แสงบุปผาทำลายฟ้า

ขณะที่เปิดบันทึก

แสงสีทองก็พุ่งเข้าสู่ดวงตาของมู่เฉิน คำโบราณวิบวับด้วยแสงราวกับมีชีวิต สร้างความฉงนในสายตา

“บันทึกมังกรหงส์ อันดับเก้า ชื่อเสี่ยจากตำหนักเจ้าอสรพิษ มีร่างอสรพิษโลหิตแดงที่มีสายเลือดเทพอสูรอยู่ นิสัยป่าเถื่อน กระหายเลือด มิหนำซ้ำยังสร้างสงครามนองเลือดนับร้อยเมืองแล้ว”

“…”

“บันทึกมังกรหงส์ อันดับเจ็ด ติงเซวียนจากตระกูลจู้หลิง เกิดมาพร้อมกับพลังมหาศาลสามารถยกภูเขาได้ เคยผ่านการสู้รบนับร้อย เอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนมาได้ร้อยคน”

“บันทึกมังกรหงส์ อันดับห้า หงหยูจากแดนปีศาจ นางเจิดจรัสและทรงเสน่ห์ รู้จักกันในฉายาโฉมงามภูมิภาคทางเหนือ อัจฉริยะนับไม่ถ้วนต้องมนตร์สะกดของนาง มากจนอัจฉริยะคนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงดูมาหลายปีโดยขั้วอำนาจชั้นยอดยอมทรยศต่อสำนักของตนเอง”

“…”

อ่านถึงตรงนี้ มู่เฉินถึงกับอ้าปากตาค้าง หงหยูจะงามขนาดไหนกัน? ถึงทำให้ผู้คนยอมทรยศต่อสำนักของตัวเอง

“น่ากลัวจริง” มู่เฉินเอ่ยชมขณะเดาะลิ้น แม้จะไม่มีบันทึกถึงความสำเร็จด้านการต่อสู้ของหงหยู แต่มู่เฉินก็ไม่โง่พอที่จะคิดว่าที่นางได้อันดับห้ามาเป็นเพราะความงามอย่างเดียวหรอก

“แล้วหลิ่วเหยียนล่ะ?”

หัวใจของเขาเริ่มสั่นเทาเบาบางขณะเริ่มอ่านข้อมูลต่อ ด้วยพรสวรรค์และพลังของหลิ่วเหยียน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่อยู่ในบันทึกเล่มนี้ อย่างที่มู่เฉินคาด พอเลื่อนสายตาไปก็พบชื่อคุ้นเคยอยู่ในอันดับสี่

“บันทึกมังกรหงส์ อันดับสี่ หลิ่วเหยียนจากตำหนักสุดนภา ฝึกร่างมหาเพลิงนภา ด้วยความครอบงำจากเพลิงสวรรค์ไม่มีใครเทียบก็สามารถเผาผลาญทุกสรรพสิ่งได้ มิหนำซ้ำยังเคยถอยหนีได้ปลอดภัยเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า”

“ร่างมหาเพลิงนภา…” ดวงตามู่เฉินหดเกร็งลง แม้จะมีความแตกต่างระหว่างคำของร่างมหาเพลิงนภากับร่างนภาเพลิง แต่ร่างมหาเพลิงนภาก็ทรงพลังมากกว่าร่างนภาเพลิง เพราะในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์ทั้งเก้าสิบเก้าร่าง ร่างมหาเพลิงนภาอยู่ในอันดับหกสิบเก้า ว่ากันว่าการฝึกร่างเทห์สวรรค์นี้ ผู้ฝึกจะต้องสะสมเพลิงแปลกประหลาดหลายร้อยชนิดเพื่อเผาคลื่นหลิงเป็นการชำระร่างมหาเพลิงนภา เมื่อชำระสำเร็จแล้วก็จะได้ร่างที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

เทียบกับหลิ่วหมิง หลิ่วเหยียนทรงพลังมากกว่าหลายขุม แต่ที่ทำให้มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจก็คือความจริงที่หลิ่วเหยียนสามารถสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า ซ้ำยังหนีไปได้อย่างปลอดภัย

ดูเหมือนว่าความสามารถในการต่อสู้กับศัตรูที่มีขุมพลังเหนือกว่าจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว อัจฉริยะคนอื่นๆ ก็มีวิธีการที่จะทำให้ประสบผลสำเร็จเช่นกัน

“ดูท่าเขาจะเป็นตัวปัญหาจริงๆ”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนเขาต้องระวังตัวมากกว่านี้ในศึกมังกรหงส์ การมีศัตรูเช่นนี้หมายหัวในมุมมืด ทำให้เขาต้องระวังทุกฝีก้าว

เมื่อความคิดวาบขึ้นในใจ สายตาของมู่เฉินก็เลื่อนขึ้นไปด้านบน ตอนนี้เขารู้สึกอยากรู้เกี่ยวกับบันทึกมังกรหงส์มากขึ้นไปอีก แม้แต่หลิ่วเหยียนยังถูกจัดอยู่อันดับสี่ แล้วจอมยุทธ์ที่มีความสะพรึงสามอันดับแรกจะเป็นอย่างไร?

