่คนหนึ่งอยู่ในวังอีกคนอยู่นอกวัง นับดูแล้วก็ไม่ได้เจอกันมาสองสามปีแล้ว เซวียฮูหยินได้เจอลูกสาว ก็เริ่มปาดน้ำตา เซวียไท่เฟยประคองนางนั่งลง ยื่นผ้าให้นางเช็ดหน้า “พวกเราแม่ลูกได้เจอกันเป็นเรื่องดี ไฉนท่านถึงร้องไห้เสียได้ อย่าร้องเลยอย่าร้องเลย ท่านร้องไห้อีก ลูกก็จะร้องไห้ตามแล้ว” 

 

 

เซวียฮูหยินหยุดร้องไห้แล้วกุมมือลูกสาว ดวงตาแดงก่ำ “เด็กดี ลำบากเจ้าแล้ว แม่รู้ว่าเจ้าอยู่ในวังมีชีวิตลำบาก เพียงแต่ระเบียบในวังเจ้าก็รู้ แม้ว่าพวกเราล้วนอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เพียงแต่เจ้าออกมาไม่ได้ แม่ก็เข้าไปไม่ได้ เจ้าไม่รู้ว่า แม่คิดถึงเจ้าเพียงใด” 

 

 

เซวียไท่เฟยก็น้ำตาไหล “ลูกจะไม่คิดถึงท่านได้อย่างไร ชีวิตในวังจะลำบากเพียงใด เพื่อคนที่บ้านแล้ว ลูกก็ต้องทน เพียงแต่ตอนนี้ ฮ่องเต้สวรรคตแล้ว รัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ ชีวิตของลูกช่างลำบากเสียยิ่งกว่าเดิม ท่านไม่ทราบ ทุกวันนี้ลูกมีชีวิตอยู่ในวังลำบากเพียงใด แม้แต่ขันทีที่อยู่ข้างกายไทเฮาก็ยังกล้าชักสีหน้ากับข้า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาสักวัน” 

 

 

“แม่รู้ แม่รู้หมดทั้งสิ้น ที่แม่เข้าวังมาก็เพื่อมาช่วยเจ้า…” เซวียฮูหยินยังพูดไม่จบก็ถูกลูกสาวห้ามเอาไว้ 

 

 

เซวียไท่เฟยมองดูบ่าวรับใช้ที่อยู่ในห้อง “พวกเจ้าไม่ต้องปรนนิบัติที่นี่แล้ว ถอยออกไปเถอะ อีกเดี๋ยวให้ครัวทำอาหารเพิ่มเสียหน่อย แล้วไปเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ข้าไม่ได้เรียกพวกเจ้าก็อย่าได้เข้ามา ได้ยินแล้วหรือไม่” 

 

 

คนใช้เหล่านั้นขานรับแล้วปิดประตูออกไป 

 

 

เซวียฮูหยินถึงได้พูดต่อว่า “เรื่องนี้ยังเป็นพ่อของเจ้าที่บอกข้า การสวรรคตของฮ่องเต้มีเงื่อนงำนัก ก่อนหน้านี้ได้ยินหมอหลวงพูด ไม่ใช่ว่าไม่รอด รอดได้อยู่ เพียงแต่อาจเข้าราชกิจดั่งเช่นเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว ก่อนวันที่ฮ่องเต้จะสวรรคต หมอหลวงก็ยังมาดูอยู่ บอกว่าพระชนม์ชีพไม่น่ากังวล เพียงแต่คำพูดนี้พูดจบได้ไม่นาน คืนนั้นก็มีข่าวฮ่องเต้สวรรคตแล้ว เห็นชัดว่าฮ่องเต้ถูกลอบปลงพระชนม์” 

 

 

“ท่านแม่พูดเช่นนี้หมายความเช่นไร” 

 

 

“ในคืนนั้นมีคนเห็นคนของรัชทายาทเข้าไปในตำหนักหย่างซิน ยามที่ออกมานั้นมีสีหน้าร้อนรน ท่านพ่อของเจ้ารับสั่งให้ตรวจสอบเรื่องนี้ ไม่ตรวจสอบไม่เป็นไร เจ้าลองเดาว่าผลออกมาเป็นเช่นไรบ้าง คนที่ลอบปลงพระชนม์ก็คือรัชทายาท” 

 

 

“รัชทายาทหรือ ยามนั้นพระองค์ก็เป็นรัชทายาทแล้ว หลังจากฮ่องเต้สวรรคตไปแผ่นดินนี้ก็เป็นของพระองค์ พระองค์มีเหตุผลใดที่จะทำเช่นนี้หรือ” 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 652 ร่วมมือกับซู่อ๋อง 

 

 

เซวียฮูหยินรู้ว่านางไม่เชื่อ เพียงแต่เรื่องมาถึงเช่นนี้ จะเชื่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว เรื่องนี้จริงเสียแปดเก้าส่วน เซวียฮูหยินกุมมือลูกสาว รู้สึกลึกๆ ถึงความหวังที่แม่ลูกจะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง “เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ที่แม่มาตอนนี้ก็เพื่อจะบอกเจ้า ให้เจ้าวางใจเสีย ชีวิตลำบากของลูกจะเหลือเพียงไม่กี่วันแล้ว” 

 

 

เซวียไท่เฟยตกใจ “ท่านแม่ คงไม่ใช่ว่าท่านพ่อคิดจะ…ร่วมมือก่อการกบฏกับซู่อ๋องกระมัง” 

 

 