แสงสีทองเรืองรองขณะที่อักษรสีทองสะท้อนในนัยน์ตาของมู่เฉินที่หยุดอยู่ตรงสามอันดับแรก

“บันทึกมังกรหงส์ อันดับสาม ซูปี้เยี่ยจากยอดเขาหมื่นเทพ หญิงสาวบริสุทธิ์และสูงศักดิ์ที่มีความงามไม่แพ้หงหยูจากแดนปีศาจ ในภูมิภาคทางเหนือนับจำนวนครั้งที่นางลงมือได้ด้วยมือข้างเดียว แต่ทุกครั้งที่ออกโรง นางจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในสิบกระบวนท่า ครั้งหนึ่งนางเคยสู้กับหงหยูจากแดนปีศาจ จบลงแบบได้รับชัยชนะอย่างฉิวเฉียด”

“เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในสิบกระบวนท่างั้นหรือ?”

ดวงตาของมู่เฉินเผยแววตื่นตะลึง พวกคาบช้อนเงินช้อนทองในบันทึกมังกรหงส์นี้สูงส่งกันจริง ทุกคนแข็งแกร่งอย่างไม่มีเหตุผล สำหรับการเอาชนะศัตรูในสิบกระบวนท่าได้ แค่คิดก็ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกหวาดกลัวจนขึ้นสมองแล้ว

“บันทึกมังกรหงส์ อันดับสอง องค์ชายโยวหมิงจากจวนยมโลก ทางจวนยมโลกใช้วิธีการคัดสรรแบบแมลงพิษในการชุบเลี้ยงอัจฉริยะ ในบรรดาอัจฉริยะหมื่นคน จะมีเพียงคนเดียวที่สามารถเดินออกมาได้ ซึ่งก็คือองค์ชายโยวหมิง”

กวาดมองตัวอักษรแผ่แสงสีทอง มู่เฉินก็รู้สึกหนาวเยือกในหัวใจ ไม่มีบันทึกเรื่องความสำเร็จในการต่อสู้ของโยวหมิง แต่คำพูดไม่กี่คำก็ทำให้คนคนหนึ่งสั่นสะท้านวิญญาณได้แล้ว

การเลี้ยงดูอัจฉริยะด้วยวิธีการคัดสรรแมลงพิษเรียกได้ว่าโหดเหี้ยมทารุณ มิหนำซ้ำโยวหมิงยังสามารถรอดมาได้ เขาจะต้องได้รับประสบการณ์การสังหารหมู่ในนรกเป็นแน่

ไม่กี่เดือนก่อน มู่เฉินจำได้ว่าหลิ่วเทียนเต้าได้พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับจวนยมโลก ที่นั่นเป็นขั้วอำนาจเก่าแก่ของภูมิภาคทางเหนือและเหมือนจะไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขา

จ้องมองชื่อโยวหมิง มู่เฉินก็จดชื่อของอีกฝ่ายในบัญชีบุคคลอันตรายอย่างเงียบๆ แม้เขาจะไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน แต่จากความจริงที่สำนักทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาระวังตัวมากขึ้น

“แล้วอันดับหนึ่งล่ะ?”

หัวใจของมู่เฉินเต้นรัว แม้แต่โยวหมิงยังอยู่อันดับสอง แล้วพวกเทพแบบไหนเป็นอันดับหนึ่งกัน?

ขณะที่มู่เฉินเลื่อนสายตา ตัวอักษรโบราณแถวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเงียบๆ ด้านบนสุด

“บันทึกมังกรหงส์ อันดับหนึ่ง ฟังยี่จากหมู่ตึกเทวะ”

ประโยคแนะนำตัวมีไม่กี่ตัวอักษร แต่การแนะนำแค่ไม่กี่ตัวอักษรนี้อย่างเดียวก็ทำให้มู่เฉินมีสายตาเคร่งขรึมลง จอมยุทธ์ที่ได้รับการแนะนำตัวแสนธรรมดาเช่นนี้ แต่ยังรั้งตำแหน่งสูงสุดบนบันทึกมังกรหงส์ได้อย่างมั่นคง สามารถอธิบายได้ว่าน่ากลัวอย่างไร