ย้อนดูก่อนหน้านี้ ซู่อ๋องยกทัพบุกตี ดูเหมือนว่ากำลังได้เปรียบ มีท่าทีที่จะยืดเมืองหลวงได้ เพียงแต่ตอนนี้ถูกไล่กลับไปที่เมืองเหมิงแล้ว ได้ยินว่าสูญเสียหนัก คงจะไม่มีความเคลื่อนไหวในช่วงใกล้ๆ นี้ อีกอย่างราชสำนักมีทหารนับล้าน ฮ่องเต้น้อยก็ใช่ว่าจะโง่ ใครจะแพ้ชนะ ตอนนี้ก็ยังดูไม่ออก หากยืมเลือกข้างเสียตอนนี้ เกรงว่าจะยังเร็วเกินไปนัก 

 

 

เซวียฮูหยินให้นางวางใจ “ท่านพ่อของเจ้าเป็นข้าราชการมาหลายปี ในใจย่อมรุ้ดี อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่ต้องกังวล แม่ก็มีลูกสาวเพียงเจ้าคนเดียว เห็นเจ้าลำบากไม่ได้ ขอเพียงเจ้าอยู่ดี ใจของแม่ถึงจะปล่อยวางลงได้รู้หรือไม่ เจ้าวางใจเสียเถิด ในวังนี้เจ้าได้อยู่อีกไม่นาน ถึงเวลาท่านพ่อของเจ้าจะหาวิธีรับเจ้ากลับบ้าน” 

 

 

“ท่านพ่อยอมรับข้ากลับบ้านหรือ ข้าเป็นเช่นนี้…ตามธรรมเนียมแล้วควรจะถวายชีวิตตามฮ่องเต้พระองค์ก่อน ท่านพ่อเห็นแก่ชื่อเสียงมากที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ ท่านพ่อไม่กลัวว่ารับข้ากลับไปจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือ” 

 

 

“พ่อเจ้าน่ะปากร้ายใจอ่อน อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นลูกสาวของเขา จะมีใครเห็นลูกสาวตัวเองไปตายได้เล่า ที่เข้าวังได้ครั้งนี้ เจ้าคิดว่าหากไม่ใช่พ่อเจ้ายินยอมข้าจะเข้ามาได้อย่างไร ยังมีของกินเหล่านี้ ล้วนเป็นพ่อเจ้าที่ให้ข้าไปจัดเตรียม เขาเพียงแค่ไม่พูดออกมา ที่จริงแล้วเขารักเจ้ามากที่สุดแล้ว” 

 

 

เซวียไท่เฟยได้ยินเข้าก็เห็นรอยยิ้มในที่สุด “ที่ใดก็ไม่ดีเท่าที่บ้านตัวเอง ท่านพ่อกับท่านแม่รักข้าที่สุดแล้ว วังนี้ก็เหมือนดั่งกรงขังใหญ่ หากลูกยังอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วจะต้องอดสูใจตายแน่” 

 

 

“เจ้าเด็กนี่ อย่าพูดเหลวไหล แม่ก็มาเยี่ยมเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ชีวิตดีๆ อยู่ไม่ไกลแล้ว เจ้าอดทนเสียอีกหน่อย ถึงเวลาพ่อเจ้าลาออกกลับบ้าน พวกเราทั้งครอบครัวก็กลับไปที่บ้านเกิด อย่างไรเสียเงินที่สะสมมาหลายปีนี้ก็พอให้พวกเราใช้ชีวิตครึ่งหลังไม่ต้องเป็นกังวลเลย” 

 

 

เซวียๆ ไท่เฟยพยักหน้า นางนึกถึงเพื่อนบ้านที่อยู่อีกฝั่งของกำแพงขึ้นมา นางบุ้ยปากพูดด้วยความสงสัยว่า “อีกฝั่งกำแพงนั้นมีแม่นางเข้ามาอยู่ ฮ่องเต้น้อยไปเยี่ยมนางทุกวัน ไม่รู้ว่าเป็นใคร ที่หน้าประตูมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่ตลอด เข้าไม่ได้ออกไม่ได้ น่าสงสัยยิ่งนัก ท่านกลับไปแล้วบอกท่านพ่อเสียหน่อย ให้ท่านพ่อหาวิธีส่งคนไปสืบ ลูกอยู่ในวังมีเรื่องไม่มากไม่อาจทำได้ กลัวถูกไทเฮาจับได้แล้วลงโทษเอา จึงไม่กล้าทำอะไรวู่วามนัก” 

 

 

ในเมื่อฮ่องเต้น้อยให้ความสำคัญเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วแม่นางคนนั้นก็คงไม่ธรรมดา การสืบนั้นมีความจำเป็น หากเป็นเรื่องลับอะไรอีก จะได้กุมเอาไว้ใช้เป็นเหตุผลก่อกบฏพอดี เรื่องที่ขุนนางเหล่านั้นไม่พอใจฮ่องเต้น้อยยังมีอีกมาก ถึงเวลาสุมไฟเพียงเล็กน้อย เอาข่าวนี้แพร่ออกไป บัลลังก์ของพระองค์ก็รักษาไม่ได้แล้ว 

 

 

สองแม่ลูกนั่งอยู่ด้วยกันพูดคุยกัน เวลาครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เซวียไท่เฟยให้คนนำอาหารเที่ยงเข้ามา สองแม่ลูกนั่งกินพร้อมหน้ากัน แล้วถามถึงเวลา เห็นว่ายังมีอีกหลายชั่วยาม จึงให้คนไปบอกไทเฮา จะได้ไม่ทำให้ไทเฮาทรงรังเกียจเอาได้