“หมู่ตึกเทวะหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นยอดที่มีรากฐานมายาวนานที่สุดของภูมิภาคทางเหนือ พวกเขาเคยเข้าร่วมสงครามล่าถึงห้าครั้ง สามารถยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่ล่มสลาย ฟังยี่เป็นอัจฉริยชนชั้นยอด เขาได้รับการเลี้ยงดูโดยหมู่ตึกเทวะแบบไม่อั้นทรัพยากรตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขามีความตั้งใจที่จะปลุกปั้นอีกฝ่ายให้เป็นประมุขคนต่อไปของหมู่ตึกเทวะด้วย” เสียงนุ่มนวลของมั่นถัวหลัวดังขึ้นช้าๆ

มู่เฉินแอบเดาะลิ้น การเลี้ยงดูแบบไม่อั้นจากหมู่ตึกเทวะที่มีประวัติอันยาวนาน ไม่แปลกเลยว่าทำไมถึงน่าเกรงขามนัก

“ภูมิภาคทางเหนือเต็มไปด้วยมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบจริงๆ” มู่เฉินเอ่ยจากใจ แน่นอนว่าการท่องยุทธภพในมหาพันภพทำให้คนคนหนึ่งได้รู้ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของโลกนี้ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้โลกนี้น่าสนใจ เส้นทางของการเป็นหนึ่งคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย มีเพียงก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวเท่านั้น คนคนนั้นถึงจะมีความสามารถในการมองข้ามผู้อื่นไปได้

“ตอนนี้เจ้ารู้แล้วสินะว่าจอมยุทธ์ทรงพลังที่เข้าร่วมศึกมังกรหงส์เป็นอย่างไรกันบ้าง อย่าคิดว่าเจ้าจะลำพองและผยองได้เมื่อเอาชนะพวกกระจอกงอกงอ่ย” มั่นถัวหลัวเริ่มเทศน์ ทว่าวิธีการที่มากอายุและเปี่ยมประสบการณ์ ไม่เข้ากับน้ำเสียงอ่อนเยาว์เลย

“ใครบอกว่าข้าลำพองและผยอง?” มู่เฉินกลอกตาใส่นาง แม้เขาจะมีความมั่นใจในตัวเอง แต่เขาก็ไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่นที่คิดโง่ๆ ว่าเขาไร้เทียมทานในโลกหล้านี่หรอก

“ไม่มีเหรอ?” มั่นถัวหลัวยกยิ้มพูดต่อ “ยังกล้าไปเข้าร่วมงานประลองหรือเปล่าล่ะ?”

มู่เฉินมองบันทึกมังกรหงส์ในมือก็ยิ้มบางและเก็บไว้ก่อนตอบว่า “เมื่อไรที่จบศึกมังกรหงส์ ข้าจะต้องติดอันดับหนึ่งในสิบอย่างแน่นอน”

เหล่าอัจฉริยชนในบันทึกนี้นับว่าเป็นมังกรและหงส์ฟ้าในหมู่คน หากเขาต้องการสู้กับพวกเขา ก็จะเป็นโอกาสในการเจียระไนตัวเองที่หายากยิ่ง ตัวเขาไม่เคยกลัวการเจียระไนด้วยวิธีแบบนี้เลย

ตอนที่อยู่ในสำนักศึกษาเป่ยชาง เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นก็เป็นจอมยุทธ์ที่ยากจะโค่นลงในสายตาของเขาในครั้งแรก แต่เมื่อเขาจบการศึกษาออกจากสำนักมาแล้ว เขากลับเป็นจอมยุทธ์ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด

บางทีเขาไม่ได้มีพื้นหลังทรงเกียรติอย่างอัจฉริยชนเหล่านั้น แต่เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นเลย เนื่องจากเขาก็มีวิถีทางเป็นของตัวเอง เขาสัญญากับบิดาว่าจะพามารดากลับไป

และคำมั่นที่ให้ไว้กับคนรักที่เขาเฝ้าฝันถึงทั้งยามหลับยามตื่น วันหนึ่งเขาจะเป็นยอดยุทธ์ที่ป้องลมต้านฝนให้กับนาง

ดังนั้นเขาไม่กลัวบนเส้นทางนี้ สายตาของเขาจะมองขึ้นไปด้านบนตั้งแต่เริ่มจนถึงสิ้นสุด

มองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้ามู่เฉิน ม่านตาทองคำของมั่นถัวหลัวก็ฉายแววอัศจรรย์ใจวูบหนึ่ง ก่อนที่นางจะปรบมือด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ “ใช้ได้ อย่างน้อยเจ้าก็มีความกล้า แม้ว่าจะแข็งนอกอ่อนใน แต่ก็ไม่ได้นำความเสื่อมเสียมาให้กับชื่อของผู้สืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว”

“แล้วไหนของที่เจ้าจะให้กับข้า?” มู่เฉินไม่สนใจนาง เขายื่นมือกระดิกออกไปเป็นเชิงขอพร้อมกับยิ้มตาหยี จากสถานะของมั่นถัวหลัว ของที่นางจะให้กับเขาย่อมไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน

เมื่อรู้ว่าเหล่าผู้เข้าร่วมศึกมังกรหงส์เป็นสัตว์ประหลาด มู่เฉินก็อยากหาทักษะต่างๆ ให้ตัวเองมากขึ้น เพราะแม้แต่คนที่มั่นใจในตัวเองอย่างเขา หลังจากรู้ตำแหน่งสามอันดับแรกแล้ว เขาก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ฝีมือน่ากลัวอย่างยิ่ง

มั่นถัวหลัวกลอกตาใส่มู่เฉิน ก่อนจะหันหลังและมุ่งตรงไปที่ส่วนลึกของหอคัมภีร์ พอเห็นท่าทางนั่นมู่เฉินก็รีบตามนางไปทันที

พวกเขาเดินผ่านแท่นหินจำนวนมากที่ปล่อยแสงแรงกล้าออกมา แม้ความผันผวนเหล่านั้นจะทรงพลัง แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่หยุดเดิน จากนั้นสิบนาทีนางก็เริ่มชะลอฝีเท้า ก่อนที่จุดสิ้นสุดของหอคัมภีร์จะปรากฏเบื้องหน้าสายตา

ตอนนี้มั่นถัวหลัวหยุดเดินแล้ว

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นรูปปั้นหินเลือนรางตรงปลายหอคัมภีร์ รูปปั้นหินมีสีเทาหม่นวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียวที่กำลังหงายยกขึ้น ในฝ่ามือของรูปปั้นหินมีดอกไม้ประหลาดลอยอยู่ด้านบน

ดอกไม้ประหลาดมีสีม่วงกลีบดอกงดงาม ราวกับมีแสงน่าหลงใหลลอยอยู่บนนั้น ขณะเดียวก็มีการปลดปล่อยคลื่นอันแปลกประหลาดออกมา ซึ่งทำให้สายตาของมู่เฉินพร่าเลือนไป จังหวะนั้นแม้แต่จิตของเขาก็เกือบถูกดูดเข้าไปภายใน

ครืน!

สายฟ้าฤทัยปีศาจดำดังสะท้อนออกจากหัวใจของมู่เฉิน ทำให้เขารู้สึกหัวโล่งทันที เขาก้าวเท้าถอยจ้องมองดอกไม้ประหลาดสีม่วงด้วยความหวาดกลัวในดวงตา นี่เป็นวัตถุที่ทำให้จิตใจถูกมอมเมาได้

มั่นถัวหลัวสะบัดมือเรียก ดอกไม้สีม่วงก็ลอยลงมาพลิ้วลงบนมือเล็ก นางมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพลิกนิ้วส่งไปให้มู่เฉิน

มู่เฉินรับไว้อย่างระมัดระวัง เมื่อดอกไม้วางลงบนฝ่ามือ เขาก็พบว่ามีข้อความโบราณสลักบนกลีบดอกไม้

“นี่คือวิทยายุทธเทพโบราณที่มีชื่อว่าแสงบุปผาทำลายฟ้า เมื่อถูกใช้ผืนฟ้าผืนดินจะมืดมิดทั่วบริเวณจะถูกทำลายสิ้นซาก เป็นพลังที่เทียบกับการล้างโลกอย่างแท้จริง”

มั่นถัวหลัวเอ่ยเบาๆ “แต่ถ้าเจ้าอยากจะฝึกฝน ก็ต้องยืมพลังของดอกแมนดาลาโบราณ”

มู่เฉินอึ้งไป ดอกแมนดาลาโบราณนับว่าเป็นวัตถุลึกลับระหว่างสวรรค์และโลกที่มีสติปัญญา ทุกดอกต่างเทียบได้กับจอมยุทธ์ทรงพลังคนหนึ่ง เขาจะยืมพลังมาได้อย่างไร?

มั่นถัวหลัวดูเหมือนจะเห็นความสงสัยในใจของมู่เฉิน นางยื่นมือจิ้มที่ท้องของมู่เฉินเบาๆ ซึ่งเป็นจุดที่ตั้งของจุดจื้อจุนไห่ และในนั้นก็มีกระดาษสีดำซ่อนอยู่….

เมื่อมู่เฉินเข้าใจว่านางหมายถึงอะไรก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา เพราะมีลวดลายของดอกแมนดาลาโบราณประทับอยู่บนหน้ารายการนิรันดร์ ซึ่งบ่งบอกว่าวิชาแสงบุปผาทำลายฟ้านี้สร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ!

คนอื่นอาจไม่สามารฝึกได้ แต่นี่คือความสมบูรณ์แบบสำหรับเขา!

ตอนนี้กระทั่งคนอย่างมู่เฉินยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ของขวัญชิ้นนี้จากมั่นถัวหลัวเหมาะเจาะกับเขายิ่งนัก!